30 พ.ย. 2555

มงคลชีวิต..มิตรแท้ยามจิตไม่ค่อยมงคล



ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือนี้ตั้งแต่สมัยอยู่ชั้น ป. 4

ตอนนั้น นักเรียนชั้นประถมปลาย จะถูกบังคับให้อ่านหนังสือเล่มนี้

(จำไม่ได้ว่าทุกคนหรือไม่)

เพื่อเข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหาธรรมะ

ณ เวลานั้น ข้าพเจ้านึกไม่ได้ว่า

ต้องอ่านหนังสือ ต้องท่องเนื้อความในนั้น

ไปเพื่ออะไร

จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่า

ข้าพเจ้าไปนั่งสอบกับเขาด้วยหรือ

มาเปิดดู portfolio อีกที

ก็มีเกียรติบัตรโชว์หราอยู่แล้ว

นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

กรูไปสอบมาตอนไหนหว่า 555+

อย่างไรก็ช่างเถิด


อย่างน้อย กิจกรรมนั้น ก็มีประโยชน์แก่ชีวิตเล็กๆ ของข้าพเจ้าอยู่บ้าง

เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จัก "มงคลชีวิต" เป็นครั้งแรก


ตอนอ่านเมื่อชั้น ป.4 นั้น

เนื่องด้วยนักเรียนจำนวนมากต้องอ่าน

แต่หนังสือมีให้แค่ห้องละ 2-3 เล่มเท่านั้น

จำไม่ได้ด้วยว่ามีขายหรือไม่อย่างไร

รู้แค่ว่า ไม่ค่อยมีนักเรียนคนไหน มีไว้ครอบครองเป็นของส่วนตัว

ดังนั้น วิธีการอ่านก็คือ

ตอนเช้า นักเรียนจะต้องมาโรงเรียน

จับกลุ่มกัน กลุ่มละประมาณ 10 กว่าคน

แล้วคัดเลือก 1 คนในกลุ่ม

ที่ (คิดว่า) มีทักษะการอ่านออกเสียงดีที่สุด

ให้เป็นผู้อ่านหนังสือเล่มนั้น

ให้ทุกๆ คนฟัง

อ่านวันละบทกระมัง หรือสองบท ไม่น่าจะเกินนี้

ทำอย่างนี้ในทุกๆ เช้า

ในช่วงเวลาหน้าเสาธง

หมายความว่า นักเรียนที่ต้องอ่านหนังสือนี้

ไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ

ไม่ต้องฟังครูบ่นนู่นนี่นั่น



สิ่งที่ต้องทำมีแค่ อ่านจนครบหมดทุกบทในเล่ม

ซึ่งก็มีประมาณ 38 บท

ตามหนังสือนั้น คือ มงคลชีวิต 38 ประการ

นั่นเป็นการอ่านตอนไม่ประสีระสาเท่าใด

จำไม่ได้ว่ามีอะไรเข้าหัวบ้าง

จำได้แค่ว่า ท่องไปวันๆ

ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บลาๆๆ

เล่มที่อ่านตอนนั้น มิได้มีรูปเล่มและหน้าปกดังที่ขึ้นไว้เมื่อเปิดเรื่อง


แต่มีหน้าตาเช่นนี้




(เล่มสีแดงนั้น เป็นฉบับกระเป๋า ที่ข้าพเจ้าซื้อให้เพื่อนรักเป็นของขวัญวันรับปริญญา)



ต่อมาเมื่ออยู่ชั้นมัธยมต้น

ข้าพเจ้าได้ไปพบหนังสือนี้เข้า ในห้องสมุดของหมวดสังคมศึกษา

จึงยืมมาอ่าน

อ่านแล้วก็ชอบ

อ่านอยู่นั่นแหละ

เสาร์ อาทิตย์ อยู่บ้าน ก็อ่านไปเรื่อยๆ

(สุดท้าย ได้คืนห้องสมุดหรือไม่ อันนี้เริ่มไม่แน่ใจ เหอๆ)

