24 ธ.ค. 2555

ชิงชัง..ระบบอุปถัมภ์


กว่าที่ความคิดอย่างหนึ่งอย่างใด

จะฝังลงจิตใจของใครสักคนได้

คงไม่ใช่แค่ครั้งเดียว วันเดียว

บางคน เจอซ้ำๆ เจ็บซ้ำๆ เกลียดซ้ำๆ

มันก็เป็นธรรมดาที่จะจำ..ฝังใจ


ข้าพเจ้าหลีกหนีระบบราชการ

เพราะชิงชังความเฉื่อยชา

เช้าชามเย็นครึ่งชาม

อีกทั้งระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกในสังคมจนเกินเยียวยา


อันที่จริง ครอบครัวข้าพเจ้าก็มีพื้นฐานมาจากการรับราชการอยู่บ้าง

ปู่เป็นทหาร

ย่าเป็นครู

สมัยเด็กๆ ข้าพเจ้าจะได้อภิสิทธิหลายอย่างที๋โรงเรียน

เพราะย่าเป็นครูที่โรงเรียนประถมนั้น

ข้าพเจ้าเข้าก่อนเกณฑ์ถึงหนึ่งปีเต็ม

แต่ก็ได้เลื่อนชั้นมาเรื่อยๆ

ข้าพเจ้าไว้ผมยาวได้จนถึง ป.1

ทั้งที่เพื่อนๆ ต้องตัดสั้นเห็นติ่งหูตั้งแต่อนุบาล

(เพราะเป็นโรงเรียนรัฐบาล)

ตกเย็น ระหว่างรอรถรับส่ง

ก็จะมีพี่ๆ ป.5- ป.6 มาเล่นเป็นเพื่อน

มาดูแล หลานครูจิ๋ม (ย่าข้าพเจ้าชื่อเล่นว่า จิ๋ม)


และสำหรับครอบครัวข้าพเจ้า

ระบบอุปถัมภ์ก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

จำได้ว่า ตั้งแต่จะเข้าเรียน ม.1

ย่าข้าพเจ้าไปฝากฝังหรือจัดการอะไรสักอย่าง

จะให้ข้าพเจ้าเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมที่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด

ข้าพเจ้าดื้อ ไม่อยากเรียนที่นั่น

อยากเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง

จึงไปสมัครด้วยตนเอง

ย่าโกรธ

แต่ข้าพเจ้าก็หาได้ละความตั้งใจ

ทำได้แค่ขอโทษย่า แล้วตั้งใจเดินหน้าต่อ



ข้าพเจ้าจับฉลากเข้าโรงเรียนนั้นไม่ได้

(ได้สิทธิจับฉลากเพราะบ้านใกล้ แต่ก็ยังเป็นผู้ไม่มีดวงอยู่ดี)

จึงตั้งใจจะสอบ ซื้อคู่มือ ซื้อหนังสือมาเตรียมอ่าน

แต่ขณะเดียวกัน

พ่อก็เตรียมวิ่งเต้น หาทางให้ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนโดยวิธีอื่น

แต่ก็เท่านั้น

ผลออกมา ข้าพเจ้าสอบติด (ได้อันดับดีเสียด้วย หุหุ)

ได้เรียนโรงเรียนนั้นสมใจอยาก

ด้วยความสามารถตนเอง




ความจริงก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก

กับการที่คนในครอบครัวไม่เชื่อใจในความสามารถเรา

ไม่ไว้วางใจในสิ่งที่เราเลือก

แต่ก็มีน้อยใจบ้าง ตามประสา




จนมาอีกครั้งหนึ่ง

ก็ตอนเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี

ข้าพเจ้าหางานอยู่ประมาณเกือบเดือน

เริ่มเครียด

ที่บ้านก็ปฏิบัติการคะยั้นคะยอให้ข้าพเจ้าไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง

อาข้าพเจ้าเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลที่ ปตท

และค่อนข้างมีเพื่อนฝูงเครือข่ายอยู่พอสมควร

เพื่อนอาคนหนึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลอยู่ที่บริษัทนั้น

ข้าพเจ้าบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง

แต่เมื่อไม่ได้งานเสียที

ก็จำต้องไปตามคำสั่งของผู้ใหญ่หลายคนในครอบครัว

เมื่อไปถึง

ข้าพเจ้าก็กรอกใบสมัครตามปกติ

รออยู่นาน เจ้าหน้าที่ก็เรียกเข้าไปคุย

เขาไม่อ่านใบสมัครที่ข้าพเจ้ากรอกไปแม้แต่น้อย

คำถามแรกที่เอ่ยออกมาคือ

"รู้จักใครในนี้หรือเปล่า ทำไมถึงมาสมัครที่นี่"

