16 ก.ค. 2556

บทเรียนครั้งสำคัญจากคดีแรงงาน (ปฐมบท)



ครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจเขียนไว้ เพื่อเป็นบันทึก

ไม่มากไปกว่าการเป็นบันทึก

และไม่น้อยไปกว่าการเป็นบันทึก





เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อปลายปีที่แล้ว

คนรักของข้าพเจ้าไปทำงานที่คลินิกแห่งหนึ่งในห้างที่บางแสน

คลินิกนี้ เป็นที่แรกที่มีการจับหมอฟันเซ็นต์สัญญา

(ไม่มีคลินิกใดเขาทำกัน)

ใจความของสัญญาคือ ทันตแพทย์คู่สัญญาต้องทำงานให้คลินิกแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า 1 ปี

หากไม่ครบกำหนดดังกล่าว แล้วจะออกไป

ต้องจ่ายค่าเสียหายให้คลินิกนั้น 1 แสนบาท

เจ้าของคลินิกให้เหตุผลว่า

ที่ต้องทำเป็นสัญญา เพราะมีหมอหลายคนชิ่งหนีไป

แล้วเขาเสียหาย

คนรักของข้าพเจ้าก็เซ็นต์ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเกิดราวอะไร




ทำงานไปได้ราว 1 เดือนกว่าๆ

ก็เกิดความไม่ลงรอยกันว่าด้วยจรรยาบรรณทันตแพทย์

อะไรไม่ถูก ก็คือไม่ถูก

เมื่อไม่ถูก คนรักของข้าพจ้าก็แสดงออกชัดเจนว่าสิ่งนั้น มันไม่ถูก

แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไป

เพียงแค่ไม่ได้สุงสิงกับใคร ไม่ได้พูดจาสนิทสนมกับใคร

ไม่เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลเหล่านั้น

เจ้าของคลินิกก็บอกให้คนรักของข้าพเจ้าคุยกับหมอคนอื่นบ้าง

ในฐานะเพื่อนร่วมงาน

คนรักของข้าพเจ้าไม่คุย




เจ้าของคลินิกพยายามให้คนรักของข้าพเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

เคารพบุคคลผู้อาวุโสวัยกว่า

แน่นอน นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาโดยแท้

เมื่อเขาได้ตัดสินว่าใครคือคนพาล

เขาย่อมไม่เอาตัวไปเกลือกกลั้วกับคนเหล่านั้น

เมื่อเขาเห็นว่าใครแก่ เพียงแก่กะโหลกกะลา

เขาย่อมไม่ยกมือไหว้คนเหล่านั้น

เขาก็เป็นเช่นนี้เอง



นิสัยมั่นใจในความคิดและแนวทางของตัวเอง

ทำให้เจ้าของคลินิกรู้สึกว่า

หล่อนไม่อาจควบคุมคนรักของข้าพเจ้าให้ทำตามใจหล่อนได้

ให้อยู่ภายใต้โอวาทหรือคำสั่งของหล่อนได้

นั่นจึงเป็นที่มา

ให้มีการเจรจา ให้คนรักของข้าพเจ้ายุติการทำงานที่คลินิกนั้น

เหตุผลมีเพียงเรื่องนิสัยที่เข้ากันไม่ได้

แนวคิดที่ยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตไม่ตรงกัน



สิ่งเหล่านี้ จะไม่เกิดเป็นปัญหา หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

จะไม่พยายามเปลี่ยนอีกฝ่ายให้มาคิดเห็นพ้องด้วยกับตนเอง

เมื่ออยากเปลี่ยน แต่เปลี่ยนไม่ได้ ก็เขี่ยเขาไปเสีย




คนรักของข้าพเจ้าเป็นทันตแพทย์

ทันตแพทย์จะไม่กล่าวหาเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน

แต่ข้าพเจ้าไม่ใช่ทันตแพทย์

และข้าพเจ้ามีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะผู้บริโภคหรือคนไข้คนหนึ่ง




ข้าพเจ้าเองก็คงไม่ปรารถนาจะเอาสุขภาพในช่องปากของตัวเองไปฝากไว้กับหมอที่ไร้สำนึก

เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองจนหลงลืมจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวเอง

ข้าพเจ้าไม่โทษเขาเลย

และเห็นด้วยกับเขาอย่างยิ่ง

ที่เขาไม่ชอบแนวทางของคลินิกแห่งนี้





คนไข้มาจัดฟัน

สิ่งที่หมอฟันต้องทำคือ

ตรวจดูสุขภาพช่องปาก หากพบปัญหา

มีฟันผุ มีหินปูน หรืออะไรต่างๆ นานา

ก็จำต้องขจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปก่อน

คือ ต้องเคลียร์ช่องปากก่อนนั่นเอง

หาใช่การกุลีกุจอติดเหล็ก

เพื่อรั้งคนไข้ เพื่อเอาคนไข้ให้อยู่กับคลินิกตน

ติดเหล็กเสร็จแล้วค่อยไปขูดหินปูน

การทำเช่นนั้น นอกจากจะไม่คำนึงถึงสุขภาพคนไข้แล้ว

ยังไม่คิดถึงความยากลำบากของเพื่อนร่วมวิชาชีพอีกด้วย

หมอที่มีหน้าที่ติดเหล็ก ก็ติดไป

เสร็จแล้วก็ส่งคนไข้ปากมอมๆ ที่มีเหล็กเต็มปากไปให้หมออีกคนขูดหินปูน

หมอที่ทำอย่างนี้

ไม่โง่ ก็โลภ (คนรักของข้าพเจ้าพูดไว้)

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะเป็นอย่างแรก






สภาพในคลินิกก็ย่ำแย่เหลือเกิน

เนื่องจากคลินิกตั้งอยู่ในห้าง

ระบบระบายอากาศจึงไม่ดี

และคลินิกก็ไม่มีมาตรการป้องกันปัญหานี้

ซ้ำในคลินิกก็มีแต่ยาและสารต่างๆ

ทำฟันกันไป เชื้อโรคก็วนเวียนกันไปอยู่ในยูนิตนั่นแหละ

นานๆ เข้า สะสมมากเข้าๆ

ก็กลายเป็นมลพิษ

คนรักของข้าพเจ้าแสบตา

ตาแดง

พนักงานคนอื่นในคลินิกก็แสบตา

คนไข้ก็แสบตา

คนรักของข้าพเจ้าแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้าของคลินิกทราบ

หล่อนแก้ปัญหาด้วยการ ซื้อเครื่องฟอกอากาศเล็กๆ มาวางไว้ในยูนิต

หึๆ

คลินิกไม่ใช่เล็กๆ แบ่งเป็นหลายส่วน

เครื่องฟอกอากาศเครื่องเดียว

คงบริการและช่วยเหลือได้อย่างล้นหลามทีเดียว





ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องราวไม่นาน

ผู้ช่วยทันตแพทย์ของคลินิกนี้

หนีไป

เด็กที่มาฝึกงานเพื่อเป็นผู้ช่วยทันตแพทย์

ก็หนีไป

ไม่มีใครห่วงการผูกมัด

หรือสัญญา

หรือความเสียหายใดๆ ที่คลินิกนี้ทวงถาม




คนรักของข้าพเจ้าทำงานต่อไป

คลินิกไม่ค่อยมีคนไข้

ไม่มีผู้ช่วย

ไม่มีหมอ

มีเพียงคนรักของข้าพเจ้า

เขาไม่จากไป

หนึ่งเพราะติดสัญญา

สองเพราะสงสาร

ในสภาวะที่คลินิกนี้กำลังย่ำแย่

เขาไม่ทิ้งไป



ตามสัญญานั้น คนรักของข้าพเจ้าต้องทำงานวันจันทร์ถึงศุกร์

แต่ช่วงที่คลินิกประสบปัญหา

ทางคลินิกขอให้คนรักของข้าพเจ้าทำงานวันเสาร์ด้วย

เพราะหาหมอไม่ได้

คนรักของข้าพเจ้าก็ทำงานให้เขา 6 วัน






แต่เมื่อคลินิกหาหมอคนใหม่ได้

สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ

เฉดหัวคนรักของข้าพเจ้าออกไปจากที่แห่งนั้น

ตอนนั้น เป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม

ผู้จัดการคลินิกมาตะล่อมๆ ถามคนรักของข้าพเจ้าว่า

สะดวกใจที่จะทำงานที่นี่ต่อไปไหม

แน่นอน ไม่มีเหตุผลอันใดที่คนรักของข้าพเจ้าจะต้องตอบว่า ไม่สะดวกใจ

เรื่องไม่ชอบใจ ก็คือเรื่องไม่ชอบใจ

หน้าที่การทำงาน ก็ส่วนหน้าที่การทำงาน

หากแต่ จุดประสงค์ของคำถามนั้นคือ

คลินิกไม่ต้องการคนรักของข้าพเจ้าอีกต่อไปแล้ว

ความจริง ผู้จัดการนี่ก็น่าเห็นใจ

เขาเป็นคนกลางที่รับคำสั่งมาอีกทอดหนึ่ง

เพราะเจ้าของคลินิกนั้น ขี้ขลาดเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับความจริง

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งที่ตัวเองทำ มันผิด

เมื่อเป็นเช่นนั้น คนรักของข้าพเจ้าจึงเสนอว่า

จะทำงานให้ถึงสิ้นเดือน

แต่ผู้จัดการก็บอกอีกว่า

ไม่ต้องถึงสิ้นเดือน ให้ทำถึงแค่วันศุกร์นั้น แล้วออกเลย

หึๆ

วันศุกร์นั้น ก็ราวๆ วันที่  25-26 ข้าพเจ้าจำได้ไม่แม่นนัก



ต่อมา ด้วยความที่คลินิก จ่ายเงินค่าจ้างของเดือนตุลาคมให้คนรักข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่ 20 ต้นๆ

ผู้จัดการจึงติดต่อมาว่า

เนื่องจากคนรักของข้าพเจ้าทำงานไม่ครบเดือน

ขาดไป 5 วัน

เพราะฉะนั้น ต้องคืนเงินให้เขา 2 หมื่นบาท

คือ

นอกจากมรึงจะให้เขาออกกะทันหันแล้ว

ยังมาหน้าด้านอ้างตรรกะควายๆ อีก

ทั้งที่คนรักของข้าพเจ้าก็เสนอแล้วว่าจะทำให้ถึงสิ้นเดือน

แต่คลินิกไม่เอาเอง

แล้วจะมาเรียกเอาเงินจำนวนนี้ได้ยังไง

คนที่เขาสติปัญญาดีและมีความคิดมากพอ

ก็ย่อมต้องคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร

เมื่อคนรักของข้าพเจ้าไม่คืน

ฝ่ายบัญชีก็โทรมาด่า โทรมาว่าคนรักของข้าพเจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย

แน่นอน คนรักของข้าพเจ้าก็ด่ามันกลับไป

แต่สุดท้าย เขาก็โอนเงินกลับไปให้คลินิกอยู่ดี

เขาก็เป็นเช่นนี้เอง

อยากได้นักก็เอาไป

เขาเป็นคนขี้รำคาญ





เรื่องราวผ่านมาได้สักระยะ

เขาย้ายไปทำงานที่ใหม่

กะทันหัน

และเราต่างก็เดือดร้อน

ทำไมจึงใช้คำว่าเรา

ก็เพราะเมื่อเขาเดือดร้อน ข้าพเจ้าก็ย่อมไม่เป็นสุข

เราขนของเต็มรถไปจันทบุรีกันเพียงสองคน

ข้าพเจ้าต้องลางาน

เราต้องหาที่พัก ย้ายของ ปรับเปลี่ยนชีวิต

เราอยู่ไกลกันมากกว่าเดิม

เดินทางเหน็ดเหนื่อยกันมากกว่าเดิม





ผ่านมาสักระยะ

เราพูดกันบ้าง ถึงความอัปรีย์ของคลินิกนั้น

จนวันหนึ่ง

เราคุยกันว่าจะฟ้องศาลแรงงาน

เพราะสัญญานั้น ชัดเจนว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงาน

แม้ตามปกติ ทันตแพทย์ส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่ในฐานะลูกจ้าง

เพราะคลินิกมักให้เกียรติหมอเป็นอย่างยิ่ง

แต่คลินิกนี้เป็นข้อยกเว้น

และสัญญาที่มันร่างขึ้นมาบังคับเรานั้น

มีการกำหนดวันเวลาทำงาน

กำหนดกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ทันตแพทย์ต้องปฏิบัติตาม

กำหนดเงินเดือน

กำหนดการลากิจ ลาป่วยต่างๆ

เข้าองค์ประกอบของการเป็นสัญญาจ้างแรงงานชัดเจน




เมื่อแรกนั้น

คนรักของข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะฟ้อง

เพราะเขาเหนื่อยหน่ายและไม่อยากผูกเวรผูกกรรมกับใคร

เป็นข้าพเจ้าเสียเอง

ที่เจ็บปวด และแค้นเคืองแทนเขา

อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็คิดในอีกมุมหนึ่ง

ถ้าไม่มีใครสั่งสอนคลินิกเปรตนี่

ก็จะต้องมีหมออีกหลายคนโดนเอารัดเอาเปรียบเช่นนี้

มีผู้ช่วยทันตแพทย์อีกหลายคนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

ซ้ำร้ายที่สุด

มีคนไข้มีมากมายที่ต้องเอาสุขภาพตัวเองมาเสี่ยงกับความโลภของที่นี่




ในที่สุด

วันหนึ่ง

คนรักของข้าพเจ้าก็ตกลงให้ข้าพเจ้ายื่นฟ้องคลินิกนั้น

ข้าพเจ้าอาจเป็นทนายความที่ไม่ดี

เพราะออกจะยุยงให้คนเป็นความกัน

แต่นั่นก็ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรองมาแล้ว

และมิได่คิดเข้าข้างตัวเองแต่เพียงถ่ายเดียว

คนชั่ว ย่อมสมควรได้รับกรรม

ทั้งในชาตินี้ และเมื่อตายจากไป

ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนี้เอง

ข้าพเจ้ายอมผิดจรรยาบรรณ แต่ไม่ขอยอมผิดศีลธรรม

ความยุติธรรมในความหมายของข้าพเจ้า

ชัดเจนโดยตัวของมันเอง

ไม่อ้างอิงหรือคำนึงถึงสิ่งอื่นใดที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือแก่นแท้