 
รู้สึกเข้าใจมากขึ้น

แน่นอนว่าต้องเข้าใจและรู้เรื่องมากกว่าตอนประถมอยู่แล้ว

อ่านเวอร์ชั่นเดียวกับที่อ่านตอนประถมนั่นแหละ

มีโคลงสี่สุภาพเปิดเรื่อง

มีคำอธิบาย

มีสรุป

อ่านเข้าใจง่ายทีเดียว

ยังสงสัยอยู่ว่า

(ทำไมตอนเด็กๆ กรูอ่านไม่รุเรื่องฮึ)

ตอนนั้น มีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ

อยากทำแต่สิ่งดีๆ

ความจริง สำหรับข้าพเจ้าแล้ว

หนังสือเล่มนี้

เป็นหนังสือ How to ที่ดีและมีค่ามากที่สุด

ตั้งแต่อ่านหนังสือประเภทนี้มา

และแม้กระทั่งตอนเรียนมหาวิทยาลัย

ที่อ่านหนังสือ How to อย่างบ้าคลั่ง

ทั้งของฝรั่ง ของคนไทย ของพระไทย

ก็ยังรู้สึกว่า

จริงๆ แล้ว

หนังสือพวกนั้น ก็แค่รายละเอียดยิบย่อย

ที่เอาแก่นแท้มาแปลงเป็นตอนเป็นเรื่อง

ทำให้เป็นเล่มๆ

โปรยปกเท่ๆ

ประทับตรา Best Seller

ก็เท่านั้น

สุดท้ายแล้ว

แก่นแท้ก็เพียง...เท่านั้นเอง




ชีวิตจะดี ก็เมื่อทำสิ่งดี

มงคลไม่มงคล อยู่ที่ดีพอหรือยัง

29 พ.ย. 2555

หลวงปู่ฝากไว้..ดีใจที่ได้รับ

เมื่อครั้งไปบวชอยู่วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม)

เป็นวัดบ้าน เป็นสำนักปฏิบัติธรรม

เป็นศูนย์อบรมพัฒนาจิตในเชียงใหม่

ปฏิบัติแบบ ยุบหนอ พองหนอ

วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)



