22 พ.ค. 2555

เรื่องจริงผ่านใจ case study หมายเลข 2

ฉาก : ถนนอโศกมนตรี ช่วงเวลา 4 โมงเย็น รถติดเป็นเรื่องธรรมดา

ตัวละคร :

1. หญิงสาวผู้ขับรถ Vios สีขาว

2. คนขับรถมอเตอร์ไซด์ ท่าทางเหมือนแมสเซ็นเจอร์


เรื่องมีอยู่สั้นๆ ว่า

หญิงสาวขับรถบนเส้นทางนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว

รถค่อยๆ เคลื่อนไป เพราะการจราจรติดขัด

สักพัก มีรถเก๋ง accord โผล่มาจากด้านซ้าย

เธอต้องเบรคกะทันหัน

แล้วก็ได้ยินเสียง "โครม"

.
.
มอเตอร์ไซด์ชนท้ายรถเธอ

ความจริงมีมอเตอร์ไซด์ตามท้ายหลายคัน

แต่มีคันเดียวที่เบรคไม่อยู่


เธอรีบกดไฟฉุกเฉิน แล้วลงไปดูรถ

เห็นท่าทางชายแมสเซ็นเจอร์ผู้ขี่มอเตอร์ไซด์ชนท้ายรถเธอ

เหมือนรู้สึกผิดมาก

เขาไม่หนี

ทั้งที่ถ้าจะหนี ก็อาจทำได้ เพราะมอเตอร์ไซด์คันอื่นๆ ก็หายไปหมดแล้ว

(ทักษะในการซอกแซกของมอเตอร์ไซด์ คงทราบกันดี)

หญิงสาวเอามือลูบตรงที่ถูกชน

ไม่มีรอยบุบ

ไม่มีรอยสีถลอก

มีเพียงรอยสีแดงจากบังโคลนมอเตอร์ไซด์

มาเปื้อนสีขาวของรถเธอ

ไม่ใหญ่เท่าไร



หญิงสาวชั่งใจ

คิดว่ารถไม่ถลอก ไม่บุบ

มีแค่สีเปื้อน แค่ขัดหรือเคลือบสีใหม่ ก็น่าจะได้

กอปรกับพิจารณาคนขับมอเตอร์ไซด์แล้ว

เขาคงไม่พร้อมจะชดใช้อะไรให้

และรถก็ติด

เธอจึงบอกไม่เอาเรื่องแก่เขา



ชายคนนั้น รีบขอบคุณด้วยความรวดเร็ว

และยอมรับผิด พร้อมกับบอกว่า

"ผมเอาไม่อยู่จริงๆ ครับ"


คู่กรณี ที่ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องมีราว ก็แยกย้ายกันไป


ทว่า เมื่อหญิงสาวกลับมาถึงที่พัก

ตรวจดูความเรียบร้อยของรถ

ดูตรงรอยใหม่ที่เกิดขึ้น

เอามือลูบๆ อีกครั้ง

แต่คราวนี้ ลูบไปถึงข้างใต้

โอ้วพระเจ้า ด้านล่างของกันชน

แตกไปเป็นรอยยาว 2-3 นิ้ว

แต่ไม่ห้อยไม่ผิดรูปไปจากเดิม

(ถ้าไม่ก้มไปดู ก็จะไม่เห็นหรอก)



หญิงสาวมานั่งพิจารณาอีกครั้ง

ตั้งแต่ตอนที่ชน เกิดเอะใจว่าเสียงดังขนาดนั้น

ไม่ยักมีรอย

เธอพลาดเอง ที่ไม่ได้ดูให้ถ้วนถี่

และไม่รู้ว่า การชนในลักษณะแบบใด จะทำให้เกิดแผลอย่างไรได้บ้าง


แต่ที่ต้องกลับมาคิดทบทวนอีกครั้งให้ละเอียดก็คือ

คนขับมอเตอร์ไซด์ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้างใต้ต้องเป็นอะไรสักอย่าง