ข้าพเจ้าก็บอกเขาไปเพียงว่า

อาแนะนำมา บอกว่าที่นี่เปิดรับ

เขาถามต่อว่า แล้วทำไมอาให้มาสมัคร อารู้จักใคร

ข้าพเจ้าจึงเอ่ยชื่อเพื่อนของอาออกไป

เท่านั้นแหละ

เขาตกลงรับข้าพเจ้าเข้าทำงานทันที

แต่ตำแหน่งอะไรยังไม่แน่ใจ

เงินเดือนได้เท่าไหร่ยังไม่รู้

เดี๋ยวจะให้คุยกับเพื่อนอาอีกที

ข้าพเจ้าโกรธมาก

อึดอัด

และรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างรุนแรง



ข้าพเจ้าออกมาจากที่นั่น ยืนร้องไห้ที่ป้ายรถเมล์

โทรศัพท์หาอา

บอกว่าจะไม่ทำงานที่นี่ ข้าพเจ้ารังเกียจบริษัทนี้

และรับไม่ได้การวิธีการคัดเลือกบุคลากรของเขา

อาตกใจ

และคงโกรธที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนั้นออกไป

อาบอกว่า ผิดที่ข้าพเจ้าเองที่ไม่สามารถแสดงความสามารถให้เขาเห็นได้

ก็อาจใช่

ข้าพเจ้าไม่มีเรี่ยวแรงนำเสนอความสามารถตัวเอง

ให้คนที่มีหลักเกณฑ์การทำงานเช่นนั้นมองเห็นได้

อาบอกอีกว่า

สถานะข้าพเจ้าในตอนนั้น

ไม่สำคัญหรอกว่าจะเข้าได้ยังไง

ขอแค่เข้าให้ได้ แล้วค่อยแสดงความสามารถก็ยังไม่สาย


แต่มันก็เป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง

ที่ไม่อาจทำใจก้าวเข้าไปในที่แห่งนั้นได้



ไม่กี่วันถัดมา

ข้าพเจ้าได้งานที่บริษัทกฎหมาย

ซึ่งข้าพเจ้ายังคงทำมาจนถึงปัจจุบันนี้

ด้วยความสามารถของข้าพเจ้าเอง

อาข้าพเจ้าดีใจ

ข้าพเจ้าก็ดีใจ



ข้าพเจ้ารู้อย่างแน่ชัดแล้วว่า

ความชิงชังระบบเอื้อเฟื้อเพื่อนพ้องที่มีในใจข้าพเจ้า

มันมากมายเพียงไหน

และมันยังคงมีอยู่

ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ในสถานะเป็นผู้ได้ประโยชน์หรือไม่ก็ตาม

ขออย่าให้ได้เจอกับความเห็นแก่ตัวเช่นนี้อีกเลย



ข้าพเจ้าไม่ต้องการการอุปถัมภ์ในลักษณาการเยี่ยงนี้

ข้าพเจ้ารังเกียจมัน

จากก้นบึ้งของหัวใจ

20 ธ.ค. 2555

More Long Journey..

ชีวิตเราเดินทางมาเนิ่นนานเท่าไหร่

ระยะทางเท่าใด

และต้องไปอีกไกลแค่ไหน


ไม่อาจรู้ได้



คำคมเขาว่ากันว่า

"ชีวิตคือการเดินทาง"



ถ้าเป็นเมื่อก่อน

วาทะนี้สำหรับข้าพเจ้า

คงเป็นแค่การเปรียบ และมีความหมายแค่เชิงนัยยะ

แต่สำหรับช่วงนี้ของชีวิต

เรียกว่าเป็นช่วงชีวิต

เพราเป็นเช่นนี้มาได้สักพัก (ใหญ่ๆ)


ชีวิตคือการเดินทางที่ว่านี้

มีความหมายทั้งโดยนัยและโดยตรง

ชีวิตของข้าพเจ้าเดินทาง

และข้าพเจ้าก็เดินทาง



รถ "อ้วน" ของข้าพเจ้าและคนรัก

เพิ่งถอยจากศูนย์เมื่อประมาณเดือนเมษายน

บัดนี้ ล่วงเลยมาเพียง 9 เดือน

เจ้าอ้วน ใกล้จะได้เข้าไปเช็คสภาพ

ด้วยระยะทาง 40,000 กิโลเมตรแล้ว


สาบานได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้แอบเอาเจ้าอ้วนไปรับจ๊อบขับแท็กซี่แต่ประการใด


ข้าพเจ้าเดินทางโดยเจ้าอ้วน

คนรักของข้าพเจ้า เดินทางโดยเจ้าอ้วน

หลายครั้งเราไปด้วยกัน

และหลายครั้ง ไปเพียงลำพัง


เดิมที ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะขับรถเท่าใดนัก

ข้าพเจ้าเกลียดรถติด

หวานกลัวความุทะลุของมนุษย์

และสะอิดสะเอียนความเห็นแก่ตัว

บนท้องถนน มีสิ่งเหล่านี้อยู่มากเกินไป

แต่เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ ปรับตัว และเอาชีวิตรอด

ไปให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ทั้งข้าพเจ้าและเจ้าอ้วน

ข้าพเจ้าปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

แม้ในบางสถานการณ์ จะไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

แต่ก็นั่นเอง ข้าพเจ้าไม่อาจแน่ใจได้ว่า

เวลาไหนจำเป็น และเวลาไหนผ่อนผันได้

อะไรๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน

และสิ่งที่ฝังอยู่ในความคิดข้าพเจ้าก็คือ

หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

มีการชนกัน เบียดกัน สีกัน จูบกัน

ข้าพเจ้าจะต้องไม่ใช่ฝ่ายผิด



ข้าพเจ้าเคร่งครัดทั้งกับตนเองและผู้อื่น

หากข้าพเจ้านั่งรถ ที่คนขับไม่มีมารยาทบนท้องถนน

มันจะอึดอัด

ต่อให้คนๆ นั้น สามารถควบคุมรถได้ดีแค่ไหน

ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ

สิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญคือ

น้ำใจ และมารยาทในการขับขี่

ข้าพเจ้ายินดีนั่งบนรถที่คนขับ ขับมุทะลุ ขับเร็ว หรือเหยียบเบรคหัวทิ่ม

แต่หยุดรถตรงทางม้าลายให้คนข้าม

ไม่ทับเขตปลอดภัย

เข้าคิวเลี้ยวซ้าย

หรือมีน้ำใจให้ผู้อื่นในสถานการณ์ที่สมควร

มากกว่าจะยินดีนั่งกับคนไม่มีมารยาท ปาดหน้าผู้อื่น แซงคิว

หรือแม้กระทั่งวิพากษ์การขับรถของผู้อื่นในเชิงว่าผู้อื่นนั้นอ่อนด้อย

อันหลังนี้ เป็นความหมั่นไส้ส่วนตัว

เห็นลักษณาการนี้ มันทำให้นึกแย้งไม่ได้ว่า

"เมิง (แก) ก็เคยเป็นคนหัดขับไม่ใช่รึ จะไปวิพากษ์คนอื่นที่เขาแค่เพิ่งหัดขับทีหลังทำไม"