บวชอยู่เดือนหนึ่งโดยประมาณ

ได้ผลบ้าง ล้มเหลวบ้าง

สงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง

ถึงขั้นร้องไห้เลยก็มี

ส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากการระลึกถึงปมปัญหาในใจ

เรื่องไหนสำคัญ เรื่องไหนเป็นแผลลึก

ก็โผล่ขึ้นมาก่อน

เหมือนตอใต้น้ำ พอน้ำมันลด ตอใหญ่สุดก็ผุดก่อนชาวบ้าน



ดีที่ได้มีโอกาสปฏิบัติ

ตอนนั้นยังแค่รู้สึกอยากปฏิบัติธรรม

อยากไปนั่งสมาธิ

ทั้งที่ก็ไม่รู้ชัดเจนหรอกว่าการนั่งสมาธิ

จริงๆ แล้วเขาทำกันยังไง

ทำไปเพื่ออะไร

รู้แค่ทำแล้วดี ทำแล้วสงบ

อยากมาตั้งแต่เด็กๆ

แต่เพิ่งได้ม๊โอกาสไปจริงๆ ก็ตอนปิดเทอมฤดูร้อน

เมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1



ตอนนั้น เมื่อเริ่มฝึก

สิ่งแรกที่เป็นปัญหา และเข้าไปสอบอารมณ์กับพระอาจารย์ก็คือ

หนูหายใจไม่ได้ค่ะ

พองไม่เป็นพอง ยุบไม่เป็นยุบ

หมายความว่า เวลาหายใจเข้า ท้องไม่พอง

เวลาหายใจออก ท้องไม่ยุบ

แล้วก็เกิดการอึดอัด เพราะร่างกายไม่เป็นไปตามกลไกที่ควร

สรุปคือ

หายใจไม่เป็น

มาตลอดเวลาประมาณ 18 ปี หึๆ

อันนี้นคือตอนเริ่มฝึก

แต่ที่ไปบวชนี่คือ อีก 3 ปีต่อมา

โดดเรียนไปบวช 555

บวชตอนปี 4 เทอม 2


เพราะคิดว่า ถ้าไม่บวชตอนนี้ ก็คงไม่ได้บวชเป็นแน่

เพราะเรียนจบก็ต้องทำงาน ต้องจริงจังกับการหาเงิน

เพื่อใครหลายๆ คน

นั่นจึงเป็นโอกาสเดียว


บวชเป็นแม่ชี มีสิ่งดีๆ หลายอย่างเข้ามาในชีวิต

ก่อนกลับ ก็มีกัลยาณมิตรนำของมาให้

ทั้งพระจากอินเดีย พระของวัดร่ำเปิง หนังสือธรรมะต่างๆ

ซาบซึ้งใจอยู่มาก

แต่ที่ดีที่สุด

คือการได้ (ยืม) หนังสือมาจากที่นั่น

ตั้งใจจะคืนนานแล้ว แต่ยังไม่ได้คืนเสียที

ต้องรีบคืนพร้อมหนังสือที่ตั้งใจถวายวัดอีกหลายเล่ม

มิเช่นนั้น หากข้าพเจ้าตายขึ้นมา

จะเป็นเวรเป็นกรรม

เอาของวัดมาแล้วไม่คืน


หนังสือเล่มนั้น

เป็นเสมือนใบเบิกทาง

อ่านครั้งแรกตอนอยู่บนรถประจำทางจะไปบ้านยาย

อ่านตลอดทาง แปลกที่ไม่ปวดหัวปวดตาเลย

จะว่าเพลินก็ไม่น่าจะใช่

ออกแนวอินในรสพระธรรมเสียมากกว่า

หนังสือชื่อว่า

"หลวงปู่ฝากไว้ Gifts He Left Behind"

เป็นฉบับสองภาษา คือมีแปลภาษาอังกฤษด้วย



ว่าด้วยเรื่องราวคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ท่านเป็นพระสายวัดป่า

ความจริง ณ ตอนนั้น

ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าอะไรคือวัดบ้าน พระบ้าน อะไรคือวัดป่า พระป่า

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้ามีแนวปฏิบัติธรรมกันกี่แนว

อ่านหนังสือก็ไม่ใช่จะเข้าใจทั้งหมด

รู้แค่อ่านแล้วใจสงบ

อยากอยู่นิ่งๆ

อยากนั่งสมาธิ

จิตใจมันเย็นๆ เหมือนน้ำนิ่งๆ ใสๆ

เหมือนมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่าง



ตอนนั้น ข้าพเจ้าโศกเศร้า ที่ต้องจากที่นั่นมา

แม่ชีพี่เลี้ยง เอาโน้ตสำหรับท่องบทลาสิกขามาให้

ข้าพเจ้าไม่อาจท่องได้

พอถึงเวลา

แม่ชีก็บอกว่า ท่องไม่ได้ก็อ่าน

ข้าพเจ้าก็เกือบอ่านไม่ได้

น้ำตาไหล

ร้องไห้ และ ไม่อาจเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาได้

ต้องท่อง 3 รอบ รอบแรกอ่านช้าๆ

รอบสองเสียงสั่นๆ

รอบสามน้ำตาแตก 555


พระอาจารย์หยิบทิชชู่ใส่อะไรสักอย่างยื่นให้

แล้วบอกว่า

"ไม่ต้องร้อง อยากกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับมา"



การพลัดพรากจากของที่รัก..เป็นทุกข์



ข้าพเจ้าดีใจที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้

ดีใจที่ได้มีโอกาสสัมผัสความสงบ

แม้เพียงเล็กน้อย

ข้าพเจ้าดีใจที่ได้พบวัดร่ำเปิง

ดีใจที่ได้พบหลวงปู้ดูลย์

ดีใจที่ได้พบคนรัก ผู้นำพาข้าพเจ้าให้รู้จักการปฏิบัติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


...