เพราะส่วนที่สีมาเปื้อนคือบังโคลน

งั้นส่วนที่เป็นล้อ ซึ่งยื่นออกมา ก็ต้องอัดเข้ากับด้านล่างของกันชน

ใช่แล้วล่ะ  เขาเป็นคนที่เห็นลักษณะการชนได้ชัดเจนที่สุด




ท่าทางของเขา ทำให้หญิงสาวไว้เนื้อเชื่อใจ

และเลือกที่จะใช้ความเมตตา

มากกว่าใช้ปัญญาในการจัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้น


ทว่า ภายใต้ท่าทางเหล่านั้น

เขาปกปิด สิ่งที่เขากระทำไว้

อย่างมิดชิด

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ท่าทางที่ดี ช่วยให้คุณสามารถเอาตัวรอดได้จริงๆ


และเรื่องนี้ คงสอนให้หญิงสาวได้รู้ว่า

อย่าเชื่อใน "ท่าทาง" ของคน

เพราะมันอาจไม่ใช่เรื่องจริงที่ผ่านมาจากใจ


หมายเหตุ : หญิงสาวก็ต้องเคลมประกันเองไปตามระเบียบ พร้อมกับเตรียมรับการมีประวัติการชน

และค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น

เรื่องจริงผ่านใจ case study หมายเลข 1

รถตู้คันหนึ่ง วิ่งจากสถานีขนส่งเอกมัย ปลายทางคือสัตหีบ

ตัวละครเอก

1. คนขับรถตู้

2. คุณป้าที่ขนถุงดอกไม้ใหญ่ๆ มาหลายถุง และต้องซื้อที่ 2 ที่ (1 ที่ สำหรับวางถุงดอกไม้)

3.หญิงสาวผู้นั่งข้างหน้า ข้างๆ คนขับ

เรื่องมีอยู่ว่า รถตู้คันนี้ วิ่งไปทางภาคตะวันออกของประเทศไทย

ปกติคนที่ไปเส้นทางนั้น จะใช้มอเตอร์เวย์ ขึ้นที่บางนา

แต่คันนี้ วิ่งด้านล่าง เพราะผู้โดยสารคนหนึ่ง เป็นหญิงสาว

นั่งข้างๆ คนขับ ต้องการลงที่บางวัว

ซึ่งถ้าขึ้นมอเตอร์เวย์ ก็จะจอดไม่ได้


เรื่องมีต่อว่า

เมื่อถึงบางวัว หญิงสาวคนนั้นลง ก็มีหญิงคนที่นั่งเบาะด้านหลัง ย้ายมานั่งแทนที่เธอ

ขณะที่กำลังจะปิดประตูรถ มือหนึ่งก็มาค้ำยันเอาไว้

และชะโงกหน้าข้ามผ่านไปถามคนขับว่า

ว่างซัก 3 ที่ไหม จะไปสัตหีบ

ชายคนนั้น ไม่ใช่คนไทย

สำเนียงการพูดคล้ายพม่า แต่ไม่กล้าฟันธงว่าใช่หรือไม่

หน้าตาโหดๆ ท่าทางค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อย



คนขับทำท่าลังเล

แล้วตอบไปว่า

"ผมก็อยากให้ไปอยู่นะ แต่ผู้โดยสารเต็ม ไปได้แค่ 2 คน"

ชายพม่าพยายามขอร้องให้ได้ขึ้นครบ 3 คน

ในที่สุด คนขับก็หันมาเจรจากับคุณป้า

ขอซื้อ 1 ที่สำหรับการวางดอกไม้คืน

ให้คนพม่า(?) ให้ร่วมทางไปด้วยกัน

ด้วยเหตุผลที่ว่า สงสารเขา

ถ้าเราไม่รับ เขาไม่มีรถไปหรอก



คุณป้าก็ไม่มีปัญหา ขยับที่ให้ด้วยโดยดี

แล้วเอ่ยขึ้นว่า

"เขามาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกันน่ะเนาะ ให้ได้ไปกันครบๆ"



หญิงสาวที่นั่งข้างหน้า

หันมาบอกคุณป้าว่า "เอาดอกไม้มาวางข้างหน้าด้วยก็ได้ค่ะ"

แล้วคุณป้าก็ส่งดอกไม้ไปอัดกันไว้ด้านหน้ารถ

ข้างๆ คนขับ  ข้างๆ หญิงสาว



เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นที่ปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง

