4 ก.พ. 2556

แรงปรารถนา ถ้าฉันเป็น...

ดูละคร ให้ย้อนดูตัว

เข้าใจว่า การย้อนดูตัว

ก็คือการหยิบเอาสถานการณ์ต่างๆ ในละครที่เราดู

มาคิด พิจารณา ไตร่ตรอง 

โดยสมมติตัวเอง เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น

แล้วลองหาคำตอบดูว่า

ถ้าเราเป็น...เราจะทำอย่างไร




ตอนดู ก็อิน ก็วิพากษ์ วิจารณ์ ด่าตัวละครนั่นนี่อยู่ตลอด

พระเอกโง่บ้างล่ะ นางเอกงี่เง่าบ้างล่ะ

ตัวโกงชั่วได้ใจ นางรองน่าสงสาร บลา บลา บลา




เมื่อเราอยู่ในสถานะผู้ดู ผู้ชม 

เมื่อเรามองจากมุมมองภายนอก

เราสามารถคิดได้ มองได้ และมีเหตุผลได้

เราฉลาดได้ และทำตัวแตกต่างจากตัวละครงี่เง่าที่ไม่ได้ดั่งใจเหล่านั้นได้

แต่เมื่อเรา..เกิดเป็นหนึ่งในตัวละครเหล่านั้นขึ้นมา

อันนี้หมายถึง..เป็นจริงๆ

ไม่ใช่แค่สมมติ 

ต้องเผชิญกับสถานการณ์นั้นจริงๆ

ต้องเจอกับคนแบบนั้นจริงๆ

จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะไม่เผลอทำตัว...อย่างในละคร





 ข้าพเจ้าห่างหายจากการดูละครมานาน

แม้ที่ห้องจะมีโทรทัศน์ ก็ไม่ค่อยจะได้เปิด

ละครเรื่องเดียวที่อยากดู และจะดูเสมอหากมีโอกาสก็คือ

"บ้านนี้มีรัก"

เป็นซิทคอม ที่มีมานาน

เป็นละครที่ทำให้อบอุ่น

บ่อยครั้งที่ดูแล้ว จะต้องโทรกลับไปหาพ่อแม่

มันเป็นการเติมเต็มความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เราโหยหา




แต่ช่วงนี้

เผอิญได้เปิดดูโทรทัศน์

แล้วไปเจอละคร "แรงปรารถนา"

ละครเรื่องนี้ เรทติ้งดีทีเดียว ดูจากกระแสในหน้าเฟสบุ๊ค

ที่แม้กระทั่งเพื่อนในเฟสที่เป็นนักดนตรีสุดโหดและห่าม

ยังตั้งสเตตัสวิพากษ์วิจารณ์ตัวละครอย่างหนักหน่วง...

อินไปด้วยว่างั้น เหอๆ




ความจริง กว่าข้าพเจ้าจะได้รู้จักละครเรื่องนี้

ก็ใกล้อวสานแล้ว

เนื้อเรื่องดำเนินไปถึงจุดสะเทือนอารมณ์

ก่อนจะขมวดปม แล้วค่อยๆ คลี่คลาย

และความจริง

ใครที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านละครไทย

หรือแม้เป็นมือสมัครเล่น ดูบ้างไม่ดูบ้าง

ก็ยังเดาทางได้ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไร

ตอนจบจะเป็นอย่างไร

มันดูค่อนข้างไร้สาระ ที่เอาเวลามาทิ้งขว้างอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม

เวลาสองชั่วโมงกว่า เอาไปทำอะไรที่เกิดประโยชน์ได้เยอะแยะ

แต่ก็นั่นแหละ

ข้าพเจ้าก็เสียเวลาให้ละครเรื่องนี้จนได้

เพียงเพราะ ...พระเอกหล่อ  (ฮิ้ว ฮา)









มีหลายฉากที่ข้าพเจ้าแอบสมมติตัวเองเป็นนางเอก

(แน่นอน ใครๆ ก็ต้องอยากเป็นพระเอก นางเอกอยู่แล้ว)

แต่ฉากหนึ่งที่จำได้คือ

พระเอก..เมื่อรู้ว่าเพื่อน (แต่ในเนื้อเรื่องคือแฟนเก่า)

มีปัญหา  

ก็จะรีบไปช่วย ทำท่าเป็นห่วงเป็นใย

ช่วยจนไม่ห่วงตัวเอง 

แคร์ผู้หญิงคนนั้น...จนไม่คิดว่าคนรอบข้างจะรู้สึกอย่างไร

ข้าพเจ้าเผลอคิดไปเลยว่า

ถ้าคนรักของข้าพเจ้าทำปฏิกิริยาเช่นนั้น

แสดงออกเช่นนั้น

ก็จะไล่ตะเพิดให้ไปหาคนๆ นั้นเสีย

จะได้ไม่ต้องมาทำท่าบาดตาบาดใจให้ข้าพเจ้าเห็น

อยากรักกันจริงๆ ไปรักกันให้พอ

(นั่น..อินจัดอีกซะแร้วววว)