ข้าพเจ้าดีใจที่ได้พบพระพุทธศาสนา


28 พ.ย. 2555

หรือเพราะมัวเมา อาฆาตแค้น

เมื่อนานมาแล้ว

ข้าพเจ้าเคยโกรธ

เพราะถ้อยคำ ประโยค บางอย่าง

จำเนื้อความไม่ใคร่ได้ชัดเจน

แต่ใจความสำคัญคือ

การดูถูกสถาบันการศึกษาที่ข้าพเจ้าจบมา

ความจริง อาจไม่ใช่การดูถูก หรือก่นด่า สถาบัน

แต่เป็นการเหมารวม คนที่เรียนที่นั่นว่าไม่ดี เสียมากกว่า


แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้คลั่งหรือยึดติดในสถาบันมากมาย

แต่มันก็สะเทือนใจและอดรู้สึกแย่

อดโกรธแค้นไม่ได้

อาจเพราะถ้าว่ากันตามกฎคณิตศาสตร์



ข้าพเจ้าเป็นเด็กใน มหาวิทยาลัย ก

เด็กที่เรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัย ก เป็นคนไม่ดี

ผลสรุปคือ ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ดี

อันนี้ไม่ได้ว่ากันถึงส่วนทั้งหมดหรือบางส่วน

หรือเงื่อนไขเพิ่มเติมอื่นๆ

ว่ากันตามประโยคที่คนๆ นั้นพ่นมาออกมาล้วนๆ



เรื่องของเรื่องก็คือ

เขาอาจกำลังปกป้องรุ่นน้องจากสถาบันเดียวกัน

หรือเขาอาจรู้สึกดีต่อผู้หญิงคนนั้น

หรือเขาอาจเอ็นดู สงสาร เห็นใจ หรืออะไรก็ตามแต่

เมื่อข้าพเจ้าออกความเห็นว่า

คนนั้นไม่ดี

ข้าพเจ้าจึงโดนกลับมาว่า

ที่ไม่ดี คือ เด็กจากมหาวิทยาลัย ก ต่างหาก

นั่นไง




เรื่องของเรื่องก็คือ

เรากำลังถกเถียงกันว่า

การที่พี่ชายเอาเปรียบคนอื่น

แล้วน้องสาวเออออ

ไม่หือ ไม่ขัด

น้องสาวจะถือว่าเป็นคนไม่ดี ด้วยหรือไม่



หลักการคิดของข้าพเจ้าคือ

น้องสาวไม่หือ ไม่ขัด ไม่แย้ง

อาจเพราะอ่อนแอ

อาจเพราะเกรงใจพี่ชาย

อาจเพราะอ่อนต่อโลก

แต่อย่างไรก็ตาม

การที่พี่ชายเอาเปรียบผู้อื่น

การเอาเปรียบนั้น คือสิ่งที่ผู้เป็นพี่ มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่น้องสาว

ย่อมหมายความว่า

สุดท้ายแล้ว คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ ทั้งพี่ทั้งน้อง



ด้วยเหตุนี้

ถ้ามีสามัญสำนึกมากพอ

พอที่จะรู้ผิดรู้ชอบ

ก็ต้องเอ่ยปากบอกพี่ชาย

หรือทำอะไรบ้าง

ไม่ใช่ปล่อยให้พี่ทำบาปทำกรรมไป

แล้วตัวเองก็ทำหน้าอินโนเซ้นท์

ไม่รู้เรื่อง

หรือจะบอกว่า ไม่รู้...ที่พี่ตัวเองทำน่ะ มันผิด



ถ้าเป็นเรื่องของนาย ข ทะเลาะกับนาย ค

แล้วนาย ง ที่ไม่ได้เป็นห่าเหวอะไรกับทั้งนาย ข และ นาย ค เดินผ่านมา

นาย ง ไม่เข้าไปห้าม ไม่ยุ่ง

แม้สุดท้าย นาย ข กับนาย ค จะฆ่ากันตาย

นาย ง ก็หาใช่คนผิดไม่



แต่นี่ไม่ใช่นาย ง

หรือเป็นนาย ง แต่ข้อเท็จจริงเปลี่ยนเป็นว่า

นาย ง เป็นญาติสนิทกับนาย ข

และนาย ข กำลังทะเลาะกับนาย ค ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์

