27 ก.พ. 2557

โจรกระชากกระเป๋า กับเรื่องจริงที่ไม่อิงละครไม่ได้


เมื่อวาน (26 กุมภาพันธ์ 2557) ราวๆ หกโมงเย็น

สองศรีเพื่อนรักกำลังขับรถตระเวนหาของกิน

ในย่านตัวเมืองชลบุรี

น. นามสมมติ ชะลอรถเพื่อเตรียมจอดดงร้านก๋วยเตี๋ยว

พลันเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังขึ้น

ต้นเสียงคือหญิงนางหนึ่ง ผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ซึ่งเราเพิ่งแซงมาเมื่อครู่

นางหน้าตาตื่นมาก ตะโกนพูดซ้ำๆ อยู่ไม่กี่คำ

"ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย กระชากกระเป๋าหนู"

อนงค์สองนางหน้าตื่น หันมองกันเลิกลั่ก

เพราะไอ้โจรที่ว่านั่น

คือมอเตอร์ไซค์คันที่กำลังขับตีคู่อยู่ทางด้านซ้ายของฟอร์ด เฟียสต้า

นามว่า น้องขวัญ (ชื่อรถ ชื่อจริงของนางคือ ขวัญชีวิต)

เต็มๆ จะๆ คาตา

แล้วไงล่ะทีนี้

ในรถแม่มชุลมุนไม่แพ้ด้านนอกแต่อย่างใด

เพราะสติสตังค์ของสองนางกระเจิงไปแล้วจ้า



ฉากแรก ถ้าเป็นในละคร

เฟียสต้าน้อยคงปาดหน้ามัน

มอ' ไซค์ ล้ม

อีนางที่นั่งข้างหน้า (กรูนี่เอง) อาจปลดเข็มขัดนิรภัย

วิ่งลงไปจับมัน

หรือมีพลเมืองดีมาช่วยมะรุมมะตุ้ม

จับได้

รถไม่เป็นไร

หรืออาจเป็นแต่วีรสตรีผู้กล้า ซึ่งรักความยุติธรรมยิ่งชีพคงหาได้แคร์ไม่


ทว่า นี่มันชีวิตจริงโว้ยยยย



มอ'ไซค์แม่มปาดซ้ายปาดขวาอย่างชิล

ไม่ได้บิดซิ่งด้วยนะเออ

รถเยอะมากเพราะเป็นย่านตลาด



หนึ่งคือ น. ไม่กล้าชน

เพราะมันจะคุ้มไหม ชนสกัดมัน แลกกระเป๋าหนึ่งใบ กับรถที่เพิ่งถอยมาต้องเป็นราคี

(ถึงจะมีประกันก็เถอะ ความยุ่งยากตามมา และยังต้องเสียเงินค่าเคลม

ซึ่งเป็นส่วน exception ที่ประกันอาจไม่รับผิดชอบอีกด้วย)




สอง ชนแล้วมันจะแค่ล้มเหมือนในละคร

หรือล้มแล้วจะโดนเหยียบซ้ำตายคาที่ เพราะรถในชลบุรีนี่ก็สุดยอดจะชุลมุน



สาม ชนมัน เบรก คันหลังตามมาสอยตูด น้องขวัญคงเยินทั้งหน้าและหลังถ้าให้เดา



เพราะฉะนั้น สองอนงค์จึงเห็นพ้องต้องตรงกันโดยมิได้นัดหมาย

อย่าชนมันเลย ละครเกินไป

(แต่เราก็ยังไม่หยุดสติแตก โดยเฉพาะกรูเนี่ย)

ทำไงดีๆ ทำไงดี

เหมือนจะไม่มีใครสนใจเสียด้วย

รถราก็ขับกันปกติ คนก็มองบ้าง เพราะเจ้าทรัพย์ยังบิดมอเตอร์ไซค์ตาม

และปากก็ยังตะโกน

"ช่วยหนูด้วย ช่วยหนูด้วย กระเป๋าหนู"




น. จึงขับตามไปเรื่อยๆ

จ. ก็โหวกเหวกๆ เสียวแหลมตามประสา

อยู่นั่นๆ ทางนั้น ทางโน้น




ทั้ง น. และ จ. ต่างก็พร่ำพูดว่า

ต้องทำยังไงเนี่ย

ต้องทำอะไร

โทรหาตำรวจ เออ โทรแจ้งตำรวจ

แล้วจ. ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา

โทรหาตำรวจ

เบอร์ไรวะ

191 แวบขึ้นมาในหัว

แต่ไม่มีความเชื่อมั่นเลย

191 จริงเหรอ ช่วยเราได้จริงป่าววะ

แต่ก็นะ ไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว

กดโทรศัพท์ มือสั่น เสียงตื่นเต้น

ไม่มีคนรับ

นั่นไง กูว่าแล้ว 191 แม่มไม่มีจริงสินะ

(ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ใช้บริการเบอร์นี้สักที

และมีแต่เรื่องเล่าไม่ดีเข้าหูมาตลอด

เขาไม่สนใจหรอก

เขาก็แกล้งรับเรื่องไว้ แล้วก็เงียบหายเหมือนเดิม บลาๆๆ)

เอาใหม่ ให้โอกาสตำรวจไทยอีกรอบ

กดไปอีกครั้ง

มีคนรับ

"ฮัลโหล คุณตำรวจคะ แจ้งเหตุ มีคนกระชากกระเป๋าค่ะ" เสียงตื่นเต้น รัวคำพูดสุดๆ

"ที่ไหนครับ" เสียงใจเย็น พยายามให้เราสงบสติ

"ชลบุรีค่ะ" ตอบได้แค่นั้น แล้วก็นึกได้ว่า ชิบหายละ

รู้แค่ชลบุรี แต่นี่มันตรงไหนของชลบุรีล่ะวะเนี่ย

หันไปถาม น.

