19 ก.ย. 2556

เรือ โคน ม้า เม็ด เบี้ย..รุกฆาต



ช่วงนี้ ชีวิตค่อนข้างยุ่ง

เพราะกิจกรรมทั้งที่ต้องทำ ควรทำ และอยากทำ

มันประเดประดังกันเข้ามา

พร้อมๆ กัน

และโดยนิสัยปกติ

ข้าพเจ้าก็มักไม่ค่อยทิ้งโอกาส

ไม่ค่อยปฏิเสธอะไรที่ในใจลึกๆ บอกว่า "ทำไปเหอะ"



ข้าพเจ้าตามใจตัวเองเสมอ




ถ้าเป็นเมื่อก่อน 

คนใกล้ตัวจะค่อนข้างรู้ดี

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว

อยากทำอะไรก็ทำซะหมด

ทำจนวิ่งวุ่นไปเรื่อย

แต่ก็ไม่เคยเครียด เพราะไม่ได้คิดอะไร

แค่รู้สึกอยากทำ ก็ลงมือทำเลย สมัครเลย เดินทางเลย เอาเลย

ซึ่งผลที่ได้ ก็มักจะมีคุณค่าเสมอ

ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตลอดมา



และที่สำคัญ หน้าที่หลักของข้าพเจ้าในตอนนั้น

มีแค่เล่าเรียนให้ระดับเกรดไม่หลุดทุน

คือมีเกรดเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 3.00

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถเท่าใดนัก




Portfolio ของข้าพเจ้าหนาจนครูที่โรงเรียนเสนอชื่อเป็นนักเรียนรางวัลพระราชทาน

ก็เพราะนิสัยแบบนี้

ข้าพเจ้าได้ทุนเรียนที่ ม.กรุงเทพ ก็เพราะ Portfolio หนาๆ นั้น

ได้ฝึกงานที่เชฟรอน ทั้งที่ภาษาอังกฤษห่วยแตกมาก 

แม้กระทั่งได้งานทำแบบเลี้ยงชีพเป็นครั้งแรก

ก็เพราะ Resume ที่มาจากนิสัยแบบนี้



ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นโทษของการมีนิสัยเช่นนี้

ไม่เคยเลยจริงๆ



อาจมีบ้างที่เหนื่อย หรือรู้สึกหนักเกินไป

ก็พัก ก็ผ่อน ก็เบา ก็หยุดมัน เป็นบางช่วง

แต่พอมีแรง ก็ทำใหม่ ไขว่คว้าหากิจกรรมใหม่ๆ มาสนองความต้องการของตัวเอง




จนกระทั่งช่วงชีวิตนี้

ที่มีอะไรๆ ต้องรับผิดชอบ

ที่ต้องโต

ต้องเป็นเสาหลัก

ต้องยืนให้ได้อย่างเข้มแข็งและสง่างาม

หมดเวลาเล่นสนุกไปวันๆ เสียแล้ว




ข้าพเจ้าเห็นข่าวกิจกรรมอาสาสมัครในหน้าเพจหลายที่

ความจริง ก็ติดตามมาตลอด 

กิจกรรมไหนน่าสนใจก็ไป

ครั้งนี้ 

มีกิจกรรมที่จัดในช่วงเดือนเดียวกัน 2 กิจกรรม

คือไปกอดน้อง ที่บ้านโฮมฮัก จังหวัดยโสธร 

วันที่ 14-15 กันยายน



และกิจกรรมสร้างฝาย ดูกุ้งเดินขบวน

เล่นน้ำตก

ที่ภูจองนายอย จังหวัดอุบลราชธานี

วันที่ 21-22 กันยายน



ข้าพเจ้าใคร่ครวญแล้ว

สมัครแค่กิจกรรมแรก

และแพลนไว้ว่า จะรอการประกาศผลจากกลุ่มนี้ก่อน

ถ้าไม่ได้ไป และกิจกรรมสร้างฝายยังว่าง

ก็ค่อยสมัครไปสร้างฝาย

แต่ถ้าเต็มแล้ว ก็ไม่ไป ไว้โอกาสหน้า 

กิจกรรมเช่นนี้ มีตลอดปี

สรุป

ถ้าไม่ได้ไป 1 ที่ ก็คือไม่ไปเลย

และเอาเวลาไปอ่าหนนังสือสอบเนติฯ ซะ




แต่ปรากฏว่า มีอุบัติเหตุ

ให้ข้าพเจ้าต้องไปร่วมกิจกรรมทั้งสองกิจกรรม

ครั้งแรกที่รับทราบสถานการณ์

ก็พอจะเห็นเค้าลางบางอย่าง

