28 ก.พ. 2556

Three Hundreds..No.1 รักแสร้ง แร้ง..เย้ย แรงเสน่หา

ประเดิมเล่มแรก ของ Mission..

One by One Three Hundreds

ก็เจอเรื่องน่าปวดหัวเสียแล้ว

เมื่อดันละทึ่งไปหยิบหนังสือของนักเขียนชั้นเซียนชาวญี่ปุ่น

"จุนนิชิโร ทานิซากิ"

หน้าปกคล้ายๆ จะบอกว่า

ข้างในมัน..เอิ่ม..





ตามนั้น

 "รักแสร้ง แรงเสน่หา"



เดาไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มอ่านว่า

น่าจะไม่ทิ้งแนวๆ มูราคามิ

น่าจะตีแผ่ความรู้สึก

อารมณ์ หรืออะไรก็ตามที่เป็นสันดานดิบของมนุษย์

เป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่รู้สึก

แต่ไม่กล้าแสดงออก

และยิ่งไม่กล้าที่จะถ่ายทอดออกมา ขนาดนี้




เดาไม่ผิด

แต่ถูกไม่หมด

เพราะมันยิ่งกว่าการตีแผ่

มันคือการล้วง ควักออกมาให้เห็นกันจะจะ

(แต่สิ่งที่เห็น จะใช่สิ่งที่เป็นหรือไม่ นั่นคืออีกเรื่อง)





ความจริง งานเขียนชิ้นนี้สะท้อนปัญหาที่เป็นธรรมดามากๆ

ใครๆ ก็สามารถพบเจอกับตัวเองได้

และใครๆ ก็อาจเป็นเช่นตัวละครเอกทั้ง 4 ได้เหมือนกัน

ไม่เหตุการณ์ใดก็เหตุการณ์หนึ่ง

ไม่ความรู้สึกใด ก็ความรู้สึกหนึ่ง


มันแย่

มันน่ารังเกียจ

มันน่าขยะแขยง

มันดิบ

แต่มันจริง




ขณะที่อ่าน

ยอมรับเลยว่า รู้สึกสะอิดสะเอียน

กับหลายๆ เหตุการณ์

แต่นั่นแหละ

คือเสน่ห์..ที่ดึงดูดให้อ่านต่อไป ต่อไป เรื่อยๆ

เพราะอยากจะรู้ว่า

ท้ายที่สุดแล้ว บทสรุปของแต่ละตัวละคร

จะเป็นเช่นไร



เข้าใจว่าหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียน ละเอียดมาก

เล่นกับความรู้สึกของคนได้อย่างน่าทึ่ง

แม้สำนวนการแปล จะแปร่งๆ ไปบ้าง

แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เพื่อจะทำให้มันดูคล้ายการบอกเล่า

ที่ออกมาจากปาก

หรือเป็นจดหมาย ที่เขียนอย่างเป็นกันเอง

ไม่เน้นความสละสลวย

เน้นการเข้าถึงอารมณ์




หน้าปก มีสีสัน

และสื่อถึงความเป็นญี่ปุ่นมาก

(หรืออาจเป็นจีนก็ได้นะ หญิงสาวตาตี่ขนาดนั้น 555)

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด

ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าภาพหรือสีสัน

จะดึงดูดได้มากเท่าตัวหนังสือ

เพราะแค่คำว่า

"รักแสร้ง แรงเสน่หา"

ก็ดูเย้ายวน

ดูน่าค้นหาเสียมากมายแล้ว

หึๆ




แต่เอาเข้าจริงๆ

หนังสือเล่มนี้ หาได้ติดเรทแต่อย่างไร

เรทนี่หมายถึงเพียงฉากอย่างว่านะ

ไม่หมายถึงการหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมอันดี

หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด




ข้าพเจ้ารู้สึกหมั่นไส้ตัวละคร

และแกนความคิด

ที่เหมือนจะทำให้รู้สึกว่า

ตัวละครทั้งสี่ ที่เป็นตัวแทนของคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง

มีความคิด หรือจิตใจ ที่ค่อนข้างพิกลพิการ

จนไม่สามารถหาเหตุผลใดๆ มารองรับการกระทำได้อย่างสมบูรณ์



มันแลดูวิ่นๆ แหว่งๆ

และไม่มีใครสมประกอบเลยสักคน

มันแลดูลวงหลอกกันไปหมด

และจนสุดท้าย ก็ยังไม่รู้ว่า

ใครรักใคร และในเรื่องนี้

มีใคร "รัก" เป็นจริงๆ หรือไม่

เพราะดูเหมือนว่า

ตัวละครทั้งหลาย

จะเอาเซ็กส์ กับรัก มาพัวพันกัน

จนไม่สามารถแยกจากกันได้

อย่างน่าเกลียดเกินไป



แม้นข้าพเจ้าไม่ใช่มนุษย์โลกสวย

แต่การกระทำ และความคิดของตัวละครเหล่านั้

ก็อุบาทว์ และน่าเกลียดเกินไป





สมแล้ว ที่ได้รับการยกย่อง

เป็นศิลปินแห่งชาติของญี่ปุ่น



เพราะแค่หนังสือเล่มบางๆ

ก็ทำให้ข้าพเจ้าอิน

และสะอิดสะเอียนอย่างจริงจัง










27 ก.พ. 2556

ดังว่าเมื่อวาน

วันนี้ เปิดอีเมลที่ลิ้งค์กับ blog นี้

พบรายงานว่า มีผู้มาคอมเม้นท์

บทความที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้ เมื่อไม่นานมานี้


น้องคนนั้น บอกว่า สะเทือนใจ บอกว่าอินกับบทความนั้น


ข้าพเจ้ากลับไปอ่านมันอีกครั้ง

ด้วยสภาพอารมณ์ปกติดี

แต่ขณะอ่าน

ไล่สายตาไปเรื่อยๆ

คล้ายกับกำลังประมวลผล

คล้ายกับสมองกำลังย้อนภาพนั้น

ช้าๆ

แล้วข้าพเจ้าก็พบว่า

ตัวเอง..กลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง

ประหนึ่งว่า เรื่องราวนั้น เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวาน




ข้าพเจ้านั่งซึมอยู่สักพัก เจ็บปวดอีกครั้งอยู่สักครู่

แล้วถามตัวเองว่า

ทำไมจึงยังเจ็บปวดอยู่

เรื่องบางเรื่อง เคยทำให้เจ็บปวด

แต่ ณ ปัจจุบัน มันทำอะไรเช่นนั้น ไม่ได้อีกต่อไป

ทว่า ทำไมกับเรื่องบางเรื่อง

จึงยังไม่เจือจาง



หรือเพราะบาดแผลต้องการเวลาในการเยียวยา

ถ้าเช่นนั้น เวลาสักเท่าไหร่ จึงจะพอ

หรือแท้แล้ว

เราจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง

เพื่อสมานแผลไปด้วย

ดังเช่นที่เราใส่ยาแดง พันผ้ากอซ หรือแม้กระทั่ง ต้องเย็บปากแผล



ใครคนหนึ่งเคยบอกข้าพเจ้าว่า

หากนึกถึงเรื่องใดแล้วยังมีอารมณ์กับเรื่องนั้น

แสดงว่าเราไม่ได้ปล่อย ไม่ได้วางมันจริงๆ

เราต้องพิจารณามัน

เพื่อจะได้เท่าทันมัน และเพื่อที่จะมันจะได้ไม่มีพิษภัยกับใจเราอีก


ข้าพเจ้าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง



บทความงานวิจัยชิ้นหนึ่ง

บอกไว้ว่า

เมื่อเราเจ็บปวดจากเรื่องใด

ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน

ฮอร์โมนนั้นจะไปกระตุ้นสมองส่วน Amygdala

ซึ่งสมองส่วนนั้นก็จะทำการบันทึกความเจ็บปวดนั้นไว้

ยิ่งเรามีอารมณ์รุนแรงเท่าไหร่

ฮอร์โมนก็จะยิ่งถูกหลั่งออกมามาก

สมองยิ่งบันทึกอย่างหนักแน่นและฝังลึกลงไปเท่านั้น

แล้วทีนี้

เมื่อย้อนนึกไปถึงเรื่องนั้นอีก

เราก็จะเจ็บปวดอีก

เมื่อเจ็บปวดอีก ก็หลั่งฮอร์โมนอีก

เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

เมื่อเราพยายามข่มมัน พยายามสลัดมันทั้งแรงๆ

มันก็จะยิ่งดื้อ

ยิ่งด้าน

ยิ่งฝังลงไป ลึกกว่าเดิม

นั่นคือเหตุผลว่า

ทำไมแผลเก่า ไม่หายสนิทเสียที

ไปสะกิดถูกมันมีไร เลือดก็ยังคงไหลซิบๆ



ร่างกายมันมีกระบวนการ

อาจเพราะเมื่อสิ่งใดทำให้เราเจ็บปวด

ร่างกายอาจตีความว่า

ต้องจดจำไว้

เพื่อหลีกเลี่ยง

เพื่อจะได้ระมัดระวัง

ไม่ไปเจอความเจ็บปวดนั้นอีก

เพราะอย่างนี้กระมัง

คนเราจึงฝังใจกับเรื่องร้ายๆ มากกว่าเรื่องดีๆ




ทีนี้ ทางแก้ ต้องทำเช่นไร

เราจะต้องทนทุกข์ไปกับกระบวนการของสมองและร่างกายอีกนานเท่าไร



ข้าพเจ้าอาจต้องควบคุมใจตน

ควบคุมใจ ไม่ใช่สมอง

แต่ถ้าจะให้ไตร่ตรองกันด้วยเหตุผล

ก็คงไม่ได้

เพราะข้าพเจ้าก็ย่อมมีเหตุผลของข้าพเจ้า

ที่จะอนุญาตให้ตัวเองไม่พอใจ เจ็บปวด หรือโกรธแค้น

ว่ากันตามตรรกะ จึงไม่ช่วยอะไร

มีแค่ตัดสินผิดถูก แต่ไม่ช่วยให้ใจเราเบา



ข้าพเจ้าต้องทำเช่นไร

รู้เท่าทันมัน

พิจารณามันเช่นไร

โกรธก็คือโกรธ

แล้วทำอย่างไรจึงจะหายโกรธ

ดูที่ต้นเหตุ

แต่ก็ต้องยอมรับว่า

บางครั้ง ต้นเหตุของความเจ็บปวด

มันไม่ได้ถูกสะสางอย่างจริงจัง

มันเพียงแค่ถูกปิดบัง ถูกบิดเบือน

ด้วยคำพูดสวยหรู

ซึ่งก็ช่วยได้แค่ชั่วครู่ชั่วคราว

หรือแท้แล้ว ข้าพเจ้าอาจยังมีปม

มีเรื่องไม่เข้าใจ มีเรื่องไม่พอใจ

หรือมีเหตุการณ์บางอย่าง ไปสะกิด

ไปทับถม ไปเพิ่มเติมความรุนแรงให้บาดแผลนั้น




ถึงกระนั้น

ข้าพเจ้าก็คงไม่อาจจัดการทุกสิ่งอย่าง

หรือควบคุมใครได้ดังใจหวัง

เมื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่นไม่ได้

ก็จำต้องเปลี่ยนใจตัวเอง

ล้างที่ใจตัวเอง

ทำแผลด้วยตนเอง

เพราะแผลของเรา เราย่อมรู้ดีที่สุด

ว่าเจ็บแค่ไหน ลึกแค่ไหน สาหัสแค่ไหน

ใครก็ไม่อาจช่วยเราได้




หรือท้ายที่สุด

ข้าพเจ้าก็ควรเลือก

ที่จะตัดต้นเหตุของความเจ็บปวดเหล่านั้นออกไปเสีย

เมื่อถึงเวลาอันควร

เมื่อเปล่าประโยชน์ที่ต้องเดินบนเส้นทางอันรวดร้าวต่อไป

ข้าพเจ้าก็ควรหยุด

แล้วสะสางสิ่งตกค้างในใจ

เพราะแค่นี้

ก็น่าจะมากโขแล้ว




มันเป็นดั่งเส้นด้าย

ที่พันกันอย่างสลับซับซ้อน

และยากจะหาปมเจอ

บางที

ถ้าการแก้มันยากนัก

ก็จักได้เผามันให้หมดสิ้นไป

ทั้งก้อนนั่นแหละ






Another one Mission..

เมื่อเราเลือก หนทางเดิน

เมื่อเราละ เส้นทางเก่า

เราก็จำเป็น ต้องทำใจ

ยอมรับ การเปลี่ยนแปลง




บอกตัวเองไว้ อย่ากลัว

ให้กำลังใจ ให้เต็มที่

อย่าเสียดาย เมื่อเราเลือกแล้ว

ที่จะวางอะไรไว้ข้างหลัง ตั้งอะไรไว้ข้างหน้า





เก็บอดีตเป็นสิ่งสอนใจ

เรียนรู้ว่าผิดตรงไหน พลาดเพราะอะไร

แม้บางสิ่ง เราอาจรู้อยู่แล้ว

ก็ถามตัวเองเสีย ว่าพร้อมจะแก้ไข..แล้วหรือยัง





และเมื่อคำตอบคือ พร้อมแล้ว

ก็แค่ตั้งต้นใหม่

นับหนึ่งอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ เราจะภูมิใจ

เพราะอย่างน้อย เราก็ไม่ได้เริ่มจากศูนย์

เรามีจุดยืน เรามีเป้าหมาย

เราเคย..ผ่านมันมา

แม้ไม่เหมือนกันทั้งหมด

เราก็แข็งแรงพอที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่

เรื่องราวใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ ปัญหาใหม่ๆ





เข้มแข็ง

แม่บอกไว้ให้เข้มแข็ง

อดทน

แม่บอกไว้ให้อดทน

แม่เคยบอกว่า ลูกยังอดทนไม่ถึงครึ่งของแม่เลย

ใช่

ยังไม่เคยอด ยังไม่ลองทน

ได้แม้เพียงสักเสี้ยวของแม่

แต่ครั้งนี้

จะทำให้แม่ดู

จะทำให้แม่เห็น

ลูกคนนี้..โตขึ้นแล้ว จริงๆ

หลับ..ใหล..ไหล..ลึก

จะว่าดีก็อาจจะใช่

จะว่าร้ายก็ไม่เชิง

ความจริงข้าพเจ้าก็ชอบ..ที่ตัวเองเป็นเช่นนี้

หลับง่าย..มากๆ

และจะนอนไม่หลับ ก็ต่อเมื่อมีบางสิ่ง

ที่ยิ่งใหญ่ มารบกวนจิตใจ ก็เท่านั้น

ซึ่งก็นับครั้งได้เลย

สำหรับช่วงเวลาเช่นนั้น



ตามปกติแล้วก็จะหลับ

เมื่อหลับแล้ว ก็มักจะฝัน

ซึ่งก็น้อยครั้งอีกเช่นกันที่หลับแล้ว ความฝันจะไม่โลดแล่นไป

ข้าพเจ้าเป็นคนมีฝัน โดยแท้จริง

ฮ่าๆๆ



ข้าพเจ้าหลับได้เกือบทุกสถานการณ์

คุยโทรศัพท์ก็หลับได้

อันนี้เป็นบ่อยเมื่อสมัยยังวัยละอ่อน (กว่านี้)