"นี่มันตรงไหนอ่ะ"

น. ก็ไม่รู้ เพราะเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน

และขับตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นซิกแซกมาเรื่อยๆ

เข้าตรอกซอกซอยจนมึน

เฮ้ยข้างหน้ามีป้ายชื่อซอย

"ซอยนารถมนตรี 30/16 ค่ะ" จ. อ่านชื่อซอย นาด-มน-ตรี ให้ตำรวจฟัง

คุณตำรวจเริ่มรนตามอีนาง จ. ไปด้วย

"ซอยอะไรนะครับ"

"นารถมนตรี 30/16 ค่ะ นั่นๆ มันอยู่นั่น" ระหว่างอ่านชื่อซอยอีกครั้งก็เห็นโจร

และเห็นเจ้าทุกข์

จอดรถมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าซอยถัดจาก 'นารถมนตรี 30/16' ไปหนึ่งซอย

น. จึงเอารถไปจอดปิดหน้าซอยนั้น

เจ้าทุกข์ขับย้อนไปที่ซอย 30/16 มีกำลังเสริมมาหลายคัน

ทั้งชายหญิง

ชี้โหวกเหวกแจ้งกันว่ามันอยู่ข้างในซอยนั้น

มีการกระจายกำลังค้นหาเข้าไปในซอย

ระหว่างนั้น จ. ก็บรรยายให้คุณตำรวจฟัง

"ตอนนี้มันจอดอยู่ในซอยค่ะ รถมอเตอร์ไซค์ ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงิน

กระเป๋าที่กระชากสีชมพูใบใหญ่ ใส่หมวกกันน็อก รถไม่มีทะเบียน บลาๆ"

คุณตำรวจรับข้อมูลเบื้องต้นแล้วบอก

"โอเคครับ"

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป

จ. หันมามองหน้า น.

ทำตาปริบๆ

"ตำรวจเขาบอกโอเคครับนี่ คือเขาจะมาป่าวอ่ะ"

ไม่มีความมั่นใจในตำรวจไทยโผล่เข้ามาในหัวใจให้ชุ่มชื่นเลยแม้แต่น้อย

โจรเลี้ยวรถกลับไปที่ซอย 30/16 ซึ่งต้นซอยนั้นมีมอเตอร์ไซค์มาจอดหลายคัน

ชาวบ้านมาช่วยกันเยอะแล้ว

สองอนงค์จึงตัดสินใจว่าจะรอตรงนี้ ปิดทางออกของซอยนี้

มันจะได้วกกลับมาหนีทางนี้ไม่ได้

สองซอย คือซอย 30/16 กับซอยนี้เชื่อมกัน



เวลาผ่านไปสักครู่

มอเตอร์ไซค์ขับวนไปมาเข้าออก

เหมือนจะล้มเหลว

เราจึงตัดสินใจขับเข้าซอยไปหามัน

ซึ่งตอนนั้นก็ยังงงๆ ว่า

ถ้าเจอแล้วจะต้องทำยังไงกับมันวะ

จะให้อนงค์นางสองคน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นไปบู๊ก็ไม่ไหวนะ

เหอๆ

แต่จนแล้วจนรอด ไร้วี่แวว

เราชะลอรถตรงที่เห็นมันจอดมอเตอร์ไซค์

ตรงนั้นมีวงฟุตบอล

มีผู้ชายหลายคนกำลังผ่อนคลายกันอย่างสนุกสนาน

เฮ๊ย เขาไม่เห็นโจรเหรอวะ

นึกได้อีกที

เอ๊า ใครเขาจะไปรู้ว่าไอ้นั่นมันเป็นโจร

คงไม่มีใครสนใจมากกว่า

แล้วเราก็ขับรถวนมาที่ปากซอย 30/16

ไม่มีวี่แววกระเป๋า

และมอเตอร์ไซค์จอดคุยกันหลายคัน

ปรึกษาหารือว่าจะทำยังไงต่อไป

พี่ผู้ชายคนหนึ่งถือวอสื่อสารอยู่ในมือ

และสักพักรถตำรวจก็มา

ยังคงค้นหากันต่อไป

แม้จะเริ่มหมดหวังแล้วก็ตามที

เรา (วงสนทนาต้นซอย) เดากันว่า

มันคงชำนาญมาก

มันขับซิกแซกไปมา โดยไม่ได้บิดเร่งความเร็วเท่าไหร่

ก่อเหตุด้วยรถฟีโน่บั้นท้ายอ้วนๆ

และหายไปในซอยที่พลุกพล่านด้วยผู้คน




มอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง คนขับเป็นผู้ชาย มีแฟนซ้อนท้ายมา

เอ่ยว่า

"แหม่ เสียดายจริงๆ ถ้าบิดตามมันทันนะ จะถีบให้ล้ม"

แล้วต่อด้วย

"พอแฟนผมตะโกนบอกว่ากระชากกระเป๋า ผมก็จะบิดตาม

แต่มันบิดไม่ขึ้นนี่ซี้ บิดแล้วก็อื๊ดอื๊ด ไม่ไปเล้ยยย"

แป่ว -_-"




รถกระบะตำรวจมาจอด สอบถามเพิ่มเติมว่าลักษณะมันเป็นยังไง

โดนกระชากตรงไหน

ตามมาถึงตรงไหน

หายไปตรงไหน

แล้วก็วิเคราะห์กันไปว่ามันน่าไปไหนได้บ้าง




สักพัก เสียงวอในมือพี่ผู้ชายก็ดังขึ้นแว่วๆ

"หมายเลขผู้แจ้งเหตุ 0873636xxx"

แอบตกใจ เฮ้ย เบอร์กรูนี่หว่า

แสดงว่าที่มาช่วยๆ กันนี่

คือคนที่รับแจ้งเหตุจากที่เราโทรไปนั่นหรือ

โอ้วว

ชั่วอึดใจ

โทรศัพท์ จ. ก็ดังขึ้น

เบอร์มือถือ

"สวัสดีครับ ผมเจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ คุณที่ถูกกระชากกระเป๋าใช่ไหมครับ"

"อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ นี่เป็นผู้โทรแจ้งเหตุค่ะ โจรมันหนีไปแล้วค่ะ"

อันหลังนี้รายงานสถานการณ์ความคืบหน้าล่าสุดแถมให้ด้วย

"เอ่อ งั้น เจ้าทุกข์เขาอยู่แถวนั้นรึเปล่าครับ ขอคุยกับเขาหน่อย"