เอาเถอะ ว่าจะเขียนถึงการเดินทางที่โรแมนติกเสียหน่อย

กลายไปเข้าเรื่องสะกิดต่อมความเคืองได้ยังไงกัน 555



ส่วนใหญ่ หากเดินทางกับคนรัก

ก็จะเป็นเขาที่ขับรถ

ยกเว้นบางกรณี และเวลาที่เขาขี้เกียจ

ครั้งหนึ่ง (ไม่นานมานี้)

คนรักให้ข้าพเจ้าขับรถกลับจากอุดรธานี มากรุงเทพฯ

ในช่วงเทศกาล

รวมเวลา 12 ชั่วโมง

และเขาขับต่ออีก 4 ชั่วโมง จึงถึงจุดหมาย

ก็เป็นอันว่า

ข้าพเจ้าได้เรียนรู้การขับรถในสถานการณ์ไม่พึงประสงค์จนเกือบครบแล้ว

ทั้งขับรถตอนกลางคืน

ขับทางไกล

รถติดบรรลัย

ถนนขรุขระ

ขับในดงรถบรรทุก

ฝนตกหนักจนที่ปัดน้ำฝนเอาไม่อยู่

ขับมาราธอน


อาจจะเหลือการขับขึ้น-ลงเขาชันๆ กระมัง หึๆ




บางครั้ง ข้าพเจ้าก็หยิบกล้องมาถ่ายรูป

ท้องฟ้าสวยๆ

เมฆเป็นก้อนๆ แผ่นๆ

ภูเขาสลับซับซ้อน

พระอาทิตย์ตกเขา หรือซ่อนในพุ่มไม้

บางที เจอสถานการณ์ตลกๆ ถ้าคว้ากล้องทัน

ก็ได้เก็บภาพ ไว้เป็นที่ระลึก



เจ้า "เอ๋อ" GPS ที่ไปกับเราเสมอๆ เป็นคู่หูของเจ้าอ้วน

อ้วน-เอ๋อ

บางครั้งก็พาเราไปถึงที่หมายอย่างราบรื่น

แต่หลายครั้ง ... "เมิงพากูมาที่ไหนเนี่ย???"...หึๆ




ครั้งหนึ่ง เราเดินทางไปโคราช ฝนตกหนักมาก จนภาพที่เห็นเบื้องหน้า..มีเพียงเท่านี้

ทั้งที่เวลาขณะนั้น น่าจะไม่เกิน 6 โมงเย็น





ที่พัทยา เราตามหลังรถทัวร์คันหนึ่ง

สภาพมันเป็นอย่างเนี้ย

จนอดสงสัยไม่ได้ว่า

จะไปถึงที่หมายกันอย่างปลอดภัยไม๊ฮึ??


*****************









ต้นไม้บังตะวัน   ภูเขาสลับซับซ้อนยามเย็น   และคนขับเจ้าอ้วน  ^^

เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ

11 ธันวาคม 2555





ข้าพเจ้าชอบการเดินทาง

การเดินทางที่มีข้าพเจ้าและคนที่ข้าพเจ้ารัก

เราไปด้วยกัน

เหนื่อยด้วยกัน

พักด้วยกัน

เห็นและเรียนรู้อะไรๆ ด้วยกัน





เราอาจเดินทางด้วยกันมาเนิ่นนาน

และเราอาจต้องเดินทางด้วยกันไปอีกเนิ่นนาน





ข้าพเจ้ายินดี



ด้วยรัก






19 ธ.ค. 2555

ถึงแล้วโทรมาด้วยนะ..เป็นห่วง

เมื่อก่อน

เวลาไปไหนมาไหน..กับใครสักคน

แล้วคนๆ นั้นบอกกับข้าพเจ้า

ในช่วงขณะที่กำลังจะแยกจากกันว่า..

"ถึงแล้วโทร (ยิง) มาด้วยนะ"

แล้วอาจจะต่อหรือไม่ต่อด้วยคำว่า

"...เป็นห่วง"

ข้าพเจ้าจะดีใจ เป็นปลื้ม และรู้สึกดีกับคนๆ นั้น

รู้สึกว่าเขาใส่ใจ แคร์เรา เป็นห่วงเราจริงๆ


แต่ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับความคิด

เมื่อไม่นานมานี้

ข้าพเจ้าได้ยินประโยคนี้ จากเพื่อนคนหนึ่ง

แต่กลับไม่ได้ดีใจหรือรู้สึกดีกับประโยคนี้เท่าไหร่


เพราะรู้สึกสงสัยว่า

เป็นห่วง..จริงๆ ?? หรือแค่พูดไปตามมรรยาท

ให้ดูว่าเป็นห่วง ให้ดูว่าเขาสนใจเรา

แล้วถ้าเราไม่โทร..เขาจะทำยังไง

เขาจะกังวลไหม ว่าเราเป็นอะไรไป

ระหว่างการเดินทาง



ข้าพเจ้ากลับถึงที่พัก

ไม่ได้โทร ไม่ได้ยิง ไปถึงเพื่อนคนนั้น

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นั่นหมายความว่ายังไง?