เพราะมีแฟน

ก็นอนคุยโทรศัพท์กับแฟน

คุยไปคุยมา ก็หลับ

แรกๆ แฟนก็โกรธ

หลังๆ แฟนก็ชิน

หุๆ



หรือบางที

อ่านหนังสืออยู่ดีๆ

ก็หลับ

อันนี้เป็นไม่บ่อย

และจะเป็นก็ต่อเมื่อฝืนไม่ไหวแล้ว (มั้ง)

อย่างเช่นเมื่อคืน

นอนอ่านหนังสือ

ตอนเกือบเที่ยงคืน

อ่าน Catching Fire

เกือบจบเล่มละ

อ่านไปอ่านมา

หลับ เหมือนโดนโหลด

คือ ไม่รู้แม้กระทั่งว่า หลับไปตอนไหน

และที่สำคัญ

ตื่นมากลางดึก

รู้สึกได้ว่า หนังสือไปอยู่ข้างเตียง

และแว่น (ใส่แว่นนอนอ่านซะด้วย) ก็ถูกพับอย่างเรียบร้อย

ไปวางคั่นหน้าตรงที่อ่านไว้

ข้าพเจ้าก็นึก..สงสัยนุ่มถอดแว่นและเก็บหนังสือให้

แต่ปรากฏว่า ตื่นเช้ามา

นุ่มบอกไม่ได้ถอดให้นะ

ตรึงงงงง!!! o_O

แล้วใคร...ถอดให้เรา??

จะว่าถอดเอง ก็จำไม่ได้เลยจริงๆ

แถมยังถอดแล้วพับขาเรียบร้อย คั่นไว้ที่หน้าหนังสือ วางอย่างดี

เอิ่ม...หรือต้องเอาพวงมาลัยไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางเสียบ้างแล้ว ฮ่าๆๆ

นุ่มบอกว่า

นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว

เหอๆ

จำไม่ยักได้ว่ามีครั้งแรก

เรื่องความจำนี่ก็เหมือนกัน

อะไรที่ควรจำ ก็ไม่ค่อยจะจำ

อะไรที่ไม่ใช่สาระสำคัญของสิ่งใดๆ

ดันไปจำมันได้ดีเหลือเกิน

ฮึ่ม





เมื่อสมัยเรียน

เพื่อนๆ มาถล่มห้องบ่อยๆ

มากันเป็นฝูง เป็๋นโขยง

เสียงดังเอะอะโวยวาย

ข้าพเจ้าก็ยังหลับได้สบาย

จนเพื่อนมันบอกว่า

"ถ้ามีโจรเข้ามาข่มขืนมึง แล้วมึงไม่รู้สึกตัว กรูก็เชื่อ"

ว่ากันเข้าไปขนาดนั้น ฮ่าๆๆ



และเมื่อสมัยเรียนเช่นกัน

ข้าพเจ้ามักจะเป็นตะคริว

เป็นบ่อยมาก

นอนๆ อยู่ แล้วพลิกตัว ขยับขา

ถ้ากล้ามเนื้อมันกึกขึ้นมา

จะรู้ได้เลยว่า..เอาอีกละ

ว่าง่ายๆ ก็คือ

เป็นจนชิน เป็นจนคุ้นกัน สนิทกัน

บางครั้งก็ปล่อยมัน ทักทายมันเสียด้วยซ้ำ

เอ้า..มาอีกแล้วหรอ

ฮ่าๆๆ

มันอยากเป็นนัก ก็ปล่อยมันเป็นไป

ตรงน่องนี่

ซี้กันมากกับเจ้าตะคริว




นอกจากนี้

ก็ยังค่อนข้างรู้จักเจ้าผีอำ

แต่ไม่ค่อยอยากสนิทกับมันเท่าไหร่

มันมาทีไร

ใจหวิวทุกที

แต่ก็นะ

เมื่อเป็นบ่อยๆ ก็ปล่อยวาง

เออ เดี๋ยวมันไปเมื่อไหร่ ก็ขยับตัวได้เองแหละ

ข้าพเจ้าไม่เคยสวดมนต์ หรือพุทโธๆ ไล่มันเลยสักครั้ง

เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ผีจริง

แต่ก็เสียวๆ

วันดีคืนดี มีผีมาสวมรอยมัน อำเราขึ้นมาจริงๆ คงแยกไม่ออก

เอิ้กๆ

เจ้านี่ มันร้ายนัก อำจนบางที ข้าพเจ้าเกิดกลัวว่าจะตายไปเลยจริงๆ ก็มี

เพราะมันอำนานมาก

และเหมือนจะใจขาดตายไปจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น





ข้าพเจ้าเคยละเมอ

เท่าที่รู้มา มีแค่สองครั้ง

ครั้งหนึ่งคือ ละเมอหัวเราะ

หัวเราะคิกๆ อยู่คนเดียว

เพื่อนว่างั้น เพื่อนตกใจด้วย

อิอิ


อีกครั้งหนึ่ง

ละเมอ แบบกึ่งๆ รู้ตัว

แต่พอรู้ตัวจริงๆ

ก็จำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไป

และพูดออกไปทำไม

อีกทั้งคำพูดนั้น หมายความว่าอย่างไร

จนบัดนี้ ก็ยังงงๆ

ข้าพเจ้าละเมอพูดว่า

"ทำไมมังกรถึงอยู่เป็นคู่"