จ. จึงยื่นโทรศัพท์มือถือให้เจ้าทุกข์

ราวสิบคนที่มาช่วยกันตามหาโจรกระชากกระเป๋ายังยืนคุยกันอยู่สักพัก

สุดท้ายเมื่อไม่มีหวังแล้ว

ก็แยกย้ายกันไป

เจ้าทุกข์ไป สน. เพื่อลงบันทึกประจำวัน

แต่ตอนจะแยกกันนั้น

เจ้าทุกข์ยิ้มได้บ้างแล้ว

บอกว่า ในกระเป๋าไม่ค่อยมีเงินหรอก

เสียดายบัตร

เงินมีไม่ถึงพัน

ผู้หญิงอีกคนก็ปลอบใจว่า

"ดีแล้วล่ะ ฟาดเคราะห์ไป ดีนะมันไม่ถีบล้มเอา"




สองอนงค์แยกจากมา ยังคุยกันต่อ

ประสบการณ์ครั้งแรก

แล้วก็ถกกันว่า

มันจะมีคนเอารถไปชน ไปขวางโจรอย่างงั้นจริงเปล่าวะ

(อย่างงั้นคืออย่างในละคร)

กระเป๋าใบไม่เท่าไหร่ แลกกับรถที่ต้องซ่อมตั้งกี่พัน

อุบัติเหตุจะยิ่งเกิดบานปลายไปอีกต่างหาก

แต่ก็นะ

จับโจรไม่ได้ คงต้องมีกระเป๋าอีกหลายใบสังเวยให้มันอยู่ดี




ชั่วขณะนั้น

เราทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว และไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง

ไล่ตามมันไปในขณะที่มองดูรอบข้างไม่ยักเห็นใครใส่ใจ

มันว้าเหว่นะ

ใจมันเริ่มแป้ว

เฮ๊ยยยย มีแค่เรา กับเจ้าทุกข์ตามมันมาเหรอวะ

แล้วจะไปทำอะไรมันได้

เกิดมันมีอาวุธขึ้นมาจะทำยังไง




เจ้าทุกข์ยังบอกเลยว่าไม่กล้าบิดตามเข้าไปในซอย

เพราะก็กลัวเหมือนกัน

แต่ต้องยอมรับว่า

เจ้าทุกข์คนนี้ อึดและแกร่งมาก

เสียงดีไม่มีตก

ตะโกนมาตลอดทาง

บิดตามซอกแซกเข้าซอยไม่ลดละ

สติดีมาก

เรายังเกือบคลาดกับมัน ถ้าไม่เหลือบไปเห็นเจ้าทุกข์คนนี้จอดรถอยู่หน้าซอยเสียก่อน




เราคุยกันเล่นๆ ว่า

ดีนะที่ น. เป็นคนขับ

เพราะให้ จ. มาขับซอกแซกไปมา สวี้ดสว้ายตามผู้ร้ายอย่างนี้

จ. ไม่รอดจริงๆ

สกิลการขับรถของ จ. เน้นเส้นตรง

ขับเร็วเลนขวาตลอด ไม่เน้นเปลี่ยนเลนเท่าไหร่

น. เสริมว่า

เออ ถ้าวิ่งเป็นเส้นตรงเค้าสู้ จ. ไม่ได้

เน้นซอกแซกตามซอยแคบๆ ฮ่าๆๆ





น. บอกอีกว่า

แล้วถ้าเป็นเค้าโทรแจ้งเหตุก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

คงพูดผิดพูดถูก

อ่านหนังสือ  (ชื่อซอย) ไม่เร็วด้วย

เออ ว่าแล้วก็ต้องว่ากันเรื่องชื่อซอย

คือ มันบ้าอะไรต้องไปเข้าซอยอ่านชื่อยากอย่างงั้นด้วยวะ ไอ้โจรนิ

ชื่ออย่างยาว

จ. อ่านว่า นารถมนตรี (ในหัวตอนนั้นเป็นคำนี้จริงๆ)

น. บอกว่า ถ้าเป็น น. คงได้อ่านว่า นา-รด

(จ. แอบหรี่ตา หนักเลยนะนั่น กร๊ากๆ)




เออ เราสองคนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วล่ะสำหรับวันนี้

ฮ่าๆๆ




อนึ่ง สารภาพว่า

จ. เหลือบไปเห็นชื่อซอยจริงๆ ตอนยืนคุยสรุปเหตุการณ์




แว้กกก "เส" หายค่า และเปลี่ยน 'วี' เป็น 'รี' เฉย

แหะๆ

เป็นการอ่านรวบคำด้วยความฉับไวสินะ กร๊ากๆ

สมพอ คุณตำรวจงง





แต่ก็ต้องทึ่งจริงๆ นะ

ที่คุณตำรวจยังเดาได้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน

และตามมาในเวลาที่ไม่นาน

คือ ไม่ได้มาตอนจบแบบชาวบ้านเขาม้วนเสื่อเสร็จเตรียมจะกลับกันแล้ว

มาเร็วกว่านั้นหน่อยนึง

และยังโทรมาตามผลว่าเป็นยังไงบ้าง ถึงไหนแล้ว ประมาณนั้น

ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยว่า

เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ตำรวจไทยในสายตาของเรา

ดูดีขึ้นมาเป็นกอง

ตำรวจดีๆ ยังมีอยู่จริง




อนึ่ง ขณะที่เราวกกลับไปที่ตลาดต้นเรื่อง

โซ้ยก๋วยเตี๋ยวด้วยความหิว

เบอร์แปลกก็โทรเข้าเครื่อง จ. อีกครั้ง

"สวัสดีครับ คุณเจ้าทุกข์ที่โดนกระชากกระเป๋าใช่ไหมครับ"

แอบตกใจ คือ มันผ่านเวลามาเป็นชั่วโมงแล้วไง

"อะ เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ เป็นผู้แจ้งเหตุค่ะ"

"เอ้าเหรอครับ นี่ผมขับรถออกมาตรงที่เกิดเหตุ"