ของนาย ง

เมื่อเห็นว่าสิ่งที่นาย ข กำลังเรียกร้องจะเอา

ไม่เป็นสิ่งถูกต้องชอบธรรม

และเมื่อนาย ข กำลังหน้ามืดตามัว

ความโลภบังตา

นาย ง ผู้มีส่วนได้เสีย

หากไม่โลภหรือหลงมัวเมาไปด้วยกัน

ก็ต้องหักห้ามญาติของตน

เพราะมิฉะนั้นแล้ว

ทรัพย์สินที่ได้มา ของที่เบียดเบียนผู้อื่นมา

คนที่ใช้ คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ นาย ง

ถ้านาย ง เป็นคนดีพอ

จะไม่กระอักกระอ่วนใจเชียวหรือ

ที่รับของอันไม่สมควรได้

ไปไว้เป็นของๆ ตน

ทั้งหมดนี่ คือ เหตุผลของข้าพเจ้า




เปรียบเทียบไปแล้ว ก็คล้ายๆ กับรับของโจร

ไม่ได้ร่วมปล้นเขา ฆ่าเขา เอาของๆ เขา

แค่รับเอาต่อมาเท่านั้น

ทำไมจึงผิด

นี่แค่รู้หรือควรจะรู้ว่าเป็นของที่ได้มาโดยการกระทำผิด

คนรับยังต้องกลายเป็นคนผิดไปด้วย


นับประสาอะไร กับคนที่อยู่ร่วมหัวจมท้าย

ตั้งแต่ตอนเตรียมปล้น ตอนขณะปล้น จนถึงตอนปล้นสำเร็จ




ข้อกล่าวอ้างข้างต้น ไม่น่าจะมีจุดไหนเชื่อมโยง

ไปถึงเรื่องสถาบันได้เลย

แต่กลับกลายเป็นว่า

สิ่งที่ข้าพเจ้าจำได้ชัดเจนที่สุดในช่วงเวลานั้นว่าด้วยเรื่องนี้

คือประโยคที่คนๆ นั้น ด่าทอข้าพเจ้า

ผ่านการเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน




เรื่องมันนานมาแล้ว

หากแต่เมื่อมีสิ่งใดไปสะกิด

ก็ยังคงกลับมาชัดเจน

อาจเพราะข้าพเจ้ามัวเมาเสียเอง

หรืออาจเพราะข้าพเจ้าเป็นเจ้าคิดเจ้าแค้น

และอาจเพราะข้าพเจ้าเป็นคนไม่ดี

ดังเช่นที่เขาตัดสินมา



แท้ที่จริง

ข้าพเจ้าไม่สมควรยุ่งเกี่ยวกับใครเลย

ที่ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องในชีวิตของข้าพเจ้า

หรือเป็นผู้เกี่ยวข้องในชีวิต

แต่ไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำรงชีวิต


อาจเพราะเรื่องของผู้อื่น

ข้าพเจ้าไม่ควรเอาตัวเข้าไปมีส่วนร่วม

กรรมใครกรรมมัน

หลายครั้งแล้ว ไม่จดไม่จำเสียที

สงบปาก สงบคำ และสงบความคิดเสียเถิด

แพรวาผู้โง่เขลาเอ๋ย

25 พ.ย. 2555

I must be free

รัก 

แท้

รัก

ไม่แท้

รัก

ใคร

รัก 

ฉัน


รัก

ตัวเอง


รัก

ทำเพื่อคนที่รัก


รัก

เพื่อเติมเต็มใจตน


รัก

เสียสละ

รัก

ฝักใฝ่

รัก

ปล่อยวาง

รัก

หวงแหน

รัก

เชื่อใจ

รัก

เป็นเจ้าของ

รัก

อิสระ

รัก

อบอุ่น




จนทุกวันนี้

เพลงนี้

ยังมีความหมาย




23 พ.ย. 2555

มิใช่เพียง...เด็กน้อยโตเข้าหาแสง

ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้

ซึ้ง เศร้า สะท้อนก้นบึ้งของจิตใจ

หลายๆ เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมา

ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า