ข้าพเจ้าไปยื่นฟ้องคดีแรงงานให้คนรัก

ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2556

ฟ้องคดีแรงงานในวันแรงงาน

ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น

หากแต่มีเหตุขัดข้องบางประการ

วันที่ยื่นฟ้องจริง จึงกลายเป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2556




เจ้าหน้าที่กำหนดวันนัดไกล่เกลี่ย

วันนัดไกล่เกลี่ยนั้น

คนรักของข้าพเจ้าไปเพียงลำพัง

ข้าพเจ้าไม่ได้ไปด้วย เนื่องจากต้องทำงาน

การไกล่เกลี่ยมี 2 ชั้น

ชั้นแรกคือ ผู้ไกล่เกลี่ย

ชั้นที่สองคือ ผู้พิพากษามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย



ฝ่ายคลินิก

เจ้าของคลินิกไม่ได้มา

ส่งตัวแทนและทนายความมา

ฝ่ายนั้น อ้างอยู่เพียงว่า

นี่ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน



หากแต่ ทั้งผู้ไกล่เกลี่ยและผู้พิพากษาต่างก็บอกว่า

นี่มันสัญญาจ้างแรงงาน

และเมื่อมันเป็นสัญญาจ้างแรงงาน

สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียกเอาในคำฟ้องคือ

สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน จำนวน 80,000 บาท

ค่าจ้างที่คนรักของข้าพเจ้าสมควรได้รับ แต่ทางคลินิกมาทวงคืน 20,000  บาท

กับค่าเสียหายที่ต้องออกจากงานกะทันหัน การหาที่ทำงานใหม่ การขนย้ายข้าวของ บลา บลา บลา

ในเมื่อหากคนรักของข้าพเจ้าผิดสัญญากับมัน มันจะเอา 1 แสน เพราะฉะนั้น เมื่อมันตระบัดสัตย์เสียเอง

ข้าพเจ้าจึงเรียกเอาค่าเสียหายที่เท่าเทียมกัน คือ 1 แสนบาท

รวมทุนทรัพย์คดีเป็นเงิน 2 แสนบาท

แน่นอนว่า สองส่วนแรก คนรักของข้าพเจ้ามีสิทธิได้อยู่แล้ว

แต่ส่วนค่าเสียหายนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้พิพากษา อันนี้ก็สุดแล้วแต่ท่าน





การไกล่เกลี่ยทั้งสองชั้น

ผู้ไกล่เกลี่ยเรียกคุยเฉพาะฝ่ายนั้นเป็นการส่วนตัวถึงสองครั้ง

นั่นหมายความว่าอะไร ย่อมเป็นที่ทราบกันดี




แต่พวกมันไม่ยอม

ดื้อแพ่ง

สุดท้าย จึงต้องมีการนัดวันพิจารณาคดี


คือวันที่  15 กรกฎาคม 2556




ข้าพเจ้าลางานไปกับคนรัก

เราเพิ่งกลับจากทำบุญที่อุดรฯ

และอ่อนเพลียจากการเดินทางมาก

แต่ก็ต้องไป

ข้าพเจ้าขับรถพาเขาไป

ข้าพเจ้าไปเพื่อจะสะเทือนใจ

และผิดหวังที่สุดในชีวิต!!!





ฝ่ายนั้น

เมื่อสู้ไม่ได้แล้ว ในประเด็นที่ว่าสัญญานี้เป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่