ข้าพเจ้ากลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย

และใส่ใจกับคำว่า "จริงใจ" มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

(พอจะนึกสาเหตุได้อยู่บ้าง)



แต่นั่นไม่สำคัญหรอก

สำคัญที่..หลายๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่

สามารถพิสูจน์ความจริงใจต่อกันระหว่างความสัมพันธ์ได้เสมอ



ข้าพเจ้าไม่ใคร่ยินดีอีกต่อไปสำหรับข้อความนี้

เพราะสำหรับข้าพเจ้า

หากเป็นห่วงใครสักคนจริงๆ

ข้าพเจ้าจะคาดคะเนเวลาที่เขาคนนั้นจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

แล้วโทรไปหาเขาเสียเอง

ได้ยินเสียงเขา

และให้เขาได้ยินเสียงข้าพเจ้า

เพื่อเราจะได้รับรู้กันว่า

.
.
"ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ"




7 ธ.ค. 2555

อย่าให้ว่าง มันจะยุ่ง

ตั้งแต่เด็กๆ สมัยแตกเนื้อสาว

ทำอะไรๆ ได้เอง

มีอิสระในการใช้ชีวิต

ทำเอง เสี่ยงเอง รับเองได้

ข้าพเจ้าก็วิ่งเข้าหาสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา

ทำตัวเองให้ยุ่ง ให้มีอะไรต้องทำ

ไม่ค่อยอยู่ว่างๆ

เพราะรู้สึกว่า

วันๆ หนึ่งที่หายใจทิ้งไปเสียเฉยๆ

มันน่าเสียดาย



ยิ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

ถึงกับต้องจัดตาราง มีสมุดโน้ตติดตัวอยู่ตลอดเวลา

ลงบันทึกว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง

อันไหนด่วนสุด อันไหนหยวนๆ

ตอนนั้น รู้สึกสนุกสนานกับการใช้ชีวิตมาก

เพราะรู้สึกว่ามันคุ้มค่า

อยากทำอะไรก็ได้ทำ

แม้จะต้องแลกกับอะไรหลายๆ อย่าง

ก็หาได้สนใจสิ่งที่เสียไป
 


เพราะพิจารณาแล้วว่าสิ่งที่ได้มา มันคุ้มค่า

 

จนถึงตอนนี้

นิสัยเดิมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป

อะไรที่อยากทำจริงๆ ก็จะทำ

เอาแต่ใจ

อะไรที่ไม่อยากทำ แต่คิดว่าคงทำได้

ก็อาจจะทำ

แต่ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละ

แล้วแต่อารมณ์


 

เหตุที่เป็นเช่นนี้

อาจเพราะเนื้อแท้จริงๆ

ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คิดมาก

และมักคิดไปในทางร้าย

ยิ่งบวกกับการมีสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ดีในขณะนั้นด้วยแล้ว

ประสิทธิภาพในการคิดอย่างสมเหตุสมผลจะลดลง

เมื่อทะเลาะหรือมีเรื่องหมางใจกับใคร

จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

ที่ข้าพเจ้าจะต้องหาหนทาง

นำพาตัวเองออกมาจากจุดๆ นั้น

ไกลจากคนนั้น

ไกลจากเรื่องนั้น

เพื่อรอจังหวะ รอเวลา ที่พร้อมจะคิดจริงๆ



อย่าด่วนสรุปความคิดและการกระทำของข้าพเจ้า

อย่าคิดว่ารู้จักข้าพเจ้าดีแล้ว

อย่าคิดแทนว่าสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นอย่างนั้น มันเพราะอะไร

อย่าตัดสิน..หากยังไม่ได้รู้ ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เข้าใจจริงๆ

เพราะอย่างไรซะ ก็ไม่มีใครเข้าใจใคร

ไปได้ทุกเรื่อง

และแม้จะมั่นใจในความเข้าใจของตนเอง

มั่นใจในสติปัญญาของตนเองแล้ว

ก็อย่าลืมว่า

จิตใจมนุษย์นั้น..ยากแท้หยั่งถึง

 


และข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง เท่านั้นเอง




30 พ.ย. 2555

มงคลชีวิต..มิตรแท้ยามจิตไม่ค่อยมงคล



ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือนี้ตั้งแต่สมัยอยู่ชั้น ป. 4

ตอนนั้น นักเรียนชั้นประถมปลาย จะถูกบังคับให้อ่านหนังสือเล่มนี้

(จำไม่ได้ว่าทุกคนหรือไม่)

เพื่อเข้าร่วมแข่งขันตอบปัญหาธรรมะ

ณ เวลานั้น ข้าพเจ้านึกไม่ได้ว่า

ต้องอ่านหนังสือ ต้องท่องเนื้อความในนั้น

ไปเพื่ออะไร

จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่า

ข้าพเจ้าไปนั่งสอบกับเขาด้วยหรือ

มาเปิดดู portfolio อีกที

ก็มีเกียรติบัตรโชว์หราอยู่แล้ว

นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

กรูไปสอบมาตอนไหนหว่า 555+

อย่างไรก็ช่างเถิด


อย่างน้อย กิจกรรมนั้น ก็มีประโยชน์แก่ชีวิตเล็กๆ ของข้าพเจ้าอยู่บ้าง

เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จัก "มงคลชีวิต" เป็นครั้งแรก