เหอๆ

ใครรู้..ช่วยบอกข้าพเจ้าที

ฮ่าๆๆ





อรุณสวัสดิ์ เช้าวันสีเขียว

February 27, 2013

แพรวา มั่นพลศรี



26 ก.พ. 2556

เมื่อฉันจะไป..

เมื่อฉันบอกคุณว่าลาก่อน

นั่นหมายความว่า

คุณจะไม่มีฉัน

ในจุดที่ฉันเคยยืนอยู่

แต่คุณคะ

ได้โปรด

ตรองไตร่ดูให้ดี ว่าปัจจุบัน ฉันอยู่ที่ตรงไหน

เพราะสิ่งที่ฉันกำลังบอกคุณก็คือ

แม้ว่าฉันจะไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมอีกต่อไป

ก็ไม่ได้หมายความว่า

ฉันจะไม่ยืนอยู่รอบกายคุณ ในจุดอื่นๆ





ฉันไม่โกรธ ฉันไม่แค้น ฉันไม่เกลียด ฉันไม่ชัง

ฉันเชื่อว่าเราจะจากกันด้วยดี

ฉันรักคุณนะ

และรู้สึกดีกับคุณ

แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเอ่ยคำน้ำเน่านั้นให้คุณฟัง

เราเข้ากันไม่ได้..จริงๆ




ฉันมีเหตุผลของฉัน

คุณมีวิถีของคุณ

คุณอาจโตแล้ว

แกร่งกล้ากับโลกใบนี้แล้ว

แต่ฉันยัง

ฉันยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ

เป็นเพียงดักแด้ที่ยังไม่มีแม้ปีกใดๆ

ที่จะทำให้ตัวเองสง่างามและมีอิสระในการโบยบิน





และฉันเชื่อว่า

ฉันจำเป็นต้องเติบโต

จำเป็นต้องเรียนรู้

ฉันต้องศึกษาโลกกว้าง

และฉันไม่อาจมีชีวิตอยู่อย่างดักดาน

ไม่อาจทนให้ความพิการมากัดกินความคิด

ฉันจึงจำเป็น

ต้องบอกลาคุณ





คุณเป็นคนดี

และได้โปรดอย่าถามว่าคุณยังดีไม่พอหรือ

คุณดีมาก

ดีที่สุด เท่าที่คุณจะสามารถดีได้แล้ว

คุณให้อะไรฉันหลายๆ อย่าง

ฉันขอบคุณ...จากหัวใจ

และฉันไม่สนว่า

สิ่งที่คุณให้มานั้น จะมาจากใจจริงหรือไม่ก็ตาม

ให้ก็คือให้




นับแต่นี้ไป

ขอให้คุณเชื่อใจฉัน

เราจะจากกันด้วยดี

จะไม่มีถ้อยคำสาดสี

จะไม่มีการนินทา

จะไม่มีการว่าร้าย

คุณจะไม่เสื่อมเสียเพราะฉัน

ฉันไม่มีวันทำร้ายคุณ

ฉันสัญญา






ด้วยรัก

ก่อนวันนั้น

แพรวา มั่นพลศรี
บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
Tilleke & Gibbins International Ltd.

One by One..Three Hundreds: สามร้อยทีละเล่ม


หลายคน เปรียบคน เหมือนหนังสือ

ให้ค่อยๆ เรียนรู้

ค่อยๆ ดูกันไป

ให้ดูเนื้อใน

อย่าดูแต่หน้า

เพราะทั้งคน และหนังสือ

ต่างตัดสินแค่เพียงปก หรือ เปลือก

ย่อมไม่ได้




ข้าพเจ้าเห็นด้วยนะ

ภายนอก..มันบอกอะไรไม่ได้จริงๆ

อย่างมาก แค่คาดเดา ความน่าจะเป็น

แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราเห็น

คือสิ่งที่คนๆ นั้นเป็น หรือหนังสือเล่มนั้นๆ มี





ข้าพเจ้าก็เปรียบคน กับหนังสืออยู่บ่อยๆ

เปรียบเพื่อเปรียบบ้าง

หรือบางครั้ง

ก็เปรียบเพื่อหาข้ออ้างให้ตัวเอง



ข้ออ้างอะไร?