มันก็ยกเอาเรื่องต่างๆ ที่ตามปกติไม่เป็นเรื่อง

แต่เมื่อเป็นเรื่อง มันก็เป็นเรื่อง

มันยื่นคำให้การพร้อมฟ้องแย้ง

กระนั้น

เรื่องราวที่พวกมันอ้างมา

ก็หาได้มีผลให้รูปคดีเปลี่ยนไปแต่อย่างใด

ข้าพเจ้าเชื่อในความจริง

เชื่อว่าความดีย่อมต้องชนะความชั่ว




คนรักของข้าพเจ้าจะเบิกตัวเองเป็นพยานแค่ปากเดียว

ส่วนพวกมันจะยกกันมาทั้งคลินิก รวมพยาน 6 ปาก

ข้าพเจ้าไม่ได้หวั่นเกรงในจำนวน

และเชื่ออยู่แล้วว่า กระบวนพิจารณาในศาล

ท่านไม่ได้เชื่อเพราะจำนวน

แต่เชื่อเพราะมันต้องเขื่อ

เชื่อเพราะสมควรเชื่อ

หากศาลจะเชื่อเพราะพวกมากลากกันมาเล่า

ความยุติธรรมคงไม่มีอีกต่อไปเสียแล้ว






ในที่สุด

ทางฝั่งคลินิกที่ดื้อแพ่งมานาน

ก็เอ่ยออกมาว่า

หากคนรักของข้าพเจ้าจะยอมประนีประนอม

พวกมันก็จะถอนฟ้องแย้ง

ให้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป

ไม่ติดใจกันอีกต่อไป

ข้าพเจ้าหันไปสบตากับคนรัก

ส่ายหน้าให้เขา

ข้าพเจ้าไม่ยอม







หากแต่

ศาลในวันนั้น

เป็นผู้หญิง

ที่ไม่ใช่ผู้มาไกล่เกลี่ยในชั้นแรก

และเมื่อฝ่ายนั้นเสนอของประนีประนอม

ศาลจึงถือโอกาส คุยเป็นการส่วนตัวกับคนรักของข้าพเจ้า

เพื่อให้ยอมตามที่ฝ่ายนั้นเสนอ

ข้าพเจ้านั่งดูเงียบๆ

ดูการเกลี้ยกล่อมของศาล

ข้าพเจ้าไม่ได้ไปในฐานะทนายความ

ข้าพเจ้าไปในฐานะคนรัก ของคนรัก




ศาลบอกว่า ไม่อยากให้หมอต้องมามีเรื่องกัน

ทำงานมาตั้งหลายปี ยังไม่เคยมีคดีหมอมาขึ้นศาลเลย

ศาลไม่อยากให้หมอเดือดร้อน

หากฝ่ายนั้นยกกันมาเยอะๆ

ศาลอาจต้องตัดสินตามพยานหลักฐาน

ศาลไม่อยากให้เข้าเนื้อหมอเอง




ใช่

ก็เพราะไม่มีหมอคนไหนอยากลดตัวมามีเรื่องหรอก

เงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญ

แม้คนรักของข้าพเจ้าเอง

ก็หาได้ตัดสินใจฟ้องเพื่อเอาเงินทองเป็นที่ตั้ง

แต่เพราะเราต่างต้องการให้พวกมันได้รับการสั่งสอน

ให้คนชั่วได้หยุดทำชั่วบ้างก็เท่านั้น




คำพูดของศาลคือ

ศาลกลัวว่าพวกนั้นจะมีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก

แล้วศาลจะต้องตัดสินตามนั้น


และ ศาลคิดว่า พวกเขาก็ไม่ใช่ไม่สะเทือน

เขาคงได้คิดบ้างแล้วแหละ

อย่างน้อย เขาก็ต้องเสียค่าจ้างทนายมาศาลนะ





ห๊ะ!!!

 ศาลคะ

ข้าพเจ้าแย้งในใจกับการเกลี้ยกล่อมของศาล

ศาลไม่เห็นหน้า ไม่เห็นท่าทาง ไม่เห็นการกระทำของพวกมันหรอคะ

สู้อย่างดื้อแพ่ง เถียงข้างๆ คูๆ

พอหมดทาง ก็ถูไถหาเหตุอื่นมาเบี่ยงประเด็น

ทำทีเป็นฟ้องแย้ง ด้วยหวังว่าคนรักของข้าพเจ้าจะกลัว

แล้วจึงขอประนีประนอม เพราะคิดว่าคนรักของข้าพเจ้าจะยอม

ศาลคะ

ศาลโลกสวยเกินไปไหมคะ

 เขาทำกรรมชั่วกับคนอื่นมามากมาย

และไม่มีวี่แววว่าจะคิดได้ หรือได้คิดเลยสักนิด

ศาลว่าเขาเดือดร้อนแล้วเพราะต้องจ้างทนายแค่ไม่มีพันไม่กี่หมื่นเนี่ยหรือคะ

ธุรกิจเขามีสามสี่สาขา

ศาลเชื่อจริงๆ หรือคะว่าเขากระเทือนกับเรื่องนี้

หึๆ



และศาลกำลังจะบอกอะไรคะ

ศาลกำลังจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่า

ความเป็นจริงอาจพ่ายแพ้ต่อกลลวงงั้นหรือคะ

ศาลกำลังจะบอกว่า

อย่าเชื่อมั่นในความถูกต้อง

ให้เชื่อในสิ่งที่มีโอกาสอาจเกิดขึ้นและรีบเอาตัวรอดไปเสีย อย่างงั้นหรือคะ





คนรักของข้าพเจ้าทำท่าครุ่นคิด

เขาชี้แจงทุกอย่างไปหมดแล้ว ตามประเด็นการฟ้องแย้งของฝ่ายนั้น

และถ้าว่ากันตามหลักกฎหมาย

ฝ่ายนั้นไม่มีสิทธิยกเอาเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาอ้างอยู่แล้ว