ตอนอ่านเมื่อชั้น ป.4 นั้น

เนื่องด้วยนักเรียนจำนวนมากต้องอ่าน

แต่หนังสือมีให้แค่ห้องละ 2-3 เล่มเท่านั้น

จำไม่ได้ด้วยว่ามีขายหรือไม่อย่างไร

รู้แค่ว่า ไม่ค่อยมีนักเรียนคนไหน มีไว้ครอบครองเป็นของส่วนตัว

ดังนั้น วิธีการอ่านก็คือ

ตอนเช้า นักเรียนจะต้องมาโรงเรียน

จับกลุ่มกัน กลุ่มละประมาณ 10 กว่าคน

แล้วคัดเลือก 1 คนในกลุ่ม

ที่ (คิดว่า) มีทักษะการอ่านออกเสียงดีที่สุด

ให้เป็นผู้อ่านหนังสือเล่มนั้น

ให้ทุกๆ คนฟัง

อ่านวันละบทกระมัง หรือสองบท ไม่น่าจะเกินนี้

ทำอย่างนี้ในทุกๆ เช้า

ในช่วงเวลาหน้าเสาธง

หมายความว่า นักเรียนที่ต้องอ่านหนังสือนี้

ไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ

ไม่ต้องฟังครูบ่นนู่นนี่นั่น



สิ่งที่ต้องทำมีแค่ อ่านจนครบหมดทุกบทในเล่ม

ซึ่งก็มีประมาณ 38 บท

ตามหนังสือนั้น คือ มงคลชีวิต 38 ประการ

นั่นเป็นการอ่านตอนไม่ประสีระสาเท่าใด

จำไม่ได้ว่ามีอะไรเข้าหัวบ้าง

จำได้แค่ว่า ท่องไปวันๆ

ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บลาๆๆ

เล่มที่อ่านตอนนั้น มิได้มีรูปเล่มและหน้าปกดังที่ขึ้นไว้เมื่อเปิดเรื่อง


แต่มีหน้าตาเช่นนี้




(เล่มสีแดงนั้น เป็นฉบับกระเป๋า ที่ข้าพเจ้าซื้อให้เพื่อนรักเป็นของขวัญวันรับปริญญา)



ต่อมาเมื่ออยู่ชั้นมัธยมต้น

ข้าพเจ้าได้ไปพบหนังสือนี้เข้า ในห้องสมุดของหมวดสังคมศึกษา

จึงยืมมาอ่าน

อ่านแล้วก็ชอบ

อ่านอยู่นั่นแหละ

เสาร์ อาทิตย์ อยู่บ้าน ก็อ่านไปเรื่อยๆ

(สุดท้าย ได้คืนห้องสมุดหรือไม่ อันนี้เริ่มไม่แน่ใจ เหอๆ)

 
รู้สึกเข้าใจมากขึ้น

แน่นอนว่าต้องเข้าใจและรู้เรื่องมากกว่าตอนประถมอยู่แล้ว

อ่านเวอร์ชั่นเดียวกับที่อ่านตอนประถมนั่นแหละ

มีโคลงสี่สุภาพเปิดเรื่อง

มีคำอธิบาย

มีสรุป

อ่านเข้าใจง่ายทีเดียว

ยังสงสัยอยู่ว่า

(ทำไมตอนเด็กๆ กรูอ่านไม่รุเรื่องฮึ)

ตอนนั้น มีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ

อยากทำแต่สิ่งดีๆ

ความจริง สำหรับข้าพเจ้าแล้ว

หนังสือเล่มนี้

เป็นหนังสือ How to ที่ดีและมีค่ามากที่สุด

ตั้งแต่อ่านหนังสือประเภทนี้มา

และแม้กระทั่งตอนเรียนมหาวิทยาลัย

ที่อ่านหนังสือ How to อย่างบ้าคลั่ง

ทั้งของฝรั่ง ของคนไทย ของพระไทย

ก็ยังรู้สึกว่า

จริงๆ แล้ว

หนังสือพวกนั้น ก็แค่รายละเอียดยิบย่อย

ที่เอาแก่นแท้มาแปลงเป็นตอนเป็นเรื่อง

ทำให้เป็นเล่มๆ

โปรยปกเท่ๆ

ประทับตรา Best Seller

ก็เท่านั้น

สุดท้ายแล้ว

แก่นแท้ก็เพียง...เท่านั้นเอง




ชีวิตจะดี ก็เมื่อทำสิ่งดี

มงคลไม่มงคล อยู่ที่ดีพอหรือยัง

29 พ.ย. 2555

หลวงปู่ฝากไว้..ดีใจที่ได้รับ

เมื่อครั้งไปบวชอยู่วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม)

เป็นวัดบ้าน เป็นสำนักปฏิบัติธรรม

เป็นศูนย์อบรมพัฒนาจิตในเชียงใหม่

ปฏิบัติแบบ ยุบหนอ พองหนอ

วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)