"คือแยกย้ายกันไปหมดแล้วอ่ะค่ะ จับไม่ได้ เจ้าทุกข์ไปแจ้งความไว้แล้วมั้งคะ"

"อ้าวเหรือครับ"

"ค่ะ แต่เมื่อกี๊มีคุณตำรวจโทรมาแล้วนะคะ มีตำรวจคุยกับเจ้าทุกข์ไปแล้วค่ะ"

"อ่อ ครับๆ"


จ. วางสายแบบงงๆ

นี่คืออะไร

ควันหลงสินะ เอิ้กๆ




จ. แอบตลกตัวเองตอนโทรแจ้งเหตุ

แม้จะบอกข้อมูลได้อย่างครบถ้วนเท่าที่จะบอกได้

เท่าที่สติยังพอมีอยู่บ้าง

แม้จะกระเจิดกระเจิงไปมากแล้ว

และแอบโบ้ยความตลกของตัวเองไปให้ละครไทย

พูดกับ น. ว่า

"ก็ไม่รู้นี่หว่าว่าต้องทำยังไงบ้าง ทำตามสัญชาตญาณ

ในละครแม่ม พอมีคนโทรแจ้งเหตุ ก็จะแค่คนๆ นั้นกดโทรศัพท์

อย่างมากก็พูดว่า "คุณตำรวจหรอคะ" พอให้เป็นสัญลักษณ์ว่ามีคนโทรแจ้งตำรวจแล้วนะเว้ย

แล้วก็ตัดไปฉากบู๊ไล่ล่าโจร

คือ คราวหลังเนี่ย ช่วยสร้างละครที่มีฉากตอนแจ้งเหตุหน่อยได้ไหมคะ

จะได้พอมีภาพบ้างว่าต้องทำยังไง ต้องพูดอะไรบ้าง"

แหม่...แถไปได้ ฮ่าๆๆ



เออ อีกอย่างนะ

ในละครแม่ม

มีพระเอกหรือนางเอกคนเดียวก็จับโจรได้ละ

(บางทีโจรมาเป็นฝูงก็ชนะ โจรเดี้ยงตลอด)

นี่ยกกันมาเป็นสิบ

ยังจับโจรคนเดียวไม่ได้เล้ยยย

พระเอกนางเอกในละครไทยมันเก่งกันจังวะ

ฮาาาาาา




น. ตั้งประเด็นทิ้งท้าย

เออ แล้วเราจะไปเผชิญหน้ากับโจรได้ยังไง

ถ้าเราเคยเรียนมวย เรียนเทควันโดมา

จะทำให้เรากล้าไปสู้กับมันมากกว่านี้ไหมนะ

ตอนที่เห็นมันอยู่ในซอย

ความคิดแรกเลยคือกลัว

ไม่กล้าขับเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน

(อ่าว เราก็นึกว่าเป็นแผน จะอยู่สกัดมันตรงต้นซอยซะอีก

น. บอกว่านั่นเป็นความคิดทีหลัง

แรกสุดเลยคือกลัว ฮ่าๆๆ)