ที่ได้เห็นเพื่อนมนุษย์มีความเอื้ออารีย์และมีน้ำใจต่อกัน




อนึ่ง ลองคิด เล่นๆ (แค่เล่นๆ ก็พอ)

คนขับรถ : ได้เงินพิเศษ จากการมีคนขึ้นรายทาง โดยไม่ต้องผ่านอู่ 2 คน (เพราะอีก 1 คน ต้องจ่ายคืนให้คุณป้า)

คุณป้า : ได้ขนดอกไม้กลับบ้าน โดยเสียเงินแค่ที่นั่งเดียว

หากว่า ชายทั้งสาม ไม่มีเงินจ่ายค่ารถ คนขับรถจะให้ผู้น่าสงสารทั้งสาม ขึ้นมาเบียดบนรถด้วยหรือไม่

หากว่า คุณป้าไม่ได้เงินค่าที่คืน คุณป้าจะยอมให้มีผู้ร่วมทางเพิ่มขึ้นหรือไม่


เอาเถอะ ถือซะว่า เจตนาจริงคือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ดังที่ทั้งสองเจรจากันนั่นแหละ

เจตนารองๆ มีหรือไม่ เราไม่อาจรู้

แต่ทั้งหมด ก็ Win-Win กันมิใช่หรือ

ได้ผลประโยชน์กันโดยถ้วนทั่ว


เว้นไว้แต่เพียงหญิงสาวผู้นั่งข้างหน้า กับกองดอกไม้ใหญ่ๆ

ที่อาจเสียประโยชน์ โดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมา


กระนั้น หากหญิงสาวคิดว่า การได้ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี

ก็เท่ากับได้เหมือนกัน

ได้ความอิ่มเอิบใจไงล่ะ ฮ่าๆ




เรื่องจริงผ่านใจ

เมื่อมนุษย์ได้ชื่อ(จากใครก็ไม่ทราบ) ว่าเป็นสัตว์สังคม

และคนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า

ไม่มีใคร สามารถอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข

จึงเป็นเรื่องจำเป็น ที่เราจะต้องหัดเรียนรู้

และทำความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์คนอื่นๆเป็น

ไม่ว่าเราจะอยากเรียนรู้หรือไม่ก็ตาม





หากเราต้องการเติบใหญ่

แค่พบประสบการณ์คงไม่พอ

เจอไปก็เท่านั้น หากไม่ผ่านกระบวนการคิดและวิเคราะห์

หากสมองไม่จดจำ การเกิดขึ้นซ้ำๆ ย่ำอยู่กับที่

ก็จะมีต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวเราก็จะได้แค่แก่ขึ้น

แต่หาได้ฉลาดขึ้นไม่





ฉันเคยเป็นคนที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงเป็นห่วง

อาจเพราะท่าทางที่ดูเรียบร้อย

เป็นลูกไก่ ลูกแกะ ที่ใครก็จับได้ง่าย

รังแก หรือหลอกลวงได้ไม่ยาก


แต่คนเรา ก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้นตลอดไป

เราควรปกป้องตนเอง

เพื่อจะได้สามารถปกป้องคนที่เรารักได้ด้วย



เพราะฉะนั้น เราจึงต้องเท่าทันคนอื่น

ต้องคิดให้รอบด้าน

แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเก็บทุกสิ่งทุกอย่างให้รกหัว

พื้นที่ในสมองมีเยอะก็จริง

แต่ก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด



ฉากหน้าของคนที่พบเจอ

อาจเปื้อนยิ้ม พูดจาไพเราะ ดูมีมิตรไมตรี

แต่สิ่งที่อยู่ในใจของเขา เป็นเช่นนั้นจริงหรือ


คนใกล้ตัว หรือไกลตัวก็ตาม

มีความจริงใจต่อเรามากน้อยแค่ไหน

เราจำเป็นต้องรู้

แต่รู้แล้วจะอย่างไรต่อไป ก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณ

ของแต่ละคน


รู้เท่าทัน อย่างน้อยก็เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ

เป็นการป้องกันที่จำเป็น

เพราะหากเกิดสิ่งใดไม่พึงประสงค์ขึ้นกับชีวิต

ด้วยการกระทำและน้ำมือของผู้อื่น

เพียงแค่การอภัยและอโหสิกรรม คงไม่อาจรับประกันได้ว่า

จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เป็นครั้งที่สอง สาม สี่ และต่อๆ ไป