แต่ในเนื้อเรื่อง นางเอกได้แต่เก็บความรู้สึกน้อยใจเหล่านั้นเอาไว้

ไม่พูด ไม่แสดงออก

นั่งร้องไห้ในรถ

(ขนาดนางเอกนั่งอยู่ข้างๆ ร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆ พระเอกยังไม่เห็นเร้ยยย)

ดูแล้ว สงสารนางเอก สงสารตัวเอง 


ใช่...สงสารตัวเอง

เพราะเมื่อเจอสถานการณ์อย่างนั้นจริงๆ

สุดท้าย เราก็กลายเป็นนางเอกงี่เง่าอย่างที่เคยวิจารณ์คนอื่นเขา




เมื่อต้องอยู่ไกลกันกับคนรัก

เวลาทุกวินาทีที่จะได้อยู่ด้วยกัน

จึงมีค่ามากมาย



ข้าพเจ้ายอมนั่งรถตู้ หลังขดหลังแข็งมาจากกรุงเทพฯ

มาหาคนรัก..ที่จันทบุรี

แม้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาอึมครึม

จะว่าทะเลาะก็ไม่ใช่ จะว่าดีกันก็ไม่เชิง

แต่ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะมา



มารีดผ้าให้เขา (ทั้งที่เสื้อผ้าตัวเองยังไม่ค่อยอยากจะรีด)

เขาไปทำงาน

ข้าพเจ้าเอารถไปล้าง

ซื้อของกิน ของใช้มาไว้ให้

อยากโรแมนติกบ้าง

ซื้อแบรนด์รังนกมาเรียงไว้ในตู้เย็น

เขียนโน้ตไว้ว่า

"แทนคำว่ารัก"

ซื้อน้ำชาไว้ให้

เขียนโน้ตไว้ว่า

"ท้องไส้ไม่ดี มีชามาช่วย  ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ"

ซื้อช็อคโกแลตไว้ให้

เขียนโน้ตไว้ว่า

"Chocolate แก้เซง  ให้รู้ว่าเปงห่วง"


มานั่งนึกอีกที

คุ้นๆ ไหม

เหมือนว่าสถานการณ์กำลังจะดี

หลังจากความขัดแย้งที่มีมากำลังจะคลี่คลาย

เหมือนกำลังจะแฮปปี้แร้ว...อีกนิดเดียวเท่านั้น

แต่...




คนรักโทรมาบอกว่า

เย็นนี้ไปตราดกันไหม ไปกินข้าวที่ตราดไหม

????



ความจริงก็คือ

จะไปส่งน้องที่ทำงานคนหนึ่ง

เค้าพักอยู่ที่ตราด



ข้าพเจ้าไม่อยากไป

จึงบอกไปว่า..


"ไม่อยากไป  คืนนี้ละครตอนจบ"



ความจริงอีกก็คือ

ข้าพเจ้าไม่อยากไป

ไปทำไม???

ตราดไม่ใช่ใกล้ๆ 

แม้อยู่ติดจันทบุรี

แต่ไปกลับก็ร้อยกว่ากิโล

กลับมาก็จะดึก

พรุ่งนี้ก็ต้องทำงานอีก

เราควรอยู่ด้วยกันมากกว่า

ข้าพเจ้าอยากให้เขากลับมาเห็นข้าวของในห้องน้ำ

อยากให้เขาเห็นความโรแมนติกในตู้เย็น



แต่ก็นั่นแหละ

เขายังคงแสดงออกว่าอยากไป

ถึงแม้ข้าพเจ้าจะบอกเขาว่าไม่ไป

ถึงแม้ข้าพเจ้าจะยืนยันว่าไม่อยากไปจริงๆ

เขาก็ยังจะไป  แม้จะต้องไปเพียงลำพัง



สุดท้าย

ถึงขนาดยอมเลิกงานเร็ว

เพื่อจะหว่านล้อมข้าพเจ้าว่า

ออกไปตั้งแต่หกโมง ไปถึงนู่นทุ่มนึง กินข้าวแป๊บเดียว

กลับมาก็ทันดูละคร



ข้าพเจ้ารู้...ว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นหรอก

 แต่แล้วยังไง

ดูละครมากไป

กลายเป็นนางเอกแสนดี

ไป..เพียงเพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้ขับรถคนเดียว

ทางมันคดเคี้ยว และถนนก็มืด

เป็นห่วง ก็คือเป็นห่วง




แล้วยังไง

ไปเป็นคนขับรถ

ให้คนรักคุยกระหนุงกระหนิง

คุยเสียงเล็กแหลม

คุยสนุกสนาน

คุยเรื่องคลินิก เรื่องคนไข้ เรื่องหมอเจ้าของร้าน

เรื่องผู้ช่วยทันตแพทย์


คุยแต่เรื่องอะไรที่เขาจะคุยกันสองคน



แล้วยังไง

ข้าพเจ้าขับรถไปด้วยหัวใจสั่นไหว

เหงื่อออกที่มือจนลื่นไปหมด ราวกับเพิ่งหัดขับรถ

มันเจ็บปวด

มันย่ำแย่

นี่หรือ..เวลาที่ควรเป็นของเรา???