บวชอยู่เดือนหนึ่งโดยประมาณ

ได้ผลบ้าง ล้มเหลวบ้าง

สงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง

ถึงขั้นร้องไห้เลยก็มี

ส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากการระลึกถึงปมปัญหาในใจ

เรื่องไหนสำคัญ เรื่องไหนเป็นแผลลึก

ก็โผล่ขึ้นมาก่อน

เหมือนตอใต้น้ำ พอน้ำมันลด ตอใหญ่สุดก็ผุดก่อนชาวบ้าน



ดีที่ได้มีโอกาสปฏิบัติ

ตอนนั้นยังแค่รู้สึกอยากปฏิบัติธรรม

อยากไปนั่งสมาธิ

ทั้งที่ก็ไม่รู้ชัดเจนหรอกว่าการนั่งสมาธิ

จริงๆ แล้วเขาทำกันยังไง

ทำไปเพื่ออะไร

รู้แค่ทำแล้วดี ทำแล้วสงบ

อยากมาตั้งแต่เด็กๆ

แต่เพิ่งได้ม๊โอกาสไปจริงๆ ก็ตอนปิดเทอมฤดูร้อน

เมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 1



ตอนนั้น เมื่อเริ่มฝึก

สิ่งแรกที่เป็นปัญหา และเข้าไปสอบอารมณ์กับพระอาจารย์ก็คือ

หนูหายใจไม่ได้ค่ะ

พองไม่เป็นพอง ยุบไม่เป็นยุบ

หมายความว่า เวลาหายใจเข้า ท้องไม่พอง

เวลาหายใจออก ท้องไม่ยุบ

แล้วก็เกิดการอึดอัด เพราะร่างกายไม่เป็นไปตามกลไกที่ควร

สรุปคือ

หายใจไม่เป็น

มาตลอดเวลาประมาณ 18 ปี หึๆ

อันนี้นคือตอนเริ่มฝึก

แต่ที่ไปบวชนี่คือ อีก 3 ปีต่อมา

โดดเรียนไปบวช 555

บวชตอนปี 4 เทอม 2


เพราะคิดว่า ถ้าไม่บวชตอนนี้ ก็คงไม่ได้บวชเป็นแน่

เพราะเรียนจบก็ต้องทำงาน ต้องจริงจังกับการหาเงิน

เพื่อใครหลายๆ คน

นั่นจึงเป็นโอกาสเดียว


บวชเป็นแม่ชี มีสิ่งดีๆ หลายอย่างเข้ามาในชีวิต

ก่อนกลับ ก็มีกัลยาณมิตรนำของมาให้

ทั้งพระจากอินเดีย พระของวัดร่ำเปิง หนังสือธรรมะต่างๆ

ซาบซึ้งใจอยู่มาก

แต่ที่ดีที่สุด

คือการได้ (ยืม) หนังสือมาจากที่นั่น

ตั้งใจจะคืนนานแล้ว แต่ยังไม่ได้คืนเสียที

ต้องรีบคืนพร้อมหนังสือที่ตั้งใจถวายวัดอีกหลายเล่ม

มิเช่นนั้น หากข้าพเจ้าตายขึ้นมา

จะเป็นเวรเป็นกรรม

เอาของวัดมาแล้วไม่คืน


หนังสือเล่มนั้น

เป็นเสมือนใบเบิกทาง

อ่านครั้งแรกตอนอยู่บนรถประจำทางจะไปบ้านยาย

อ่านตลอดทาง แปลกที่ไม่ปวดหัวปวดตาเลย

จะว่าเพลินก็ไม่น่าจะใช่

ออกแนวอินในรสพระธรรมเสียมากกว่า

หนังสือชื่อว่า

"หลวงปู่ฝากไว้ Gifts He Left Behind"

เป็นฉบับสองภาษา คือมีแปลภาษาอังกฤษด้วย



ว่าด้วยเรื่องราวคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ท่านเป็นพระสายวัดป่า

ความจริง ณ ตอนนั้น

ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าอะไรคือวัดบ้าน พระบ้าน อะไรคือวัดป่า พระป่า

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้ามีแนวปฏิบัติธรรมกันกี่แนว

อ่านหนังสือก็ไม่ใช่จะเข้าใจทั้งหมด

รู้แค่อ่านแล้วใจสงบ

อยากอยู่นิ่งๆ

อยากนั่งสมาธิ

จิตใจมันเย็นๆ เหมือนน้ำนิ่งๆ ใสๆ

เหมือนมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่าง



ตอนนั้น ข้าพเจ้าโศกเศร้า ที่ต้องจากที่นั่นมา

แม่ชีพี่เลี้ยง เอาโน้ตสำหรับท่องบทลาสิกขามาให้

ข้าพเจ้าไม่อาจท่องได้

พอถึงเวลา

แม่ชีก็บอกว่า ท่องไม่ได้ก็อ่าน

ข้าพเจ้าก็เกือบอ่านไม่ได้

น้ำตาไหล

ร้องไห้ และ ไม่อาจเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาได้

ต้องท่อง 3 รอบ รอบแรกอ่านช้าๆ

รอบสองเสียงสั่นๆ

รอบสามน้ำตาแตก 555


พระอาจารย์หยิบทิชชู่ใส่อะไรสักอย่างยื่นให้

แล้วบอกว่า

"ไม่ต้องร้อง อยากกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับมา"



การพลัดพรากจากของที่รัก..เป็นทุกข์



ข้าพเจ้าดีใจที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้

ดีใจที่ได้มีโอกาสสัมผัสความสงบ

แม้เพียงเล็กน้อย

ข้าพเจ้าดีใจที่ได้พบวัดร่ำเปิง

ดีใจที่ได้พบหลวงปู้ดูลย์

ดีใจที่ได้พบคนรัก ผู้นำพาข้าพเจ้าให้รู้จักการปฏิบัติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


...


ข้าพเจ้าดีใจที่ได้พบพระพุทธศาสนา


28 พ.ย. 2555

หรือเพราะมัวเมา อาฆาตแค้น

เมื่อนานมาแล้ว

ข้าพเจ้าเคยโกรธ

เพราะถ้อยคำ ประโยค บางอย่าง

จำเนื้อความไม่ใคร่ได้ชัดเจน

แต่ใจความสำคัญคือ

การดูถูกสถาบันการศึกษาที่ข้าพเจ้าจบมา

ความจริง อาจไม่ใช่การดูถูก หรือก่นด่า สถาบัน

แต่เป็นการเหมารวม คนที่เรียนที่นั่นว่าไม่ดี เสียมากกว่า


แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้คลั่งหรือยึดติดในสถาบันมากมาย