มองโลกในแง่ดี  คิดอะไรในแง่บวก

เป็นผลดีกับจิตใจก็จริงอยู่

แต่อย่าลืมว่า เราต้องอยู่กับชีวิตจริงๆ ไม่ใช่จินตนาการหรือโลกแห่งความคิด

ด้วยเหตุนี้

มองโลกในแง่จริงบ้าง..ก็น่าจะดี




ท้องถนน..เวทีแสดงกมลสันดาน

วันนี้ 21 พฤษภาคม 2555 

ฉันขับรถทางไกลและในกรุงเทพฯ เพียงลำพัง เป็นครั้งแรก

หากไม่นับรวมการขับตอนไปทำใบขับขี่ที่พัทยา

หลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้เติบโตขึ้น

สมดังเจตนาของใครคนหนึ่งที่ต้องการให้ฉันมีความเป็นผู้ใหญ่ในเร็ววัน

แต่กระนั้น ฉันก็ยังอ่อนต่อโลก และอ่อนแอเกินไปอยู่ดี


ฉันไม่ชอบการขับรถ และไม่เคยคิดจะขับรถด้วยตนเอง

ทว่า เมื่อมันจำเป็น ก็ต้องทำ


เมื่ออยู่บนท้องถนน เหมือนไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง

แต่จะใช่จริงหรือ เพราะในอีกมุมหนึ่ง

ก็เหมือนสะกิดใจให้คิดว่า บางที มันก็คือตัวเอง

ที่แม้แต่เจ้าของก็ไม่เคยรุจัก หรือรุจักแต่แสร้งว่าไม่ใช่ตัวตน



บางสถานการณ์ เราเป็นผู้โอนอ่อน และยอมให้

บางสถานการณ์ เราเป็นฝ่ายรับ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เต็มใจให้

บางครั้งเราถูกเอาเปรียบ

บางครั้งเราเอาเปรียบ

บางครั้ง ผู้อื่นไม่มีมรรยาทกับเรา

เช่นกันที่ในบางครั้ง เราก็เสียมรรยาทกับผู้อื่น

เราผิดพลาด บ้างก็ยอมรับว่าผิดจริงๆ 

บ้างก็ไม่ยอมรับ หนำซ้ำยังเฉไฉ เทโทษความผิดไปให้ผู้อื่นเสียดื้อๆ

หรือแสร้งไม่รู้ไม่เห็น กูไม่ได้ทำ


บางคนเห็นแก่ตัวแบบอ่อนๆ

หลายคน เปิดเผยออกมาซึ่งๆหน้า 

เห็นแล้วตาลาย คลื่นไส้ เวียนหัว และขยะแขยง



ฉันไม่ชอบการใช้เวลาอยู่บนท้องถนนจริงๆ

อาจดีที่ได้ฝึกสมาธิ

แต่ไม่ดีที่ต้องแลกกับการได้เห็นสันดานดิบในตัวมนุษย์ชัดเจนเกินไป



วันนี้ ยังดีที่ได้รับไมตรีและการอภัยจากผู้อื่น 

ฉันจะตรงไป แต่เข้าผิดเลน และทำให้รถเลนขวาที่จะกลับรถ ไปไม่ได้

เพราะจะตีไฟเลี้ยวเข้าเลนถัดไปด้านซ้าย 

ไฟก็แดงพอดี 

โชคดีที่รถคันที่กำลังจะมา หยุดให้หน่อยหนึ่ง

ทำให้หัวเข้าไปได้พอสมควร 

กระนั้น ท้ายรถก็ยังขวางทางเลนขวาอยู่ดี

และโชคดี ที่บีเอ็มคันที่อยู่ด้านหน้า

พยายามขยับรถให้ ฉันก็กระดื๊บๆ ค่อยๆเอาตัวเข้าไป

และรถเลนขวาก็ผ่านไปได้ในที่สุด

รถคันแรกที่ผ่านไปได้ ผงกหัวให้ 

หลายคันที่ตามๆกันมา ก็พยายามไป เมื่อพ้นไปได้ บางคันก็หันมาผงกหัวให้อีก

เหมือนจะตอบรับ

การผงกหัว แทนคำขอโทษจากฉัน (คอแทบเคล็ดกันเลยทีเดียว)