มนุษย์สามารถกระทำต่อกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ




และคนๆ หนึ่ง

จะสามารถเข้มแข็งและยืนหยัดต่อสู้

เพื่อผู้อื่น

ได้แค่ไหน



เราต้องเข้มแข็ง

เพื่อเอาตัวรอดได้

ในสังคม..เช่นทุกวันนี้


และยังต้องแข็งแรง

พอที่กางปีก

ปกป้องผู้อื่นที่อ่อนแอ

หรือคนที่เราแคร์

ได้อีกด้วย



หนังสือเล่มนี้

บ่มเพาะความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในจิตใจ


หนังสือเล่มนี้ บอกเราว่า

จงยืนหยัดอย่างกล้าหาญ

เมื่อมั่นใจว่า

จุดที่เรายืนอยู่นั้น..ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและดีงาม


หนังสือเล่มนี้บอกเราว่า

เราทุกคน..ไม่มีใครเต็มใจวิ่งเข้าหาความมืด

เพราะเราต่างก็มีแสงสว่างภายในใจ

ไม่ว่าแสงนั้น จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่าใดก็ตาม



เราทุกคน..มิใช่เพียง

เด็กน้อย...เท่านั้น



22 พ.ย. 2555

รับปริญญา..ความวุ่นวายที่ภาคภูมิใจ

โดยส่วนตัว

ข้าพเจ้าเรียนจบระดับอุดมศึกษา

แต่ไม่เคยได้สัมผัสพิธีรับปริญญา

ด้วยตนเอง

ใบปริญญาบัตรของข้าพเจ้า ถูกส่งไปที่บ้าน โดยทางไปรษณีย์



หลายคนถามว่าทำไมไม่เข้าพิธี

ก็จะตอบสั้นๆ เหมือนๆ กันทุกครั้งว่า

"ไม่ชอบความวุ่นวาย และ เปลืองเงิน"

โดนญาติต่อว่า

เพราะหลายคนอยากมา

ลูกหลานอุตส่าห์ได้เกียรตินิยม

ใครๆ ก็อยากชื่นชม


ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ รับคำต่อว่าเหล่านั้น


ทว่า ในบรรดามวลญาติ

ไม่มีปฏิกิริยาใด กระทบใจได้มากเท่า

คำพูดและน้ำเสียงของแม่เมื่อรับรู้ว่า

ลูกสาวจะไม่เข้าพิธีรับปริญญา

แม่ไม่ว่า

แม่ตามใจ

แต่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ว่าแม่..เสียดายและแอบเสียใจ



ข้าพเจ้าจึงตั้งเป้าหมายใหม่ในชีวิต

เพิ่มอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำเข้าไป

คือ เรียน (อะไรสักอย่าง)ให้สำเร็จ เพื่อให้แม่มางานอันน่าภาคภูมินี้

ในสักวัน..




แต่แม้ไม่เข้าพิธีด้วยตนเองในช่วงขีวิตการศึกษาปริญญาตรี

ก็ใช่ว่าจะไม่เคยสัมผัสความวุ่นวายเหล่านั้น

ข้าพเจ้าไปเป็นช่างภาพ (มือใหม่)

ให้เพื่อนรัก

ณ ตอนนั้น

เพิ่งจับกล้องได้ใหม่ๆ

ยังถ่ายแบบมึนๆ

โฟกัสได้บ้าง เบลอๆ บ้าง

แต่ก็พยายามหัด เรียนรู้ และทำความเข้าใจกับกล้องให้มากที่สุด

เพื่อวันนั้น จะได้ทำได้ดีที่สุด

อาจไม่มีโอกาสทำเพื่อเพื่อนรักหลายครั้งนัก

ก็ต้องทำให้ดี



เหนื่อยนะ

แม้ไม่เท่าตัวบัณฑิตที่ต้องตื่นตั้งแต่ 3 ตี 4

แต่งหน้าทำผม (ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องไปนอนเฝ้าที่ร้านเสริมสวย)