ก็อย่างเช่น

เมื่อข้าพเจ้าเจอคนๆ หนึ่ง

ข้าพเจ้ารู้สึกอยากรู้จัก

ข้าพเจ้าเข้าไปทักทาย พูดคุย

ถ้าพูดคุยไปสักนิด รู้จักกันไปสักหน่อย

แล้วเขาคนนั้น ค่อนข้างมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนดี

ข้าพเจ้าก็จะทำความรู้จักกับเขาไปเรื่อยๆ



เหมือนหนังสือ

ที่เมื่อดูปกหน้า ปกหลัง เปิดผ่านๆ แล้ว

ข้าพเจ้าอยากอ่าน

ก็จะอ่าน

ค่อยๆ อ่านไป ๆ ทีละหน้าๆ

อ่านไปเรื่อยๆ



แต่ถ้าเขาคนนั้น มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนไม่ดี

ข้าพเจ้าก็จะถอยห่าง

ตีตัวเองออกมา

เพราะพระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า

อย่าคบคนพาล




หนังสือก็เช่นกัน

เมื่ออ่านไปๆ แล้วพบว่า

เวิ่นเว้อ ไม่มีหลัก ไม่มีประเด็นน่าสนใจ เขียนอะไรของมัน

ข้าพเจ้าก็จะหยุดอ่านเสีย

ฮ่าๆๆ

(เอาความน่าเบื่อของหนังสือ มาเป็นข้ออ้าง ให้ไม่ต้องอ่านต่อไปนั่นเอง หุๆ)




แต่ก็นั่นแหละ

เมื่อคนๆ นั้น แสดงออกมาในเบื้องต้นว่าดีหรือไม่ดี

ข้าพเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าดีจริง หรือไม่ดีจริง

ข้าพเจ้าควรให้โอกาสเขามากน้อยแค่ไหน

ถ้าเวลาผ่านไป

มันมีเหตุการณ์อื่นๆ มาทำให้ความคิดเปลี่ยน

ทำให้เขาคนนั้น ได้แสดงตัวตน

ได้แสดงให้เห็นว่า หัวใจของเขาเป็นเช่นไร

ข้าพเจ้าจะเสียใจหรือไม่

ที่ด่วนตัดสินเขา เร็วเกินไป



ข้าพเจ้าควรต้องอดทน

ดูเขาไปเรื่อยๆ

เช่นนั้นหรือ

แล้วถ้าท้ายที่สุด

เขาเป็นคนไม่ดีจริงๆ

ข้าพเจ้าจะถอนตัวเองออกมาได้ทันหรือไม่



หนังสือ

มันยังมีหน้าสุดท้าย

เพื่อให้ได้อ่าน ได้ศึกษาจนจบทั้งหมด

แล้วจึงสามารถตัดสินได้ว่าดี ไม่ดี ชอบ ไม่ชอบ

แต่คนนี่สิ

อย่างไรจึงจะพอ สำหรับการศึกษา..ก้อนความคิดและหัวใจ




ข้าพเจ้าอาจอ่านหนังสือเล่มหนึ่งไปสักหนึ่งบท

แล้วไม่ชอบ

ข้าพเจ้าอาจปิดมันเสีย แล้ววางมันไว้ที่ชั้นหนังสือ

โดยไม่แตะต้องมันอีก

ทว่า ข้าพเจ้าอาจกัดฟัน อ่านมันต่อไป

สำหรับบทถัดๆ มา

ข้าพเจ้า อาจเปลี่ยนใจ

เออ มันก็ดีนะ

มันก็ได้เรื่องนะ

หรือ มันก็เจ๋งนะ

จนกว่าจะถึงหน้าสุดท้าย

ข้าพเจ้ามีสิทธิวางมันลงได้ทุกเมื่อ

และเมื่อใดที่วางลง โดยไม่คิดจะหยิบมาอ่านอีก

นั่นหมายความว่า

ข้าพเจ้าตัดสินมันแล้วว่ามันไม่ดี

แต่นั่น จะดีหรือ

ในเมื่อมีทางที่ข้าพเจ้าจะศึกษามันจนจบได้

ข้าพเจ้าควรเพิกเฉยต่อโอกาสนั้นหรือ




แล้วถ้าวันหนึ่ง

มีคนหยิบหนังสือเล่มนั้นมาอ่าน

แล้วบอกข้าพเจ้าว่า

หนังสือเล่มนั้น

ดีนะ

ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร

จะกลับไปหยิบมันมาอ่านอีก

หรือจะวางท่า

เชอะ ไม่เห็นจะดี

ข้าพเจ้าจะเชอะได้เต็มปากเต็มคำหรือ

ในเมื่อยังรู้จักกับมันไม่เท่าไหร่เลย




สำหรับช่วงชีวิตนี้ วันนี้ ตอนนี้
ข้าพเจ้าไม่ต้องการศึกษาผู้คน หรือทำความรู้จักกับใครอย่างลึกซึ้งอีก

คนสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้า

มีเพียงพอแล้ว สำหรับการหายใจต่อไปในแต่ละวัน

ข้าพเจ้าอาจยิ้มทักทาย อาจพูดคุย

แต่คงไม่อาจเทใจให้ใครได้อีกต่อไป

มันเกินกำลัง




เพราะฉะนั้น

เมื่อชีวิตคือการเรียนรู้

และเมื่อข้าพเจ้าไม่เลือกจะเรียนรู้คน จากคน โดยตรง

หนทางที่ข้าพเจ้าจะสามารถเรียนรู้หัวใจผู้คนได้

ก็คือ หนังสือทั้งหลาย

ข้าพเจ้าจะศึกษาหนังสือทีละเล่ม

ค่อยๆ ทำความรู้จัก

ค่อยๆ พูดคุย

แล้วจึง ค่อยๆ ตัดสินหนังสือเหล่านั้น





แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าจะตัดตัวเอง

ออกจากสังคม ออกจากโลกกว้างใบนี้

ข้าพเจ้ายังต้องเดินต่อไป

พบผู้คนใหม่ๆ ต่อไป

รู้จัก และยิ้มให้ใครๆ

ต่อไป

มนุษย์ ถูกสร้างมาเพื่อลักษณาการเช่นนี้อยู่แล้วนี่นา




นั่นเป็นเพียงการครุ่นคิดเรื่อยๆ เปื่อยๆ

เพราะอย่างไรเสีย

ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจแล้ว

ว่าต่อแต่นี้

ข้าพเจ้าจะอ่านหนังสือทีละเล่ม

ให้จบ..ทุกเล่ม


มันเป็น Mission อย่างหนึ่ง

ที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง

และเป็นไปได้ด้วยดี

300 เล่ม

ทีละเล่ม




ยากอยู่เหมือนกันนะ

สำหรับมนุษย์อ่านหนังสือไม่ค่อยจบเล่มอย่างข้าพเจ้า

เพราะหากไม่ชอบ ไม่ถูกใจ น่าเบื่อ

ข้าพเจ้าก็มักจะวางเล่มนั้นลง โดยทันที

ข้าพเจ้าไม่ค่อยให้โอกาสกับสิ่งที่ไม่ท้าทายหรือไม่เกิดประโยชน์กับชีวิตสักเท่าไหร่

แต่ก็อย่างว่า

ข้าพเจ้าอาจมีความอดทนต่ำเกินไป

ด่วนคิด ด่วนตัดสินใจ เกินไป

ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนตัวเองเสียที




วันอังคาร สีชมพู
26 กุมภาพันธ์ 2556
แพรวา มั่นพลศรี





*****************************************************

ณ วันนี้

ข้าพเจ้าก็ยังสนุกสนานกับการเปรียบเทียบ

ระหว่าง หนังสือ กับ หัวใจคน



หนังสือ ดูแค่ภายนอก ไม่ได้

หนังสือ ให้โอกาสเรา...เรียนรู้

หนังสือ อาจมีทั้งส่วนที่เราชอบ และไม่ชอบ

เช่นเดียวกับ..หัวใจคน




หนังสือ

มีทั้งดี และไม่ดี

มีทั้งเรียบง่าย และยุ่งยาก

มีทั้งเข้าใจได้

และยากที่จะเข้าใจ

แท้แล้ว

หนังสือ ก็คือภาคส่วนเล็กๆ ของหัวใจใครสักคน




เราอาจศึกษาหนังสือได้จนจบทั้งเล่ม

แล้วตัดสินว่าชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี

แต่เราไม่อาจศึกษาหัวใจใครได้ทั้งหมดทั้งมวล

ไม่อาจเข้าใจทุกซอกทุกมุมของความเป็นไป

เพราะหัวใจคน

มันสลับซับซ้อน

และไม่มีหน้าสุดท้าย

ตราบใจที่ลมหายใจ

ยังไม่สิ้นสุด




เราอาจอ่านหนังสือ

แล้วตัดสินว่ามันไม่ดี

ตั้งแต่เริ่มต้น

เราอาจวางมันทิ้งไว้

แล้วสักวัน เราอาจกลับมาอ่านมันได้ใหม่

เมื่อเราต้องการ





แต่เรา ไม่อาจทิ้งๆ ถือๆ หัวใจใครได้

วางแล้ววางเลย ถือแล้วก็ควรถือเลย

เพราะเมื่อใดที่เราวางหัวใจใครไว้

หัวใจนั้น ก็พร้อมจะกลับไปหาเจ้าของ

และไม่เหลียวมามองเราอีกเลย

















24 ก.พ. 2556

ฝันร้าย ร้าย


ฉันเกลียดความฝัน

เพราะฉันมักฝันร้าย

ฉันจึงไม่อยากที่จะฝัน




ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงฝันร้าย

และไม่รู้ว่าทำอย่างไร

ฝันร้ายเหล่านั้นจึงจะกลายเป็นดี

ดังที่ใครๆ ก็ว่ากัน




สำหรับฉัน

ฝันร้ายก็คือฝันร้าย

ไม่มีวันกลายเป็นอื่น

ไม่ว่าจะในฝัน หรือนอกฝัน