ฉันเชื่อเสมอว่า เมื่อเราทำผิด หากเรายอมรับ และพยายามแก้ไข

ก็มีคนที่พร้อมจะให้อภัยเราเสมอ



การขับรถในย่านที่ได้ชื่อว่ารถติดแสนสาหัส

ทำให้ปวดร้าวไปทั้งตัว และเกิดความตึงเครียดขึ้นแก่ร่างกาย

หมดพลังไปเยอะเหมือนกัน


ฉันพยายามไม่จอดชิดคันหน้าเกินไป

เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ชนกันแบบลูกโซ่

คนรักของฉันสอนเสมอว่า ให้เว้นห่างไว้ อย่าไปใกล้เค้ามาก

เช่นกันกับที่เรา  ก็ไม่อยากให้ใครมาใกล้ด้านท้ายของเรา จนเกินไปนัก

ในขณะที่บางสถานการณ์ เราก็จำเป็นต้องใกล้ 

เพื่อไม่ให้มีการซอกแซกและแทรกแซง

จนเกิดอันตรายแก่ตัวเราได้



ฉันค่อนข้างเข้มงวด และกวดขันในวินัยจราจร

กฎเป็นกฎ และพยายามไม่ออกนอกลู่นอกทาง

เพราะคิดเสมอว่า อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้

แต่ต้องไม่ใช่เพราะตัวเราเป็นสาเหตุ

ถ้าทำตามกฎ อย่างน้อย ก็ลดโอกาสที่จะไปชนใคร

และถ้าเพิ่มสติมากขึ้น โอกาสที่ใครจะมาชนเราได้ ก็น้อยลง


อย่างไรก็ตาม ความใจอ่อน ก็ไม่ลบเลือน

อยากไปก็ให้ไป อยากแซงก็ชะลอให้แซง

อยากแทรกเข้า ถ้าไปได้ก็ไป

แต่ถ้าน่าเกลียดเกินไปนัก ก็อย่าหวังเลย


วันนี้ ณ  ย่านอโศก

เป็นย่านที่คุ้นเคยอย่างดี

และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุขึ้นได้


รถ accord โผล่ออกมาจากซอยด้านซ้าย รถแถวด้านซ้ายของฉันหยุดให้แล้ว

เค้าก็โผล่มาถึงเลนฉัน จึงจำต้องเบรคแบบกะทันหัน

แล้วก็ได้ยินเสียงโครม

ดังทีเดียว

ตกใจ

มอเตอร์ไซด์ชนท้ายอย่างจัง


เหมือนถอดแบบคนรักมา 

ในคราวที่โดนกระบะไหลมาชนท้ายเมื่อตอนติดไฟแดงที่สัตหีบ

มือกดไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ

เข้าเกียร์ P ถอดเบลท์

เปิดประตูรถด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

มอเตอร์ไซด์เสียงหงอยๆ แต่ไม่หนี

ฉันดูรอยรถ เห็นเพียงรอยสีแดงจากบังโคลนมอเตอร์ไซด์มาเปื้อนสีขาวของกันชน

นอกจากนั้น ไม่มีอะไร 

แอบสงสัย เสียงก็ดัง ไม่ยักมีรอยบุบหรืออะไรที่ร้ายแรง

และด้วยความที่ย่านนั้น รถติด จึงไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรให้ยุ่งยาก


แต่เมื่อกลับมาถึงที่พัก

ตรวจดูความเรียบร้อยของรถอีกที

เอามือลูบใต้กันชน ก้มลงไปดู 

เป็นรอยแตก มีความยาวประมาณ 2-3 นิ้ว

โทรไปเล่าให้คนรักฟัง

ได้รับคำสั่งสอนกลับมาเช่นเดิม


"เมื่อใดที่ต้องใช้ปัญญาก็ต้องใช้ปัญญา

เมื่อใดที่ต้องใช้ความเมตตา ก็ค่อยเมตตา"