เพราะสุดท้าย ก็เข้าตัวพวกมันนั่นเองที่ผิดจรรยาบรรณ

และเรื่องนี้

ไม่ใช่ประเด็นผิดจรรยาบรรณหรือไม่

point คือ ผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ต่างหาก

ศาลไกล่เกลี่ยโดยอ้างเอาประเด็นอื่นมาโน้มน้าว

ข้าพเจ้ามองดูเหตการณ์ด้วยความหดหู่ใจ

ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อที่ใครๆ ว่ากันเกี่ยวกับกฎหมายและชั้นศาลในชีวิตจริง

แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า

กำลังยืนยันคำพูดเหล่านั้น




อย่างไรก็ตาม

ลึกๆ ข้าพเจ้าก็หาได้หวั่นไหว

เพราะเชื่อว่า หากสู้กันจริง เราต้องชนะอยู่แล้ว

ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย




หากแต่ คนรักของข้าพเจ้าขอเวลาศาล

เพื่อหันมาปรึกษากับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าพูดให้เขาฟังย่อๆ เกี่ยวกับประเด็นและหลักกฎหมาย

เขาตอบกลับมาว่า

แล้วถ้าฝ่ายนั้นมันยกพวกมา

ศาลก็ต้องเชื่อมัน

เขาเบื่อที่จะต้องคาราคาซัง

เขาไม่อยากเห็นหน้าเจ้าเล่ห์ขี้โกง

ไม่อยากเจอพวกเปรตนี้อีกต่อไปแล้ว

ข้าพเจ้าอึ้ง

และได้แต่ตอบเขาไปว่า

ตามใจพี่

เขามองหน้าข้าพเจ้าอีกครั้ง

เราสบตากัน

เขาถามแต่ไม่ได้ต้องการคำตอบจากข้าพเจ้าว่า

เรายอมความเนอะ

ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออก นอกจาก
 
"แล้วแต่พี่"





คนรักของข้าพเจ้าหันไปให้คำตอบแก่ศาล

ศาลยิ้มพอใจ

เรียกสองคนนั้นเข้ามา

ทันที่รู้ว่าคนรักของข้าพเจ้ายอมความ

ไอ้ทนายเจ้าเล่ห์ก็ยิงมาทันทีว่า

ถ้าอย่างนั้น ขอให้ศาลจดในบันทึกการพิจารณาคดีด้วยว่า

คนรักของข้าพเจ้ายอมความ

และจะไม่เอาเรื่องนี้ไปเป็นคดีต่อศาลอีก

อันนี้พอรับได้

แต่ข้อต่อมาคือ

จะไม่เอาเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ไปฟ้องทันตแพทยสภา

และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ไอ้ชาติชั่ว

ข้าพเจ้ารู้สึกสะดุ้งตัวเองที่เผลอตะโกนด่ามันในใจ



คนรักของข้าพเจ้าตอบกลับไปทันควันว่า

ผมจะทำถ้าผมมีสิทธิที่จะทำ

มันก็บอกว่า งั้นก็ไม่ยอมความแล้ว ก็สู้ต่อ




หนอย ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ คิดจริงๆ หรือว่าฟ้องแย้งกะโหลกกะลาของแกจะทำให้แกชนะคดีน่ะ

แกลืมหลักกฎหมายไปหมดแล้วหรือเปล่า

แกอ่านหนังสือครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

สักแต่เอาวาทศิลป์และเล่ห์เหลี่ยมเข้าว่า

กลโกงมันไม่ชนะความยุติธรรมไปได้หรอกนะ



แต่ที่ข้าพเจ้าทนไม่ได้

ไม่ใช่หน้าตาเปรตๆ ของมัน

ข้าพเจ้าทนไม่ได้

เพราะคนรักของข้าพเจ้าบอกว่า



โอเคๆ ผมจะไม่ทำอะไรอีกแล้วทั้งนั้น



สิ้นประโยคนั้น

ข้าพเจ้าหยิบสูท เก็บกระเป๋า ลุกขึ้น โค้งคำนับให้ศาล แล้วเดินออกมาจากห้องพิจารณาทันที



ตัวข้าพเจ้าสั่นไปหมด

....