แต่ก็ยังบอกตัวเองว่า

น่าจะไหวแหละ

บอกอย่างนั้น

ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจใดๆ เลยว่าจะไหวจริงๆ




ส่วนหนึ่งเพราะข้าพเจ้าอยากไป

และอีกส่วนหนึ่ง

ข้าพเจ้าไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนได้

เอ้า...ไปก็ไป



ข้าพเจ้าเครียดอยู่บ้างพอสมควร

เป็นความเครียดที่มีมาตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน

เพราะรู้ดีว่า

การสอบครั้งนี้ ไม่เหมือนสองครั้งที่ผ่านมา

ข้าพเจ้าไม่ถนัดวิชาฝั่งกฎหมายแพ่งเท่าใดนัก

ซ้ำเนื้อหาก็เยอะ

อ่านไม่ลื่นไหลและไม่รู้สึกสนุกเหมือนอ่านกฎหมายอาญา

ข้าพเจ้าเครียดตั้งแต่ต้นเดือนกันยา ทั้งที่สอบวันที่ 6 ตุลา

ซึ่งสองขาที่ผ่านมนั้น

ข้าพเจ้าเครียดจริงๆ แค่ไม่เกิน 2 สัปดาห์ก่อนสอบเท่านั้น




เดิมที ข้าพเจ้าสอบเนติเพื่อแม่

แต่ตอนนี้

เมื่อมันผ่านมาแล้วครึ่งทาง

ก็จำเป็นต้องผ่านไปให้ได้จนสุดทาง

ข้าพเจ้าไม่อยากพิการ

ผ่านครึ่งๆ กลางๆ ...ซึ่งไม่อาจเรียกได้ว่าผ่านแต่อย่างใด

อีกทั้งยังมีโปรเจ็คที่คิดไว้ว่าจะทำ

และต้องใช้ นบท เป็นใบเบิกทาง

เพราะฉะนั้น

ตอนนี้ การสอบเนติให้ผ่าน จึงเป็นความจำเป็น




ข้าพเจ้าระบายความรู้สึก และความคิดที่ทำให้เครียด

ให้คนรักอ่านทางอีเมล์

คนรักเตือนสติข้าพเจ้าว่า 


"แพรวากำลังจะเอาม้าไปแลกเบี้ยนะ คราวที่แล้วก็เอาโคนไปแลกเบี้ย จำได้ไหม?"


คราวที่แล้ว หมายถึงสัปดาห์ที่แล้ว..

ข้าพเจ้ามีภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำ 

ซึ่งมันอาจนำพาโอกาสและความเจริญหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิต

ข้าพเจ้าละเลยมัน และเลือกที่จะไปกอดน้องที่บ้านโฮมฮัก ยโสธร



คราวนั้น ดีที่มีเขาคอยเป็นแบคอัพ 

สานต่อส่วนที่เหลือของภารกิจให้ลุล่วงไปได้

และผลจากการเดินทาง ทำให้ข้าพเจ้าอบอุ่น 

และได้รับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเช่นกัน 

(แม้จะเป็นด้านจิตใจ มิใช่ด้านวัตถุก็ตาม)




ถ้าเทียบกันจริงๆ แล้ว 

หากข้าพเจ้าไม่ได้ไปค่ายนั้น 

ก็อาจต้องเสียใจไปอีกนานเสมอกัน

เพราะฉะนั้น คงไม่ใช่การเอาโคนไปแลกเบี้ย




สำหรับข้าพเจ้า...มันคือม้าแลกโคน

หากข้าพเจ้าเล่นหมากรุก 

ม้าสำคัญไหม? สำคัญ ... แต่โคนสำคัญกว่า

งานชิ้นนั้น ถ้าปีนี้ไม่ได้ทำ ปีหน้ายังมี (แม้ปีหน้าจะเป็นปีสุดท้าย โอกาสสุดท้ายก็เหอะ)

(แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้เสียอะไรสำคัญๆ 

เพราะมีคนรักคอยช่วยเหลือ

ยกเว้นอาจเสียสุขภาพไปบ้าง 

เพราะเพลียจากการเดินทาง

การทำกิจกรรม

และยังต้อลุยงานต่ออีก 5 วันทำการ

สรุปคือ อาจเป็นการเอาเม็ดไปแลกโคนก็เป็นได้

แต่ก็นะ...คุ้มไม่ใช่หรือ)