เออ อันนี้ก็ไม่รู้แฮะ

จ. เกิดมาเป็นกุลสตรีไทย

ไม่เคยบู๊กับใครซะด้วย

กร๊ากๆ




เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่าวางกระเป๋าไว้หน้ารถ

โจรจ้องอยู่

และ

พึงมีสติอยู่กับตัวทุกเมื่อ

แม้เมื่อยามสถานการณ์บีบบังคับ

ก็ต้องเหลือสติให้มากที่สุด

สาธุ

เอิ้กๆ





25 ก.พ. 2557

One by One...Three Hundreds No.55 โลกของเด็กแอลดี...วีระ สุดสังข์





หนังสือเล่มนี้

ข้าพเจ้าซื้อมานานพอสมควรแล้ว

แต่เพิ่งจะได้อ่านจริงจังเมื่อวานนี้เอง

อ่านแล้วสะเทือนใจ



คล้ายจะเป็นหนังสือแนวๆ ตำราวิชาการ

ที่เอามาย่อย ให้อ่านง่าย

แต่มันไม่ใช่แค่นั้น




ผู้เขียนอาศัยการถ่ายทอดความคิดโดยเป็นคล้ายนวนิยายสั้นๆ

เรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

ซึ่งป่วย เป็นโรคแอลดี

คือ Learning Disabilities 

คือ ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้นั่นเอง





หนูน้อย "ฮิพฮอพ" ผู้น่าสงสาร

ถูกเลี้ยงดูมาท่ามกลางความคาดหวังของผู้เป็นพ่อแม่

พ่อแม่สมัยใหม่

ในยุคทุนนิยม

ยุคที่เด็กซึ่งมีลักษณะอันพึงประสงค์

คือเด็กที่เรียนเก่ง ตั้งใจเรียน สอบได้คะแนนสูงๆ

แต่เมื่อหนูน้อยไม่อาจทำตามความประสงค์ของพ่อแม่ได้

เมื่อไม่อาจเป็นเด็กเรียนเก่งเรียนดี

ไม่ชอบการอ่านการเขียนหนังสือ

ไม่อยากทำอะไรที่พ่อแม่ยัดเยียดให้ทำ

ก็เกิดภาวะตึงเครียด

ครอบครัวไม่อบอุ่น

เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง

เกิดปมปัญหา

ซึ่งตัวละครทุกตัวในท้องเรื่อง

ไม่มีใครรู้เลยว่าปัญหาเกิดจากอะไร

และไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหานั้นได้




ผู้เขียนใส่ความคิด ใส่ความเห็นส่วนตัว

และชี้แนะแนวทาง

สลับกับเล่าเรื่อง

ทำให้ผู้อ่านรู้สึกคล้ายกำลังดูละคร


คือ รู้เรื่องราวทั้งหมด

แต่คนที่แสดง คนที่เป็นพระเอกนางเอก เป็นตัวเอกของเรื่องนั้นไม่รู้

มันก็มีอารมณ์ร่วม

มีความขุ่นข้องหมองใจ คับแค้นใจ

และสะเทือนใจ



ข้าพเจ้าชอบเรื่องราวที่ผู้เขียนสร้างสรรค์ขึ้น

แม้สำนวนภาษาจะไม่สละสลวย

ไม่วิจิตรพิสดาร

ก็หาใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้


เพราะหนังสือเล่มนี้

เหมาะสำหรับการอ่านเอาเนื้อหา

เอาแนวความคิด

เอาวิธีการ

ไม่ได้อ่านเอาความบันเทิง


แต่ถ้าจะถามหาความบันเทิง

ก็ใช่จะไม่มี



อยากให้ผู้ปกครอง พ่อแม่หลายๆ คนได้อ่าน

เผื่อว่าใครบางคน

อาจจะกำลังเผชิญสถานการณ์อย่างที่ครอบครัวหนูน้อยฮิพฮอพกำลังเผชิญ

โดยไม่รู้ตัว


ในเรื่องนี้ จบลงด้วย "โชคดีที่ไม่สายเกินไป"

คือ ยังแก้ไขได้ทัน

แต่ในชีวิตจริง

โอกาสอย่างนี้

ไม่ได้มีกันทุกครอบครัว



ด้วยรัก

แพรวา


One by One...Three Hundreds No.54 ลืมไปเลยว่าเคย "สมาธิสั้น"





เล่มนี้

ไม่มีอะไรพิเศษ

อ่านเพียงเพื่อหาความรู้

ก็เท่านั้น




เพิ่งรู้ว่าอาการสมาธิสั้นนี้

มียารักษาด้วย

หมายถึง ยากิน สารทางการแพทย์ อะไรเทือกนั้นน่ะ

เข้าใจมาตลอดว่าสมาธิสั้น

ก็สร้างสมาธิ 

ด้วยการนั่งสมาธิซะสิ หึๆ

นั่งไปบ่อยๆ นั่งไปเรื่อยๆ 

สมาธิก็จะยาวขึ้นเอง เหอๆ



แต่ก็ได้ข้อมูลอะไรๆ เกี่ยวกับอาการนี้เยอะขึ้นมากพอสมควร

ได้ประโยชน์

สมตามเป้าประสงค์ของการอ่านอยู่บ้าง

ขอบพระคุณ



ด้วยรัก

แพรวา

23 ก.พ. 2557

One by One...Three Hundreds No.53 "สายรุ้งกลางซากผุกร่อน"...มาโนช พรหมสิงห์





"สายรุ้งกลางซากผุกร่อน"

หนึ่งในหนังสือที่เป็นผลผลิตจากโครงการผลิตวรรณกรรมจากการสัมผัสเรียนรู้ชุมชนท้องถิ่น

ที่นักเขียนไทยหลายท่าน ต้องลงพื้นที่

เก็บข้อมูล และสร้างสรรค์งานเขียน

โดยรอบนี้ประกอบด้วยนักเขียน ๖ ท่าน

คือ แดนอรัญ แสงทอง

มาโนช พรหมสิงห์

ปริทรรศ หุตางกูร

เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

จเด็จ กำจรเดช และ

วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์



ข้าพเจ้าชอบหนังสือเล่มนี้

และเอ่ยปากขอยืมมาจากเพื่อนรัก

ซึ่งเพื่อนรักก็ใจดีมาก...ให้ไปเลย

เพราะอ่านไม่รู้เรื่อง (ฮ่าๆๆ)



ปกติ ข้าพเจ้าไม่ใคร่ปลื้มหนังสือที่เขียนด้วยสำนวนเก่าแก่

คือพร่ำเพ้อพรรณนาดินฟ้าอากาศที่มากเกินจำเป็น

ประมาณว่า หนึ่งหน้าก็แล้ว สองหน้าก็แล้ว ยังไม่เข้าเนื้อหา

แต่ถามว่าอ่านได้ไหม

ได้

แค่ไม่ชอบก็เท่านั้น



เล่มนี้

บอกตามตรงว่าเป็นเล่มแรกที่มีลักษณะเช่นนั้น

แต่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกรำคาญ

ทว่ากลับนิยมชมชื่น

และทึ่งไปกับจินตนาการ

ที่ผู้เขียนเปรียบเปรยสภาพดินฟ้าอากาศ

และบรรยายฉากไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

อาทิ


"...พลันฟ้าเกลื่อนดวงดาวอันบอบบาง ก็มิอาจโอบอุ้มกลุ่มเมฆฝันดำทะมึนหนักอึ้งได้อีกต่อไป

ชั่วไม่นานไม่ถึงอึดใจ แผ่นฟ้าก็ฉีกขาดเป็นเส้นสายประกายแปลบปลาบ

มันครวญครางอย่างปวดร้าวดังกึกก้อง

แล้วหยาดฝนก็พร่างพรมลงสู่แผ่นดิน..."


อืม...นี่มันยิ่งกว่าฟ้าร้องไห้อีกนะ




และอีกหน้าที่ข้าพเจ้าพับไว้


"คนขายยา คนทอผ้า อย่าไปเกี่ยวกับสงคราม กับซากศพพรุนกระสุนเลย

ลูกหลานนักศึกษาเองก็ควรจะเรียนเขียนอ่านให้แตกฉาน

จับดินสอปากกา ไม่ใช่จับปืน

.....

ให้สงครามเป็นภาระหน้าที่ของคนไม่มีหัวนอนปลายตีนเถิด..."