10 ก.ค. 2556

บันทึกเล็กๆ หมายเลข 5...มนุษย์เงินเดือนเต็มสูบ


ชีวิตการทำงาน ณ ที่แห่งใหม่

ผ่านมาแล้วเกือบ 3 เดือน


(คงเรียกว่าใหม่ไม่ค่อยเต็มปากแล้วล่ะ ฮะฮ่า)

รวมกับชีวิตการทำงานตั้งแต่จบจากมหาวิทยาลัย ก็ 2 ปีกับอีก 2 เดือนได้แล้ว

วันนี้ คงต้องยอมรับโดยดุษณีว่า

ชีวิตมันยากกว่าที่คิดไว้เยอะ



เรื่องงานก็ยาก

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

งานไหนๆ ก็ยาก ถ้าจะประสบความสำเร็จ

จะฟรีแลนว์ ขายตรง เจ้าของกิจการ หรือมนุษย์เงินเดือน

สตางค์แต่ละบาท มันก็ไม่ได้หามาง่ายๆ นักหรอก

แต่ที่ต้องยอมรับ

ว่าตัวเองพ่ายแพ้จริงๆ

เห็นจะเป็นการจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง

ยามต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ประดาประดังเข้ามา



ใครๆ ก็เป็น

ข้าพเจ้าเห็นผู้คนบ่นกันถมถืดในพื้นที่ต่างๆ 

ไม่ยักมีใครไม่เหนื่อย

และน้อยคนนักที่จะไม่บ่น



ข้าพเจ้าพยายามมองโลกในแง่ที่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์น้อยที่สุด

น่าแปลก ที่ข้าพเจ้าทำได้

ในสภาวะปกติทั่วไป

กับผู้คนทั่วๆ ไป ข้าพเจ้ามีรอยยิ้มและความเอื้ออาทรมอบให้เสมอ

หากแต่

สิ่งไม่ดี สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในใจ

ข้าพเจ้ากลับไปลงที่คนสำคัญ

คนที่ข้าพเจ้าบอกเสมอว่า

ข้าพเจ้ารักเขา




เคยมีหนัง มีละครหลายเรื่องที่สะท้อนปัญหาสังคม

อารมณ์ประมาณว่า

ทำงานกันหนักๆ เลิกงานกันดึกๆ

แล้วกลับมาเหวี่ยง มาพาล ใส่คนในบ้าน

ตะคอกใส่สมาชิกในครอบครัว

ข้าพเจ้ามองดูละครเหล่านั้นแล้วคิดว่ามันช่างไกลตัวนัก

ในชีวิตจริง ใครมันจะไปไร้ความคิดขนาดนั้น



สุดท้าย

ก็เป็นข้าพเจ้าเสียเอง




เมื่อชีวิตมันยุ่งเหยิง 

ไอนู่นก็ไม่ได้ดั่งใจ

ไอนี่ก็ผิดความคาดหมาย

ไอนั่นก็อยู่เหนือการควบคุม

ความขัดใจทั้งหมด

สุมเอาไว้ในหัวใจดวงน้อยๆ

แล้วก็เหวี่ยง ฟาดงวงฟาดงาไปที่คนใกล้ตัว



ถ้าข้าพเจ้ามีครอบครัว

ก็คงลงกับลูก กับผัวไปแล้วเรียบร้อย

แต่นี่ยังไม่มี

อยู่ตัวคนเดียว

ก็ลงกับคนใกล้ตัวที่สุด

คนที่ ณ ขณะนี้ 

ข้าพเจ้ารักมากที่สุด




ช่วงที่ผ่านมา นับเป็นระยะเวลาก็นานพอสมควร

ข้าพเจ้าเปลี่ยนไปทีละน้อย ทีละน้อย

โดยไม่รู้ตัวบ้าง หรือรู้ตัวบ้าง แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้ในบางเวลา

กลายเป็นหงุดหงิดง่าย

ขี้โมโห

เจ้าแง่แสนงอน

และคิดมาก คิดนู่น คิดนี่ ให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ความคิดคนเรามันน่ากลัวเช่นนี้นี่เอง