เดินๆ นั่งๆ แดดร้อนๆ ใส่ครุยหนาๆ

แต่ก็ต้องเป็นคนถือกระเป๋า

เฝ้าของ

นั่งรอครึ่งค่อนวัน

ตอนนั้น นึกสภาพไม่ออกเลยว่า

ถ้าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ขนกันมา

จะวุ่นวายและลำบากแค่ไหน

แต่ในเมื่อหลายคนมองข้ามความลำบาก

เพื่อแลกกับช่วงเวลาแห่งความปลื้มปิติ

มันก็น่าจะคุ้มนะ












อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็รับรู้และสัมผัสได้บ้างว่า

วันที่เราเป็นบัณฑิตสวมชุดครุย

มันจะเป็นวันที่เราเป็นคนพิเศษ

และเป็นวันที่เราได้เติมเต็มความฝันของใครบางคน

โดยไม่รู้ตัว






ตัวเราคนแรก

ยามเมื่อเราทำผิด

ตั้งแต่เล็กจนโต

เราได้ใครคอยให้อภัย

คอยแก้ปัญหา

ตามเช็ดตามล้าง

ให้เราสามารถผ่านพ้นความรับผิดนั้นมาได้



ยามเมื่อเราพลาด

ใครที่คอยพยุง

ชี้ทางเดินใหม่

ให้เราเริ่มต้นอีกครั้งได้เสมอ



ใช่ว่ามีแต่เราที่ผิดได้พลาดได้

ใช่ว่ามีแต่เด็กหรือผู้น้อยที่สมควรได้รับการอภัย

แท้แล้ว

เราสามารถทำผิดกันได้เสมอ

และสามารถก้าวพลาดได้ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะอาบน้ำร้อนมาสักกี่น้ำ

ก็ใช่ว่าในชีวิตที่เหลือ จะไม่โดนน้ำเดือดๆ ลวกเอา



ในฐานะผู้น้อย

ในฐานะคนที่เคยได้รับการอุ้มชูมาก่อน

ยามเมื่อเราเติบโตขึ้น

แข็งแรงพอที่จะดูแลตัวเอง

และปกป้องผู้อื่น (ได้บ้างแล้ว)

เราย่อมมีหน้าที่..ตอบแทน

คนแรกที่เคยดูแลเรา

คนแรกที่ให้ข้าวให้น้ำ

คนแรกที่ต้องมาก่อน..ตัวเราเอง


คนที่..ถ้าไม่มีเขา

เราก็ไม่อาจมีวันนี้

ก่อนที่จะประคบประหงมและตอบสนองกิเลสของตนเอง

ก็จำเป็นที่จะต้องชำเลืองมองเสียก่อน

ว่าคนเหล่านั้น

อยู่ดีมีสุข เพียงพอแล้วหรือยัง

เขายังเหนื่อยอยู่ไหม

เขายังทุกข์กับสิ่งใดอยู่หรือเปล่า

เขายังอยากได้อะไรเพิ่มเติม

หรือเขายังรู้สึกว่าขาดอะไรไป




และยิ่งจำเป็น

ที่จะต้องคอยเพ่งมอง

และป้องกันมิให้คนเหล่านั้นทำผิดทำพลาด

ให้เกิดความเสียหายแก่ตนเอง

หรือถ้าป้องกันไม่ได้

ก็ต้องช่วยแก้ไข




เรามิอาจปล่อยวางได้

เมื่อผู้มีพระคุณเห็นผิดหรือก้าวพลาด

ต่อให้ปีกเรายังไม่กล้า ขาเรายังไม่แข็ง

ก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่

ที่จะฉุดรั้งเขาเหล่านั้นให้ออกมาจากวังวนที่ไม่ดี



พวกเขาอยู่เหนือสถานะอื่นใดที่เราสามารถตัดความสัมพันธ์ได้

พวกเขาคือส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณของเรา



เราจึงมีหน้าที่ ดูแล ปกป้อง พวกเขา

ทั้งทางกายและทางใจ

ดุจดังเราปฏิบัติต่อตนเอง


20 พ.ย. 2555

ทางเสื่อม

ตรรกะ และเหตุผล


บางครั้งก็ทำให้เราเหนื่อย


เหนื่อยที่ไม่อาจเข้าใจเหตุผลของผู้อื่น


เหนื่อยที่ไม่อาจยอมรับตรรกะงงๆ ค่อนไปทางวิบัติของใครๆ





เมื่อรู้สึกเหนื่อย ก็อยากพัก อยากวาง

 