 นี่หรือ สิ่งตอบแทน  สำหรับวันนี้




ข้าพเจ้าเข้าใจ

ว่าคนรักของข้าพเจ้าเป็นคนดี

มีเมตตาต่อผู้อื่น

ไม่ปรารถนาจะเห็นผู้อื่นลำบาก เดือดร้อน มีอะไรช่วยได้ก็ยินดีจะช่วย

แล้วยังไง??




ถ้าไม่ไปส่งเขา แล้วเขากลับยังไง?

เอาใหม่...ถ้าไม่มีคนรักของข้าพเจ้า..ผู้หญิงคนนั้น จะกลับไปที่ตราดยังไง

ความจริงก็คือ

ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ไม่ใช่ความยากแค้นใดๆ เลย

เพราะผู้หญิงคนนั้น มาเอง ก็สามารถจะกลับเองได้อยู่แล้ว

เขาเลิกงานตั้งแต่ห้าโมง เพื่อจะเดินทางกลับด้วยตัวเองอยู่แล้ว

ใช่ว่าไม่มีคนรักของข้าพเจ้าและเขาจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้


แต่ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าหาได้มีความรู้สึกแย่ๆ หรือบาดหมางอันใดกับผู้หญิงคนนั้น

เป็นที่คนรักของข้าพเจ้าเองนี่แหละ

ที่เสนอตัวไปมีเมตตาต่อผู้อื่นอยู่เสมอ




ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาอยากให้ข้าพเจ้าไปด้วย

เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

หรืออยากให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับใครในที่ทำงานของเขา

แต่...

เราเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วไม่ใช่หรือ

และเขาก็ควรจะรู้ได้ว่า

ข้าพเจ้าเกลียดการต้องไปนั่งปั้นหน้ายิ้ม

ในเวลาที่ไม่อยากจะยิ้ม

เมื่อข้าพเจ้าไม่อยากไป

ก็หมายความว่า

ข้าพเจ้าไม่อยากจะไป

และข้าพเจ้าก็สามารถทำหน้าบึ้งตึง พูดด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงวีน

โดยไม่แคร์ใครทั้งนั้นได้เสมอ

ในยามที่หัวใจของข้าพเจ้ามันห่อเหี่ยว

ในยามที่ข้าพเจ้าต้องเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น

ในยามที่ข้าพเจ้าต้องฟังอะไรที่ไม่อยากจะฟัง
 ข้าพเจ้าจำได้ว่า...เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว



คนรักของข้าพเจ้า
เขาคือผู้ให้

เขาคือนักเดินทาง

เขาไม่หวั่นเกรงต่อการขับรถตอนกลางคืนอยู่แล้ว

ไม่ว่าหนทางจะเป็นเช่นไรก็ตาม



ฉากมันเหมือนในละครจริงๆ

เหมือนไปเป็นส่วนเกิน

และมีความคิดอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า


"ข้าพเจ้ามาทำอะไรที่นี่  มานั่งทำอะไรตรงนี้"

แล้วเราทั้งสองก็กลับ เขาเป็นคนขับ

ข้าพเจ้านั่งน้ำตาไหลมาตลอดทาง

ร้องไห้ไม่มีเสียง

เหมือนฉากนั้นของนางเอกไม่มีผิด

เฮ้อ...






และยิ่งกว่านั้น

มันดันมีคำว่า "พูดไปก็ไม่มีประโยชน์"

คำพูดที่น่าหมั่นไส้ที่สุด

แต่มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

เปล่าประโยชน์ที่จะอธิบายความรู้สึกน้อยใจ โกรธ ชิงชัง ฯลฯ ให้เขารับรู้

เพราะอย่างไรเสีย

เขาก็ย่อมมีเหตุผลที่ฟังขึ้น มีข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่เป็นผู้ผิดได้อยู่แล้ว

พูดไป ก็รังแต่จะทำร้ายความรู้สึกตัวเอง

ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะเงียบ

เงียบจริงๆ




คุ้นๆ อีกแล้ว

มันเป็นช่วงสะเทือนอารมณ์ซับซ้อน

ทำให้ความรู้สึกแย่ๆ เก็บสะสมไปเรื่อยๆ

รอวันถึงจุดพีค

แล้วติดตามตอนต่อไปว่า

ละครเรื่องนี้ จะคลี่คลายลงได้อย่างสวยงามหรือไม่


.
.
.