เมื่อฉันมีความรัก

ฉันฝันว่ารักของฉันจะสวยงาม

ฝันว่าฉันจะมีเขาคนนั้น

เคียงข้างกาย

ฝันว่าฉันจะปลอดภัย

จากการคุกคามใดๆ

ของปีศาจร้าย

ของความโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงา

ฝันจะมีคำว่าเรา

ไปตราบนานเท่านาน





ทว่า...ในฝัน

ฉันเห็นความเจ็บปวด

เห็นรอยน้ำตา

และเมื่อตื่นขึ้นมา

ฉันพบว่า

รอยน้ำตานั้น...มีอยู่จริงๆ




มันเป็นฝันมิใช่หรือ

ฉันถามตัวเอง





ฉันฝันเห็นเขาไม่รักฉัน

ฝันเห็นเขารักใครคนอื่น

ฝันว่าเขาแต่งกลอนรัก

กลอนรักเหล่านั้นงดงามและไพเราะ

ทว่า มันไม่ได้ถูกบรรจงสร้างมาเพื่อปลอบประโลมหัวใจฉัน

เขาไม่ได้เขียนมันขึ้นมา

เพื่อมอบให้ฉัน






ฉันฝันว่าในบันทึกของเขา

มีเรื่องราวความรัก

รักอันละเอียดลออ

รักที่โรแมนติกลึกซึ้ง

เรื่องราวเล็กน้อยที่เขาจดจำ

เขาใส่ใจทุกวินาทีที่ได้ใช้เพื่อรักนั้น

ทว่า

เรื่องราวเหล่านั้น

คนที่อยู่ในบันทึกของเขา

ไม่ใช่ฉัน






ฉันฝันเห็นเขาเดินกางร่ม..

กางร่มให้คนที่เขารัก

ท่ามกลางสายฝน

ที่ซัดกระหน่ำ

ฝนตกหนัก

แต่เขาไม่หวาดหวั่น

เขาไม่ยำเกรง

เพราะข้างกายเขา

มีคนที่เขารัก

เขาใช้ร่างกายอันบอบบาง

ปกป้องร่างกายของหญิงสาว

เพื่อมิให้ฝนร้าย

ทำลายเธอ





ฉันฝันว่าเขาดูแลใส่ใจใครคนอื่น

หญิงสาวแสนสวย..คนนั้น

เขายอมลำบาก

ยอมฝ่าฟันอันตราย

เพื่อจะได้ทำอะไร อะไร ให้เธอ

เพื่อที่ในระหว่างทางแสนไกลนั้น

เขาจะได้พูดคุย หยอกล้อ แลกเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึก

เพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลา...ร่วมกับเธอ





ฉันฝันว่าเขาเสพสม

ฉันได้ยินเสียงอภิรมย์เช่นว่านั้น

ฝันว่าเขามีสุข

ฝันเห็นสีหน้าและแววตาของเขา

ในชั่วขณะนั้น

ทว่า

ฉันไม่เห็นฉัน






ฉันฝันเห็นผู้หญิงของเขา

และเห็นครอบครัวของเขา...โอบกอดผู้หญิงคนนั้น

นั่นล่ะ

ถึงแม้นในฝัน

ทุกๆ คนจะไม่ได้ผลักไสฉัน

แต่การโอบกอดคนอื่น

ก็คือการไล่ส่ง

ให้ฉันต้องออกไป

ให้ฉันไม่มีที่ยืน






ฉันฝันว่า...ฉันสูญเสียทุกอย่าง

เพื่อนสนิท มิตรรัก คนใกล้ชิด

หน้าที่การงาน

หรือแม้กระทั่งครอบครัวของฉันเอง

ฉันเลือกที่จะวางพวกเขาไว้ข้างหลัง

และเดินหน้าไปหาคนที่ฉันรัก

ฉันถามตัวเองว่าเสียใจไหม

ฉันสับสนและมิอาจตอบคำถามนั้นได้

หาใช่เพราะไม่รู้ว่าเสียใจหรือไม่

หากเพราะมันคือ...เสียใจมาก

มากเสียจนอธิบายไม่ได้ว่าเพียงไหน

ฉันไม่ควรมอบเวลาอันมีค่า

ให้คนที่ไม่เคยมอบอะไรให้ฉันด้วยใจจริง

ฉันไม่ควรชะล่าใจ

ว่าจะไม่มีใครจากฉันไปแสนไกล

ฉันไม่ควรเลือกเขา

มากกว่าใครๆ ที่รักฉัน





รักคือการให้

ฉันเชื่อเช่นนั้น

แต่ก็นั่นล่ะ

ฉันลืมไป..ว่าควรให้..คนที่คู่ควร





ฉันร่ำไห้

ฉันโศกเศร้า

ฉันไม่อาจกลั้นน้ำตา

เพราะความเจ็บปวดมันมากเกินทน

ฉันร้องไห้ปานว่าจะขาดใจ

เพราะใจของฉัน

แทบขาดจริงๆ

ฉันสูญสิ้น

ซึ่งความรัก

และคนที่ฉันรัก

ในความฝันนั้น

ในฝันร้ายเช่นว่านั้น

เขาไม่ใช่ของฉัน

ฉันไม่มีเขา

ฉันไม่มีใคร





เพราะอย่างนี้

ฉันจึงเกลียดฝันร้าย

ฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน

ฉันไม่อาจสู้รบกับมันได้จริงๆ

ฉันพ่ายแพ้มัน

ฉันพ่ายแพ้ความฝัน

ที่ไม่มีวันกลายเป็นดี








ฉันพ่ายแพ้ความฝัน

ความฝัน...ของฉันเอง