แต่จะให้ปล่อยวาง ให้เพียงชำเลืองวิถีทางที่เขาเดินไป


ทั้งที่รู้ว่าเป็นทางเสื่อม แต่มิอาจรั้งได้อย่างไร


หากไม่ใช่คนใกล้ตัว ไม่ใช่คนที่รักกัน


คงไม่กระทบกระเทือนความรู้สึก


แต่หากคนนั้นสำคัญ เราจะนิ่งเฉยได้หรือ




ก็พูดออกไปเสียสิ เตือนเขาเสียสิ


บางครั้งมันก็พูดยาก


บางครั้งก็โพล่งออกมาด้วยความคับแค้นใจว่า


เรื่องธรรมดาสามัญ ที่มนุษย์ผู้หนึ่งควรจะรู้ผิด รู้ชอบ รู้อันไหนชั่ว และอันไหนดี


มนุษย์ผู้หนึ่งที่โตพอจะมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง


ยังต้องการคนอื่นมาชี้นิ้ว มาจูงมือให้เดินไปอีกหรือ


ไม่เตือน ไม่พูด ไม่บ่น ไม่ว่า หาใช่ไม่รู้สึก ไม่ห่วงใย


แต่เมื่อสันดานข้าพเจ้า คือมิใคร่พูดอะไรที่รู้กันอยู่


เช่นดียวกับไม่ใคร่ให้ใครมาสั่งสอน สิ่งสามัญ ที่สามารถคิดเองได้


ไม่ชอบให้ใครมองว่าโง่ดักดาน


จึงไม่ใคร่มองว่าจะมีใครโง่ดักดานเช่นกัน


ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติต่อผู้อื่น ให้เหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวเอง



แต่เหตุผลของข้าพเจ้า อาจไม่ถูกต้องนัก


บางคน อาจต้องการการจ้ำจี้จ้ำไช


ต้องการคนโอบอุ้ม ต้องการการสนใจ..


มากจนลืมที่จะสนใจว่า


ตนเองก็ควรจะคิดได้ ด้วยสติปัญญาตนเอง




ตนไม่เตือนตน


แล้วจะหวังให้ใครมาเตือน


ตนทำตนให้เป็นคนโง่


พาตนไปในวิถีทางเสื่อมที่เลือกเอง


แล้วจะหวังให้ใครมาฉุดรั้ง ดึงขึ้นจากขุมนรก




การไม่คิดอะไร หาใช่ข้ออ้างของความผิด


ไม่เช่นนั้น คงไม่มีใครต้องตกนรกหมกไหม้


เพราะคนที่ทำผิดส่วนใหญ่ ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตนทำ..มันผิด




กฎแห่งกรรม ...


ไม่ละเว้นให้คำว่า ไม่คิดอะไร


ไม่ละเว้นให้คำว่า ไม่ตั้งใจ


และไม่ละเว้น..ให้ใคร





โลภะ โทสะ โมหะ


มีในทุกคน


แต่อย่าให้มากจนกัดกินจิตวิญญาณ


สนองกิเลสตนหรือผู้อื่นแต่พอประมาณ


ไม่กระทบใคร ไม่เดือนร้อนใคร


เป็นคนดี ต้องดีตามกฎศีลธรรม


ไม่ใช่ดีตามกฎสังคมดัดจริต




ตื่นเสียเถิด


ใช้ปัญญาให้มาก


คิดให้มาก


คิดในทางที่ถูกที่ควร คิดไตร่ตรองสิ่งที่ควรคิด


มิใช่คิดเวิ่นเว้อ คิดไปทั่ว คิดมั่วไปหมด


สุดท้าย..ใครกันที่ทุกข์ ใครกันที่ต้องเสียใจ



....


หาใช่ข้าพเจ้าหรอก เพราะข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ชม..ก็เท่านั้นเอง