ขอบคุณที่คนรัก ยอมอดทน

แม้ข้าพเจ้าจะไม่พูด แม้ข้าพเจ้าจะทำท่าเย็นชาสักเพียงไหน

ขอบคุณที่ยอมง้อ และสู้ง้อไปเรื่อยๆ

ขอบคุณที่ไม่หันหลังให้กัน

 ขอบคุณที่เดินตามข้าพเจ้า ในยามที่ข้าพเจ้าเดินหนี

ขอบคุณที่ดึงรั้งให้ข้าพเจ้ากลับมา 

และไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าต้องเดียวดายไปมากกว่านี้

(ถ้าเป็นฉากในละคร  พระเอกคงน้อยใจบ้าง และเดินหนีไปเรียบร้อย เอิ้กๆ)


ขอบคุณที่ยอมนิ่งฟังเมื่อข้าพเจ้าพูด

แม้ว่าคำพูดนั้น จะมาจากอารมณ์อันรุนแรง
 
แม้ว่าคำพูดนั้น จะทำร้ายจิตใจ

แต่ถึงอย่างไร

เมื่อเรียกร้องที่จะฟัง เมื่อเราต้องพูดกัน

เมื่อเราจำเป็นต้องเข้าใจกัน

มันก็จำเป็นต้องพูดออกมา




คนเราย่อมมีจุด sensitive ของตัวเอง

ต่อให้แข็งแรงและมีภูมิต้านทานต่อเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมากแค่ไหน

เรื่องบางเรื่อง ก็สามารถทำให้เราอ่อนแอได้อยู่ดี




แม้ไม่มีคำอธิบายใดๆ

แค่คำว่า "ขอโทษ" 

และการสัญญาว่าจะไม่ทำอีกก็เพียงพอ

ขอบคุณที่คำว่า "รัก" ไม่ยากเกินจะเอ่ย

ขอบคุณที่ "ทิฐิ" ไม่ได้มีมากจนเกินไป




ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะเจ็บปวดเหมือนในละคร

เพราะชีวิตจริง มัน (เจ็บปวด) ยิ่งกว่าละคร

มันไม่เป็นอันกินจริงๆ ไม่เป็นอันนอนจริงๆ

มันเจ็บป่วยจริงๆ

มันทำร้ายเราจริงๆ

เราร้องไห้ได้ตลอดเวลาจริงๆ

(ถึงว่า... ทำไมดูละครเรื่องนี้แล้วรู้สึกอินๆ ฮ่าๆๆ)




เราอาจเข้าใจเหตุผล

เราอาจรู้ว่าเขาทำไปเพราะอะไร

แต่เราไม่อาจห้ามความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นจากความอ่อนไหวได้

เพราะเรื่องของหัวใจ

 มักอยู่นอกเหนือการควบคุมของสมอง




เมื่อเราอยู่ในฐานะผู้ชม

เราอาจใช้ตรรกะได้อย่างเต็มที่ในการมองความเป็นไป

แต่เมื่อเหตุการณ์แบบเดียวกัน

เกิดขึ้นจริงๆ กับตัวเอง

อย่าลืมว่า...มันมักจะมีตัวแปรอื่นๆ แฝงไว้อยู่เสมอ

อย่าลืมพิจารณาให้เท่าทันมัน





ป.ล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

อย่าอ่านความข้างเดียว

เพราะนี่ เป็นเพียงมุมมองจากความรู้สึกของฝ่ายหญิงเท่านั้น

ในละคร ยังต้องสะท้อนทั้งสองฝ่าย

ในชีวิตจริงก็จำเป็นต้องมองทั้งสองมุม




   
ป.ป.ล. บ๊าย บาย พิทยา และกระแต

ทำให้ข้าพเจ้าเวิ่นเว้อไปได้มากโขเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ








3 ความคิดเห็น:

  1. โหยยย พี่จ๊ะโอ๋ อ่านแล้วสะเทือนใจอ่ะ สะเทือนใจมว้ากกกก

    มันช่างเศร้าเช่นนี้ อยากจะถือไม้หน้าสามไปตีหัวแฟนพี่

    ปล. หนูฟังความข้างเดียว 5555555

    ตอบลบ
  2. 555 เออ พี่กลับมาอ่านอีกที ก็ยังสะเทือนใจอยู่เลย ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เอิ้กๆ

    ตอบลบ
  3. โหย น้ำหวาน แพรวาทำร้ายพี่มากกว่านี้อีก
    พี่ไม่เอามาเขียนแค่นั้นแหละ
    ชิ

    ตอบลบ