ทีแรกว่าจะแชร์ไปหน้าเฟสบุ๊ค

แต่เกรงว่าจะกระทบหลังใครหลายคน

สงสารเขา

หึๆ



ป.ล. ตัวละครที่เอ่ยถ้อยคำนั้น คือหนึ่งในสหายคอมมิวนิสต์

ซึ่งพร้อมยอมตายเพื่ออุดมการณ์

แต่จะไปตายเพียงคนเดียว

ไป...เพียงลำพังเท่านั้น



ด้วยรัก

แพรวา



One by One...Three Hundreds No.52 คดีความ...Kafka





"คดีความ" 

หลุดโลก แต่ก็อธิบายความเป็นไปของ "โลก" ได้อย่างชัดเจน

โดยเฉพาะโลกที่เราไขว่คว้าหาความถูกต้อง

และพยายามหลอกตัวเองว่าความยุติธรรมมีอยู่จริง



อ่านเล่มนี้แล้ว แอบรู้สึกดีนะ

อย่างน้อยก็สื่อให้เห็นว่า

เอ้า...ไม่ได้มีแค่ประเทศเรานี่หว่าที่ระบบยุติธรรมง่อยเปลี้ยเสียขา

ไม่ใช่แค่ประเทศเราที่มีการเอาตัวรอดของผู้คนชนชั้นตุลาการ

ด้วยการโยนความผิดบาปและทุข์ทรมานมาให้คนอื่น

ถ้าไม่ทำ...เราก็ไม่รอด

มันจึงดูเหมือนว่า มีเหตุผล และมีความชอบธรรม

ที่จะทำอย่างนั้น

มันจำเป็นนี่ ทำไงได้



รักษาความปลอดภัยชั้นผู้น้อยที่มีหน้าที่อย่างไรก็ทำแค่นั้น

ไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องใช้สมอง

ถ้าบังอาจคิด บังอาจตัดสินใจ 

บังอาจทำเกินขอบเขตหน้าที่

จะกลายเป็นความเดือดร้อน

และตนต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา

ซึ่งแน่นอนว่า...รับไม่ได้ รับไม่ไหว



ข้าพเจ้าชอบความแสบสันที่คาฟคาสื่อออกมาตั้งแต่ต้นเรื่องจนกระทั่งหน้าสุดท้าย

การที่ตัวเอกถูกกล่าวหาว่ามีความผิดร้ายแรง

ร้ายแรงมาก

น่าจะผิดอาญา

ต้องรับโทษทัณฑ์ที่ดูเหมือนจะหนัก

และเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

แต่กลับไม่มีความแน่ชัดเลย

ไม่มีการบอกว่า

ตกลงแล้ว ตัวเอก คือ "คา"

ทำอะไรผิด

ผิดด้วยข้อหาอะไร

ยังไง เมื่อไหร่

ไม่มีพูดไว้เลย

บอกแค่ว่า...มันผิดมาก มันใหญ่มาก

นี่แหละ จุดสะอึกของเรื่องนี้



เพราะกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม

ก็จะเป็นเช่นนี้แหละ

เป็นอะไรที่ไม่ชัดเจน

เป็นอะไรที่บอกผล ฟันธงคำตอบ

แต่ไม่มีคำอธิบาย

ไม่มีความโปร่งใส

และตรวจสอบไม่ได้



เรื่องนี้

คาฟคา ก็ยังเป็นคาฟคา

แน่นอน เรื่องที่คาฟคาเขียน

กับตัวตนของเขา

ไม่อาจแยกจากกันได้

ในระดับที่ว่า

คาฟคาก็คืองานเขียน และงานเขียนก็คือคาฟคา

ทะนงตัว ถือดี หยิ่งผยอง

หากแต่ซ่อนความหวั่นไหวมากมายไว้ในเบื้องลึก



ภายนอกแสดงออกราวกับไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด

แต่ภายในกลับไขว่คว้าหาที่พึ่งอยู่ตลอดเวลา



อ่านงานเขียนของคาฟคาแล้ว

ก็ต้องไปหาอ่านประวัติของเขา

อยากรู้ตัวตนของเขา

แต่ก็นั่นแหละ

ถ้าหาสืบประวัติความเป็นตัวตนของเขาไม่ได้

ก็งานของเขานี่แหละ

คือๆ กัน 



แพรวา

One by One...Three Hundreds No.51 เมตามอร์โฟซิส...Kafka




เรื่องนี้

สารภาพตามตรงว่า ไม่มีอะไรจะเขียนถึง

คือ ไม่มีหน้าไหนที่พับ หรือทำเครื่องหมาย

แสดงความพิเศษของเนื้อหาไว้เลย

ก็นะ เล่มบางๆ

และ...เข้าไปอยู่ในใจเกือบทั้งหมดทั้งมวล

คาฟคาเข้ามาอยู่ในหัว...เต็มๆ

"เมตามอร์โฟซิส" ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ข้าพเจ้าเลยนอกจาก "ฟรันซ์ คาฟคา"



ชายผู้น่าสงสาร แต่ก็น่าหมั่นไส้

ชายผู้ดูเหมือนเก่งฉกาจเข้มแข็ง แต่ก็อ่อนแอเหลือเกิน

ชายผู้ดูเพียบพร้อม แต่อีกด้านก็คล้ายว่าไม่เคยมีอะไรเลย



ข้าพเจ้าเปิดดูหน้าแฟนเพจของคาฟคาในเฟสบุ๊ค

มีหลายรูป หลายความพยายามที่จะวาดเจ้าแมลงยักษ์เกรกอร์ออกมา

กระนั้น

ข้าพเจ้าเชื่อว่า

ไม่มีแมลงยักษ์ในความคิดของใครเหมือนของใคร

คนอ่านร้อยคน

ก็คงมีแมลงเกรกอร์ไปร้อยแบบ

ตามแต่ก้นบึ้งของหัวใจแต่ละคนจะประกอบรูปร่างมันขึ้นมา



ด้วยรัก

แพรวา




One by One...Three Hundreds No.50 เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ...The God of Small Things





ชั่วขณะแรกของการสัมผัส "เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ"

ของนักเขียนอินเดีย "อรุณธตี รอย"

ข้าพเจ้าเบื่อหน่าย เพราะการพรรณนาท้องฟ้าผืนหญ้าแผ่นน้ำ

เป็นสำนวนเหมือนนักเขียนไทยรุ่นเก่าๆ

ซึ่งถ้าใครไม่โรแมนติกจริง ไม่เทพจริง

ก็รังแต่จะทำให้งานเขียนชิ้นนั้นน่าเบื่อ

และไม่อาจรั้งความสนใจของคนอ่านได้

ซ้ำท่วงทำนองภาษายังแปลกๆ 

แปลกทั้งชื่อตัวละคร ชื่อสถานที่ ชื่ออาหาร

ก็นั่นเอง ในร้านหนังสือไทย มีวรรณกรรมจากอินเดียเดินทางมาถึงสักกี่เล่มเชียว



อินเดียในจินตนาการของข้าพเจ้า

มีภาพผู้คนโหนรถไฟแบบที่น่าอัศจรรย์ยิ่งว่ารถไฟมันวิ่งไปถึงจุดหมายโดยไม่พลิกคว่ำซ้ายขวาได้ยังไง

มีภาพผู้คนรูปร่างท้วมทั้งชายหญิงที่มาเดินมาบุญครอง

มีเสียงเพลงอีนี่จ๊ะ อีนายจ๋า

และมีถ้อยคำที่ว่า เจองูกับเจอแขก...




ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมของชาวอินเดีย

แต่รู้ข้อมูลผิวเผินอยู่บ้าง

ผู้คนมีทั้งร่ำรวยล้นฟ้าและยากจนในระดับที่คาดเห็นสภาพจริงได้ยากยิ่ง

หนังสือเล่มนี้ตอกย้ำภาพเหล่านั้นให้แน่นขึ้น

การแบ่งชนชั้นวรรณะ

การมีกลุ่มคนเดินขบวนประท้วง

ประสงค์จะปฏิรูปอะไรสักอย่าง

คนรวยถูกเกลียดชัง

คนจนถูกกดขี่

กลิ่นอายความสกปรก ความคับแค้นของบรรยากาศ

อรุณธตีรอยฉายภาพมันออกมาโดยอาศัยการเรียงร้อยของถ้อยคำได้อย่างละเอียดยิบ




แต่ช่วงระยะหลังของการอ่าน

ข้าพเจ้ากลับไม่รู้สึกถือสาการพรรณนาเวิ่นเว้อนั้น

(หลังๆ มาก็ไม่ใช่จะมีเยอะแล้วไง หึๆ)

บางจุดนั้น ข้าพเจ้าอ่านอย่างละเลียด 

ค่อยๆ ปล่อยจินตนาการให้ก่อตัวขึ้นช้าๆ

ภาพมันน่าสยดสยองบ้าง น่าคลื่นเหียนอาเจียนบ้าง

ก็ต้องยอมรับสภาพกันไป

หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เพิ่มความเร็วในการอ่านขึ้นไปหน่อย

สงสารภาพในหัว สงสารตัวเอง หึๆ



ข้าพเจ้าประทับใจ "เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ"

ในเรื่องการสร้างตัวละคร

อรุณธตี รอย เป็นเลิศในข้อนี้จริงๆ

ตัวละครแต่ละตัวมีอารมณ์ มีความรู้สึก มีความรัก ความโกรธ ความเกลียด

มีสิ่งที่สามารถอธิบายการกระทำได้อย่างชัดเจน

รายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด

ผู้เขียนไม่เคยมองข้าม

และนั่นทำให้ชีวิตชีวาของตัวละครแต่ละตัวโลดแล่นในหน้าหนังสืออย่างไม่มีที่ติ

อรุณธตี รอย ทำให้ข้าพเจ้าอึดอัด

เพราะจะโกรธเกลียดตัวละครสักตัว ก็ไม่อาจทำได้เลย

ทั้งน่าชิงชัง ทั้งน่าสงสาร

ดั่งว่าพวกเขาถูกกำหนดมาให้ต้องรับชะตากรรมอันทารุณเหล่านั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

และพวกเขาไม่มีความผิด

เปล่า...ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ผิด

แต่เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา จนแทบจะพูดได้ว่า

มันไม่ผิดถ้าพวกเขา หรือใครๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

จะทำเช่นนั้น

และสิ่งที่น่าอึดอัดยิ่งกว่าความผิดซึ่งๆ หน้าที่ประจักษ์แจ้งในเรื่องราวก็คือ

การไม่อาจโทษได้ว่า ต้นเหตุของความเลวร้ายทั้งหมด

เกิดมาจากใคร เกิดมาจากที่ไหน และเกิดมาเมื่อใด

ราวกับรากเหง้าแห่งความชั่วร้าย เกิดจากบางสิ่ง

บางสิ่งเล็กๆ

เล็กจนไม่อาจรู้ได้ว่าคืออะไร

แต่มีอิทธิพลมากมาย

และมีพละกำลังมหาศาล ผลักดันทุกชีวิตให้วิ่งวนไปในห้วงแห่งความทุกข์สาหัส



ข้าพเจ้าชอบฉากหนึ่ง

ฉากที่สะดุดใจและสะเทือนอารมณ์ยิ่ง

เมื่อจักโก พี่ชายของอัมมู ไม่พอใจในคำพูดของน้องสาวปากร้าย (ซึ่งใจก็ร้ายด้วย)

จึงสวนกลับทันควัน

"อัมมู...เป็นไปได้มั้ย ที่เธอซึ่งตัวเองไม่มีอะไรเหลือแล้ว จะหุบปากช่างแดกดัน อย่าให้มันเที่ยวเปรอะไปถึงคนอื่น"

อัมมู คือหญิงสาวที่ผ่านอดีตความขมขื่นมามากมาย

ชีวิตแต่งงานล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

มีลูกแฝดสองคนให้หิ้วกลับมาตายรังที่บ้าน

ให้ผู้คนดูถูกหยามเหยียดเพราะความเป็นม่าย

มาอย่างคนสิ้นไร้หนทาง ทั้งที่ตอนไปนั้นแสนหยิ่งทะนง

จักโกเอาหลุมดำภายในจิตใจของน้องสาว

มาทำร้าย มาเชือดเฉือนหล่อนอย่างนิ่มๆ


อรุณธตี รอย จึงเขียนไว้ในบรรทัดต่อมาว่า

"นี่คือความยุ่งยากในครอบครัว เช่นเดียวกับหมอที่ช่างวินิจฉัย

พวกเขาต่างรู้ว่าตรงไหนคือจุดเจ็บปวดที่สุดของกันและกัน"




ทั้งนี้ หาใช่แต่เพียงความโหดร้ายหรืออารมณ์หมองหม่นเท่านั้นที่อรุณธตี รอยถ่ายทอดออกมา