ถูกต้องจริงๆ 

คำพูดคำจาที่ดี บางครั้ง ก็เพื่อหลบหลีกและปิดบังความผิดของตนเอง

ฉันยังอ่อนหัดนัก ในเรื่องการมองคนให้ทะลุปรุโปร่ง

แม้ว่าตอนนี้จะพัฒนาขึ้นบ้างแล้วก็ตาม


เอาเถอะ ครั้งนี้จะเป็นประสบการณ์สอนให้ฉันมีความละเอียด

และใช้สติปัญญาในการรักษาตนให้พ้นจากการถูกเอาเปรียบมากขึ้น

ใจอ่อนเกินไป ผลร้ายก็กลับมาสู่ตนเอง


ขอบคุณ อะไรก็ตามที่ส่งบทเรียนนี้มาสอนฉัน

ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายแรง และแย่ยิ่งกว่านี้ขึ้นจริงๆ



หมายเหตุ สัตหีบ-เนติบัณฑิตยสภา ตลิ่งชัน-ลาดพร้าว-หมอชิต-พระราม 3

ออกเดินทางตีสี่โดยประมาณ จอดรถที่ศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ สถานที่ทำงานเมื่อราวๆ สี่โมงเย็น

ร้อยละ 85 ของชีวิตวันนี้ ใช้บนท้องถนนและการเดินทาง

             



16 พ.ค. 2555

คำว่า "รัก" ไม่อาจเอ่ย

อาจเป็นความผิดที่ฉันเอง

ฉันไม่อาจเอ่ยมันออกไป

ในเมื่อไม่ได้รู้สึกถึงมันจริงๆ

หรือแม้ในยามที่อาจรู้สึก

แต่หาใช่ยามที่อยากเอื้อนเอ่ย


มันมีคุณค่าอยู่เสมอ ในคำนั้น

ฉันรัก ที่จะเอ่ยคำว่ารัก

แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นน้อยครั้งก็ตามที

ฉันเอ่ยคำว่ารัก ด้วยหัวใจ

เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่อยากใช้หัวใจ

อย่างสิ้นเปลือง..เกินไปนัก


ฉันรักเธอนะ คนที่ฉันบอกว่ารัก

และคำว่ารักของฉัน

ก็หมายความว่า ฉันรักเธอ จริงๆ

ไม่หลอกลวง ไม่เสแสร้ง และจริงใจ


ฉันให้เธอด้วยลักษณาการนี้

ฉันจึงปรารถนา จะได้รับมันกลับมา

ด้วยสิ่งเดียวกัน


หากยามใดที่เธออยากเอ่ยมันจริงๆ

ฉันพร้อมจะฟัง ด้วยหัวใจพองโต

ฉันมีที่อีกกว้างนัก ไว้รองรับคำว่ารักจากเธอ



แต่หัวใจคน มันมีพอง มีแฟบ

ที่ทั้งหมดอาจตีบตัน

เมื่อถูกอัดอั้นไว้ด้วยความไม่จริงใจ

คล้ายๆก้อนไขมัน ที่มาเกาะตามผนังหลอดเลือด

อันตรายนะ

เพราะถ้ามันมากมาย จนเกินขีดจำกัด

มันก็บดบังทางเข้าออก และการไหลเวียน

ของสิ่งสำคัญได้



เธอรักฉันไหม

ฉันไม่ใคร่ถามประโยคนี้กับใคร

แต่ก็ใช่ว่า ฉันจะไม่อยากรู้คำตอบ



ฉันไม่ถาม เพราะคาดเดาได้ว่า

เมื่อใดที่ฉันถาม ก็ไจะด้รับคำตอบ

แต่แท้จริงแล้ว

ฉันอยากฟังคำตอบ โดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำถามเสียมากกว่า


ฉันไม่ชอบการถูกบีบบังคับ ให้ต้องพูด

และก็พยายามจะไม่ทำเช่นนั้นกับใคร


จงเชื่อในฉัน

เชื่อในคำว่ารักที่ฉันบอกกับเธอ

เชื่อในหัวใจของฉัน

ว่ามันมีเธออยู่ในนั้นจริงๆ


และจงทำให้ฉัน...เชื่อในเธอ