แต่มันก็สะเทือนใจและอดรู้สึกแย่

อดโกรธแค้นไม่ได้

อาจเพราะถ้าว่ากันตามกฎคณิตศาสตร์



ข้าพเจ้าเป็นเด็กใน มหาวิทยาลัย ก

เด็กที่เรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัย ก เป็นคนไม่ดี

ผลสรุปคือ ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ดี

อันนี้ไม่ได้ว่ากันถึงส่วนทั้งหมดหรือบางส่วน

หรือเงื่อนไขเพิ่มเติมอื่นๆ

ว่ากันตามประโยคที่คนๆ นั้นพ่นมาออกมาล้วนๆ



เรื่องของเรื่องก็คือ

เขาอาจกำลังปกป้องรุ่นน้องจากสถาบันเดียวกัน

หรือเขาอาจรู้สึกดีต่อผู้หญิงคนนั้น

หรือเขาอาจเอ็นดู สงสาร เห็นใจ หรืออะไรก็ตามแต่

เมื่อข้าพเจ้าออกความเห็นว่า

คนนั้นไม่ดี

ข้าพเจ้าจึงโดนกลับมาว่า

ที่ไม่ดี คือ เด็กจากมหาวิทยาลัย ก ต่างหาก

นั่นไง




เรื่องของเรื่องก็คือ

เรากำลังถกเถียงกันว่า

การที่พี่ชายเอาเปรียบคนอื่น

แล้วน้องสาวเออออ

ไม่หือ ไม่ขัด

น้องสาวจะถือว่าเป็นคนไม่ดี ด้วยหรือไม่



หลักการคิดของข้าพเจ้าคือ

น้องสาวไม่หือ ไม่ขัด ไม่แย้ง

อาจเพราะอ่อนแอ

อาจเพราะเกรงใจพี่ชาย

อาจเพราะอ่อนต่อโลก

แต่อย่างไรก็ตาม

การที่พี่ชายเอาเปรียบผู้อื่น

การเอาเปรียบนั้น คือสิ่งที่ผู้เป็นพี่ มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่น้องสาว

ย่อมหมายความว่า

สุดท้ายแล้ว คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ ทั้งพี่ทั้งน้อง



ด้วยเหตุนี้

ถ้ามีสามัญสำนึกมากพอ

พอที่จะรู้ผิดรู้ชอบ

ก็ต้องเอ่ยปากบอกพี่ชาย

หรือทำอะไรบ้าง

ไม่ใช่ปล่อยให้พี่ทำบาปทำกรรมไป

แล้วตัวเองก็ทำหน้าอินโนเซ้นท์

ไม่รู้เรื่อง

หรือจะบอกว่า ไม่รู้...ที่พี่ตัวเองทำน่ะ มันผิด



ถ้าเป็นเรื่องของนาย ข ทะเลาะกับนาย ค

แล้วนาย ง ที่ไม่ได้เป็นห่าเหวอะไรกับทั้งนาย ข และ นาย ค เดินผ่านมา

นาย ง ไม่เข้าไปห้าม ไม่ยุ่ง

แม้สุดท้าย นาย ข กับนาย ค จะฆ่ากันตาย

นาย ง ก็หาใช่คนผิดไม่



แต่นี่ไม่ใช่นาย ง

หรือเป็นนาย ง แต่ข้อเท็จจริงเปลี่ยนเป็นว่า

นาย ง เป็นญาติสนิทกับนาย ข

และนาย ข กำลังทะเลาะกับนาย ค ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์