เช้าวันนี้ 

ข้าพเจ้าเขียนอีเมลล์ไปถึงคนรัก

บรรยายความมอัดอั้นตันใจให้เขาได้รับรู้

ว่าข้าพเจ้าเจ็บปวด และทุกข์ทรมานเพราะเขาเพียงไหน



ข้าพเจ้าคาดหวังอะไร

หวังว่าจะได้รับคำปลอบโยน

ได้รับคำขอโทษ

หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ข้าพเจ้าสบายใจ



หากแต่ เปล่าเลย

อีเมลล์จากเขาที่ตอบกลับมา

ก็เป็นความอัดอั้นตันใจของเขาเช่นกัน

ข้าพเจ้าอ่านไป โดยที่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้

แต่ก็ควบคุมให้มันไหลน้อยที่สุด

คิดถึงเพื่อนคนหนึ่ง 

ซึ่งคอยหยิบกระดาษทิชชู่ให้ในยามข้าพเจ้านั่งร้องไห้ที่โต๊ะทำงานเก่า

แต่ตอนนี้ ไม่มีเขา

ข้าพเจ้าไม่พร้อมให้ใครเห็นน้ำตา




เมื่ออ่านจบ

ข้าพเจ้ารู้สึกว่างเปล่า

แต่ก็สับสน

ช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่ใคร่มีมากนักในชีวิต

มันก็สาหัสอยู่เหมือนกันเมื่อผ่านเข้ามาแต่ละที



คนรักของข้าพเจ้า

ไม่ใช่จะง้อคน

เขาเป็นผู้ใหญ่ และพยายามสอนให้ข้าพเจ้าเติบโต

สอนโดยละมุนละม่อมบ้าง

ไม้อ่อนบ้าง

ใช้อุบายอันแยบคายบ้าง

แต่เมื่อเหล่านั้นไม่ได้ผล

เขาก็พร้อมจะใช้ไม้แข็งฟาดลงมาไม่ยั้ง

ประมาณว่า

ถ้าไม้แข็งนี้ ไม่อาจทำให้ข้าพเจ้าสำนึกได้

ก็จงตายไปเสีย

อยู่ไปก็รังแต่จะโง่งมและจมอยู่กับความเหลวไหลไปเท่านั้น


เขาก็เป็นเช่นนี้เอง



ถามว่าคราวนี้

ไม้อะไร

ข้าพเจ้าตอบได้ว่า

ไม้แข็ง

แต่ไม่แข็งขนาดจะฟาดข้าพเจ้าให้ตายได้

เพราะแข็งกว่านี้

เจ็บกว่านี้ เขาก็เคยใช้มาแล้ว

และครั้งนั้น

ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่า

เขากล้ามาก ที่ทำกับข้าพเจ้าเช่นนั้น

เพราะมันหมายถึง การเดิมพันด้วยความสัมพันธ์ของเรา

หากข้าพเจ้าคิดไม่ได้ ตามืดบอด

เราก็เป็นอันจบกันแน่นอน

แต่จนท้ายที่สุด

ข้าพเจ้าก็เกิดปัญญารับรู้ขึ้นมาได้

แม้เขาจะต้องปล่อยให้เวลาแห่งความอึมครึมและน่าอึดอัดยิ่งปกคลุมเราอยู่เป็นสัปดาห์

ข้าพเจ้าถามเขาว่า

ทำไมเขาถึงรู้ว่าข้าพเจ้าจะคิดได้

ทำไมเขากล้าเสี่ยง

เป็นคนอื่น ก็ไม่มีใครอยู่หรอก

ไม่มีใครสามารถทนกับไม้แข็งขนาดนี้ได้หรอก



ข้าพเจ้าจำคำตอบของเขาได้ขึ้นใจ

ละไว้รู้กันเพียงสองคน




ครั้งนี้

คำที่กระแทกใจข้าพเจ้าเข้าอย่างจัง

ก็คงเป็นคำยอดฮิตที่ทำให้คู่รักจำนวนมากต้องเลิกกัน




มันก็เจ็บ จุก เป็นธรรมดา

แต่ข้าพเจ้าจะรับเอาเฉพาะข้อผิดพลาด

ที่เป็นความผิด เป็นความโง่งมของตัวเองมาขบคิดและใคร่ครวญเท่านั้น



ข้าพเจ้าหงุดหงิดเพราะปัญหาสังคมที่ต้องเจอทุกวัน

รถติด ฝนตก ผู้คนมากมาย

ข้าพเจ้าลืมคำสอนของครูบาอาจารย์

ลืมว่าควรมองที่ใจตน

ประคองที่ใจตน

มิใช่บังคับกะเกณฑ์ผู้อื่น


นั่นเป็นความผิดของข้าพเจ้าโดยแท้






อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็ยังดีที่มีคนคอยเตือนสติ

เพราะทุกวันนี้ 

บ่อยครั้งที่ความเผลอเรอมาแย่งชิงพื้นที่ใจหัวใจ

ยามโกรธก็ไม่อาจควบคุมตัวได้

ยามหงุดหงิดก็ระงับยากนัก



"คนโกรธ ไม่มีหูหรอกนะ แพรวา"

หนึ่งในคำที่คนรักเตือนข้าพเจ้าในเช้าวันนี้



น้อยคนจะได้เห็นข้าพเจ้าในอารมณ์หม่นหมองเต็มรูปแบบเช่นนั้น

น่าแปลก ที่มันเป็นเรื่องชินตา สำหรับคนใกล้ตัวของข้าพเจ้า

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น



เพราะสภาพแวดล้อม ความเครียด สังคม

หรือเพราะใจเราเอง