"พระราชนิพนธ์แปล
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี"
ข้าพเจ้าเลือกหนังสือเล่มนี้
เพราะถ้อยคำนี้จริงๆ
เพราะอยากรู้ว่า
ท่านอ่านหนังสือแนวไหนบ้าง
และหนังสือเนื้อหาอย่างไร
ที่ท่านเลือกนำมาเผยแพร่สู่ประชาชน
ความจริง
ข้าพเจ้าเคยซื้อพระราชนิพนธ์แปลของท่านมาแล้วเล่มหนึ่ง
แต่ประสบความล้มเหลวในการอ่าน
เพราะอ่านไปได้ราวๆ
1 ใน 3 ของเล่ม
ก็รู้สึกเบื่อหน่าย
รู้สึกเหมือนไม่น่าสนใจ
และไม่ได้อ่านมันจนจบ
ตอนนั้น
ยังไม่ได้ตั้งกฎกับตัวเองว่า
ต้องอ่านหนังสือให้จบดังเช่นวันนี้
แต่มาวันนี้
เล่มนี้
ไม่เหมือนเล่มนั้น
แม้จะเริ่มต้นด้วยลักษณาการเช่นเดียวกัน
คือ
อ่านไปประมาณ
10 หน้า ก็รู้สึกอยากวาง
เพราะเนื้อเรื่องเอื่อยๆ
เพราะยังไม่เข้มข้น
(จะรีบเข้มไปไหน
-*-)
แต่เมื่อได้เข้าประเด็น
ได้เกิดปมบางอย่าง
ได้มีเหตุการณ์พลิกผัน
ข้าพเจ้าก็ถูกดูดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนั้น
อย่างไม่ต้องคิดที่จะหาทางออกกันเลยทีเดียว
เพราะมันไม่ทันแล้วนั่นเอง
ชีวิตที่ไม่สวยงาม
ไม่ราบรื่น
ของใครของมัน
ไม่มีทางเหมือนกัน
หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ
ไม่มีชีวิตที่สวยงาม
บริสุทธิ์ หมดจด
และไม่มีใคร
ทับซ้อนกับ ใคร ได้อย่างสมบูรณ์
ข้าพเจ้าชอบการเป็นเงาสะท้อนที่แจ่มชัด
ชอบความมีชีวิตชีวา
ชอบความงี่เง่าแบบที่ตัวละครเด่นของเรื่องมี
เฉกเช่นที่ข้าพเจ้ามี
ข้าพเจ้าชอบการสอดแทรกบางสิ่งบางอย่าง
ที่ปรารถนาจะสื่อ
โดยไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกว่ากำลังถูกสอน
ถูกเทศนา
และคำสอนนั้น
ไม่ใช่คำสอน
หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ
ไม่ปรากฏคำสอนในหนังสือเล่มนี้
ที่ผู้เขียนพุ่งเป้ายิงมาที่ตัวเรา
เขาเขียนของเขา
เล่าเรื่องของเขา
คำพูดที่ดูดีเหล่านั้น
เป็นของตัวละครโดยสมบูรณ์
ไม่ใช่ของเรา
เพราะฉะนั้น
หากเราใคร่รับ
หรือแบ่งปันมา
ก็ต้องเปิดใจและเดินเข้าไปหาเขาเอง
น้อมเอามาเอง
เขาหาได้โยนหรือยัดเยียดมาให้เราแต่อย่างใด
ข้าพเจ้าโล่งใจ
และได้คิด
ข้าพเจ้าอยากแข็งแกร่งเช่นมี่เจี่ย
อยากอ่อนโยนและอดทนเช่นเฝิงชุน
อยากเป็นทั้งสองคน..รวมกัน
(โลภมากจริงๆ
ฮะฮ่า)
ข้าพเจ้าจะกลับไปอ่านพระราชนิพนธ์แปลเล่มนั้นอีกครั้ง
เล่มที่ยังอ่านไม่จบนั่นล่ะ
ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น