ของนาย ง

เมื่อเห็นว่าสิ่งที่นาย ข กำลังเรียกร้องจะเอา

ไม่เป็นสิ่งถูกต้องชอบธรรม

และเมื่อนาย ข กำลังหน้ามืดตามัว

ความโลภบังตา

นาย ง ผู้มีส่วนได้เสีย

หากไม่โลภหรือหลงมัวเมาไปด้วยกัน

ก็ต้องหักห้ามญาติของตน

เพราะมิฉะนั้นแล้ว

ทรัพย์สินที่ได้มา ของที่เบียดเบียนผู้อื่นมา

คนที่ใช้ คนที่ได้ประโยชน์ก็คือ นาย ง

ถ้านาย ง เป็นคนดีพอ

จะไม่กระอักกระอ่วนใจเชียวหรือ

ที่รับของอันไม่สมควรได้

ไปไว้เป็นของๆ ตน

ทั้งหมดนี่ คือ เหตุผลของข้าพเจ้า




เปรียบเทียบไปแล้ว ก็คล้ายๆ กับรับของโจร

ไม่ได้ร่วมปล้นเขา ฆ่าเขา เอาของๆ เขา

แค่รับเอาต่อมาเท่านั้น

ทำไมจึงผิด

นี่แค่รู้หรือควรจะรู้ว่าเป็นของที่ได้มาโดยการกระทำผิด

คนรับยังต้องกลายเป็นคนผิดไปด้วย


นับประสาอะไร กับคนที่อยู่ร่วมหัวจมท้าย

ตั้งแต่ตอนเตรียมปล้น ตอนขณะปล้น จนถึงตอนปล้นสำเร็จ




ข้อกล่าวอ้างข้างต้น ไม่น่าจะมีจุดไหนเชื่อมโยง

ไปถึงเรื่องสถาบันได้เลย

แต่กลับกลายเป็นว่า

สิ่งที่ข้าพเจ้าจำได้ชัดเจนที่สุดในช่วงเวลานั้นว่าด้วยเรื่องนี้

คือประโยคที่คนๆ นั้น ด่าทอข้าพเจ้า

ผ่านการเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน




เรื่องมันนานมาแล้ว

หากแต่เมื่อมีสิ่งใดไปสะกิด

ก็ยังคงกลับมาชัดเจน

อาจเพราะข้าพเจ้ามัวเมาเสียเอง

หรืออาจเพราะข้าพเจ้าเป็นเจ้าคิดเจ้าแค้น

และอาจเพราะข้าพเจ้าเป็นคนไม่ดี

ดังเช่นที่เขาตัดสินมา



แท้ที่จริง

ข้าพเจ้าไม่สมควรยุ่งเกี่ยวกับใครเลย

ที่ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องในชีวิตของข้าพเจ้า

หรือเป็นผู้เกี่ยวข้องในชีวิต

แต่ไม่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำรงชีวิต


อาจเพราะเรื่องของผู้อื่น

ข้าพเจ้าไม่ควรเอาตัวเข้าไปมีส่วนร่วม

กรรมใครกรรมมัน

หลายครั้งแล้ว ไม่จดไม่จำเสียที

สงบปาก สงบคำ และสงบความคิดเสียเถิด

แพรวาผู้โง่เขลาเอ๋ย

25 พ.ย. 2555

I must be free

รัก 

แท้

รัก

ไม่แท้

รัก

ใคร

รัก 

ฉัน


รัก

ตัวเอง


รัก

ทำเพื่อคนที่รัก


รัก

เพื่อเติมเต็มใจตน


รัก

เสียสละ

รัก

ฝักใฝ่

รัก

ปล่อยวาง

รัก

หวงแหน

รัก

เชื่อใจ

รัก

เป็นเจ้าของ

รัก

อิสระ

รัก

อบอุ่น




จนทุกวันนี้

เพลงนี้

ยังมีความหมาย




23 พ.ย. 2555

มิใช่เพียง...เด็กน้อยโตเข้าหาแสง

ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้

ซึ้ง เศร้า สะท้อนก้นบึ้งของจิตใจ

หลายๆ เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมา

ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า

มนุษย์สามารถกระทำต่อกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ




และคนๆ หนึ่ง

จะสามารถเข้มแข็งและยืนหยัดต่อสู้

เพื่อผู้อื่น

ได้แค่ไหน



เราต้องเข้มแข็ง

เพื่อเอาตัวรอดได้

ในสังคม..เช่นทุกวันนี้


และยังต้องแข็งแรง

พอที่กางปีก

ปกป้องผู้อื่นที่อ่อนแอ

หรือคนที่เราแคร์

ได้อีกด้วย



หนังสือเล่มนี้

บ่มเพาะความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในจิตใจ


หนังสือเล่มนี้ บอกเราว่า

จงยืนหยัดอย่างกล้าหาญ

เมื่อมั่นใจว่า

จุดที่เรายืนอยู่นั้น..ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและดีงาม


หนังสือเล่มนี้บอกเราว่า

เราทุกคน..ไม่มีใครเต็มใจวิ่งเข้าหาความมืด

เพราะเราต่างก็มีแสงสว่างภายในใจ

ไม่ว่าแสงนั้น จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่าใดก็ตาม



เราทุกคน..มิใช่เพียง

เด็กน้อย...เท่านั้น



22 พ.ย. 2555

รับปริญญา..ความวุ่นวายที่ภาคภูมิใจ

โดยส่วนตัว

ข้าพเจ้าเรียนจบระดับอุดมศึกษา

แต่ไม่เคยได้สัมผัสพิธีรับปริญญา

ด้วยตนเอง

ใบปริญญาบัตรของข้าพเจ้า ถูกส่งไปที่บ้าน โดยทางไปรษณีย์



หลายคนถามว่าทำไมไม่เข้าพิธี

ก็จะตอบสั้นๆ เหมือนๆ กันทุกครั้งว่า

"ไม่ชอบความวุ่นวาย และ เปลืองเงิน"

โดนญาติต่อว่า

เพราะหลายคนอยากมา

ลูกหลานอุตส่าห์ได้เกียรตินิยม

ใครๆ ก็อยากชื่นชม


ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ รับคำต่อว่าเหล่านั้น


ทว่า ในบรรดามวลญาติ

ไม่มีปฏิกิริยาใด กระทบใจได้มากเท่า

คำพูดและน้ำเสียงของแม่เมื่อรับรู้ว่า

ลูกสาวจะไม่เข้าพิธีรับปริญญา

แม่ไม่ว่า

แม่ตามใจ

แต่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ว่าแม่..เสียดายและแอบเสียใจ



ข้าพเจ้าจึงตั้งเป้าหมายใหม่ในชีวิต

เพิ่มอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำเข้าไป

คือ เรียน (อะไรสักอย่าง)ให้สำเร็จ เพื่อให้แม่มางานอันน่าภาคภูมินี้

ในสักวัน..




แต่แม้ไม่เข้าพิธีด้วยตนเองในช่วงขีวิตการศึกษาปริญญาตรี

ก็ใช่ว่าจะไม่เคยสัมผัสความวุ่นวายเหล่านั้น

ข้าพเจ้าไปเป็นช่างภาพ (มือใหม่)

ให้เพื่อนรัก

ณ ตอนนั้น

เพิ่งจับกล้องได้ใหม่ๆ

ยังถ่ายแบบมึนๆ

โฟกัสได้บ้าง เบลอๆ บ้าง

แต่ก็พยายามหัด เรียนรู้ และทำความเข้าใจกับกล้องให้มากที่สุด

เพื่อวันนั้น จะได้ทำได้ดีที่สุด

อาจไม่มีโอกาสทำเพื่อเพื่อนรักหลายครั้งนัก

ก็ต้องทำให้ดี



เหนื่อยนะ

แม้ไม่เท่าตัวบัณฑิตที่ต้องตื่นตั้งแต่ 3 ตี 4

แต่งหน้าทำผม (ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องไปนอนเฝ้าที่ร้านเสริมสวย)

เดินๆ นั่งๆ แดดร้อนๆ ใส่ครุยหนาๆ

แต่ก็ต้องเป็นคนถือกระเป๋า

เฝ้าของ

นั่งรอครึ่งค่อนวัน

ตอนนั้น นึกสภาพไม่ออกเลยว่า

ถ้าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ขนกันมา

จะวุ่นวายและลำบากแค่ไหน

แต่ในเมื่อหลายคนมองข้ามความลำบาก

เพื่อแลกกับช่วงเวลาแห่งความปลื้มปิติ

มันก็น่าจะคุ้มนะ












อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็รับรู้และสัมผัสได้บ้างว่า

วันที่เราเป็นบัณฑิตสวมชุดครุย

มันจะเป็นวันที่เราเป็นคนพิเศษ

และเป็นวันที่เราได้เติมเต็มความฝันของใครบางคน

โดยไม่รู้ตัว