ความสดใสไร้เดียงสายังพอให้เห็น

ให้คนอ่านชุ่มชื่นหัวใจอยู่บ้าง

คือ พี่น้องฝาแฝด

ที่แสดงได้อย่างสมบทบาท

เรียกทั้งรอยยิ้ม ความสงสาร ความเอ็นดู และความโกรธเคือง

สมกับเป็นเด็ก

ที่มีชีวิต มีหัวใจ มีความรู้สึก มีความเพ้อฝัน

และเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ

จินตนาการที่ช่วงแรกของชีวิตไม่มีอะไรเจือปน

และทำให้คนอ่านอิ่มเอมไปกับเรื่องราวบ้าๆ บอๆ ที่สองพี่น้องร่วมกันสร้าง

แต่แน่นอน

ไม่มีเด็กคนไหนมีจินตนาการเติบโตขึ้นมาด้วยตลอดชีวิต

เพราะกรอบ กฎเกณฑ์ คำสั่ง และชีวิตจริง

ซึ่งผู้ใหญ่ และสังคมยัดเยียดให้

จะเบียดตัว และทำให้พื้นที่ของจินตนาการสดใส ค่อยๆ ยุบ

ค่อยๆ แฟบ ไปตามกาลเวลา

ช้าบ้าง เร็วบ้าง แล้วแต่คน



ข้าพเจ้าชอบยามเมื่ออัมมู เล่าเรื่อง จูเลียส ซีซาร์ ให้สองพี่น้องฟัง

แล้วเอสธา ฝาแฝดผู้พี่ - เพศชาย

เอาเรื่องเหล่านั้นมาเป็นการละเล่นที่สนุกสนาน

"ตอนค่ำๆ เอสธาจะใช้ผ้าห่มพันตัว ยืนบนเตียง พูดว่า 'เจ้าเองรึ บรูท' - แล้วซีซาร์ก็ขาดใจ เขาทำเป็นล้มทั้งยืน (ไม่งอเข่า) ลงบนเตียงเหมือนศพที่ถูกแทง..."

สองพี่น้องไม่ได้สนใจหรอกว่า

จุดประสงค์ที่อัมมูผู้เป็นแม่เล่าเรื่องจูเลียส ซีซาร์ ให้พวกเขาฟัง

ก็เพื่อจะบอกเขาว่า

"ลูกไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าแม่ พ่อ พี่น้อง สามี ภรรยา หรือเพื่อนสนิท - เราไว้ในใครไม่ได้เลย"

ข้าพเจ้าคิดว่าอัมมูพูดไม่ครบ

หล่อนควรจะบอกลูกๆ ด้วยว่า

"เราไว้ใจใครไม่ได้เลย แม้กระทั่งตัวเราเอง"



เรื่องราวจบลงด้วยความตายของหลายชีวิต

และแน่นอน ทุกชีวิตที่ตาย

มักจะเป็นผู้ไม่สมควรตาย

กระนั้น

อรุณธตี รอย ย้ำนักย้ำหนาว่า

ใครๆ ก็ตายได้

ด้วยกลุ่มคำคือ

"ไม่แก่ ไม่หนุ่ม ไม่สาว

แต่อยู่ในวัยที่ตายได้"



อนึ่ง อีกประเด็นที่อรุณธตี รอย สื่อออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งคือ

ในบางเวลา กามรส ก็เข้ามาก้าวก่ายและมีอิทธิพลมากกว่าสิ่งใดๆ

มากเสียจนคนที่ตกเป็นเหยื่อ ไม่อาจรู้ได้เลยว่า 

เหตุใด พิธีกรรมเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับบางคู่ชีวิต

ใครเป็นคนตั้งกฎไม่ให้คนต่างวรรณะมาสมสู่กัน

ทำไมความสัมพันธ์ของอัมมู ผู้อยู่ในชนชั้นกระฎุมพี

กับเด็กหนุ่มเวลุธา ผู้เป็นจัณฑาลปาราวัน

จึงก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมอันแสนหดหู่และทารุณได้ถึงเพียงนั้น


(ข้าพเจ้าชื่นชมอรุณธตี รอยจากใจจริง

ที่บรรยายภาพขณะแรกเมื่ออัมมู มองไปยังฝั่งตรงข้าม

และเห็นเด็กหนุ่มกำลังเล่นกับลูกสาวของตน

เด็กหนุ่มถอดเสื้อ

เผยให้เห็นผิวมันดำขลับ

และกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม

ซึ่งอรุณธตี รอย เปรียบเปรยไว้ว่า

เหมือนช็อกโกแลตที่แบ่งเป็นร่องๆ

เรือนกายของชายหนุ่ม มีความนูนความเว้ากร้าวแกร่ง

ร่างกายของนักว่ายน้ำ ร่างกายของช่างไม้นักว่ายน้ำ

ร่างกายที่ขัดสีด้วยขี้ผึ้งชั้นดีแห่งชีวิต จนเกิดประกาย

ป๊าด ข้าพเจ้าที่เป็นคนอ่าน ไม่ได้เห็นเองกับตา

ยังเผลอซี๊ดเลย ให้ตายเถอะ 

นับประสาอะไรกับอัมมู ที่เห็นเต็มๆ ตา หึๆ)




สุดท้าย

มีกฎเกณฑ์อะไรห้ามไว้หรือไม่ว่า

ฝาแฝดชายหญิง

ห้ามเป็นของกันและกัน

เมื่อพวกเขาต่างก็เป็นกันและกันมาเนิ่นนาน



เรื่องนี้...ชื่อเรื่องหลอกลวงประชาชนอย่างยิ่ง

เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ

ฟังดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก

แต่อย่าได้พยายามถามหาสิ่งนั้นจากเนื้อในระหว่างปกหน้ากับปกหลังเลย

เพราะอรุณธตี รอย ไม่ได้ตั้งใจใส่สิ่งนั้นไว้ในความโกลาหลจำนวน ๓๗๖ หน้านี้แต่อย่างใด



ด้วยรัก

แพรวา