คราวนี้..สัปดาห์นี้

ข้าพเจ้าต้องเลือกระหว่างการอ่านหนังสือเพื่อสอบเนติฯ 

กับการไปสร้างฝายที่ภูจองนายอยซึ่งเขาบอกว่าจัดปีละครั้ง

ทบทวนหลายตลบ เครียดมาหลายวัน

ถามว่าถ้าไม่ผ่านเนติ จะเป็นเช่นไร...คำตอบชัดเจนเหลือเกิน

- เสียใจที่สอบตกครั้งแรกในชีวิต

- เสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาด 

(แม้จะเป็นอุบัติเหตุให้ต้องไป แต่ถ้าจะไม่ไปจริงๆ ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะปฏิเสธได้

ข้าพเจ้าไม่ได้บอกปัด และยอมรับมันไว้เอง)

- เสียเงินค่าบำรุงการศึกษาและค่าสมัครสอบปีละ 3 พันกว่า

- เสียโอกาสที่ควรจะได้ทำตามโปรเจ็คนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำ

และถ้าไม่ผ่านเนติในปีนี้ ปีหน้าคงต้องสอบเนติไป เรียนโทไป 

ตายคาที่เลยละกัน





ข้าพเจ้าคุยกับเพื่อนด้วยอารมณ์ตึงๆ 

และบอกกับเขาตรงๆ ว่า 

ถ้าไม่ใช่เขา และไม่ใช่ตอนนี้

ข้าพเจ้าคงเหวี่ยง คงวีนไปแล้ว



ข้าพเจ้าอาจโทษว่าเป็นความผิดของเขา

ที่สมัครไป จ่ายเงินไป โดยไม่ถามข้าพเจ้าสักคำ

ข้าพเจ้าอาจบ่น อาจว่าเขาที่คิดเองเออเอง

ตัดสินใจเองคนเดียว

และสุดท้าย ก็รับกันไม่ไหวทั้งข้าพเจ้าและตัวเขาเอง



ข้าพเจ้าเคยเหวี่ยงใส่คนรักหลายครั้ง

ตอนสอบ 2 ขาแรก

และข้าพเจ้าสัญญากับตัวเองไว้

ว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม



ครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการควบคุมอารมณ์

เอาชนะความกดดัน ความเครียด และอารมณ์หงุดหงิดที่พุ่งพล่าน



ข้าพเจ้าดีใจ ที่ไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกใครอีก



เหตุการณ์ครั้งนี้ 

ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเพื่อนรักก็หนักใจไม่น้อย

เขาคิดไม่ตกตั้งแต่รู้ว่าช่วงเวลาที่เราต้องไปอุบลฯ

คือช่วงที่ข้าพเจ้าใกล้สอบเต็มที

พอแล้วล่ะ

แค่นี้ ก็คงพอแล้ว

ข้าพเจ้าได้แต่บอกว่า

คราวหน้าไม่เอาแล้วนะ ทำอะไรปรึกษากันก่อน

(ไม่งั้นจะจับตีก้นให้ลายเลย ...อันนี้ไม่ได้พูด 555)




หลังจากทบทวนจริงๆ

ถ้าข้าพเจ้าออกเดินทางในครั้งนี้

มันคงเป็นดังที่คนรักว่าไว้จริงๆ

และอาจยิ่งกว่านั้น

เพราะบางที

มันก็อาจเป็นการเอาเรือไปแลกเม็ดเลยก็ได้



สำหรับข้าพเจ้า

กองทัพที่ไม่มีเรือ...ดูจะอ่อนแอเหลือเกิน



ถามว่าเสียดายเม็ดไหม

ก็แน่นอน

แต่เสียใจไหม

ไม่หรอก



ข้าพเจ้าเอาเบี้ยเดินไปให้หงายเป็นเม็ดก็ได้นี่นา

เม็ดนี้จากไป

เดี๋ยวเม็ดใหม่ก็เกิดขึ้นมา

ถ้าเบี้ยยังไม่หมดกระดาน

และถ้าขุนยังไม่ถูกรุกฆาตไปเสียก่อน




ด้วยรัก

แพรวา


ป.ล. ขอบคุณสำหรับการอยู่เคียงข้าง เตือนสติ สนับสนุน 

และให้โอกาสเด็กคนนี้ได้เติบโต ได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเอง

รักมาก...Arty








6 ก.ย. 2556

ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง...??


เมื่อเช้า

คุยโทรศัพท์กับพ่อ

นานๆ ที จะได้คุยยาวๆ 

แลกเปลี่ยนไปมา ก็ถึงเรื่องสอบ

พ่อบอกว่า

เผื่อใจไว้บ้าง

พ่อรู้ว่ามันไม่ง่าย

ข้าพเจ้าบอกพ่อว่า

ก็รู้ว่ามันยาก แต่ก็อยากทำให้ได้

เกิดมายังไม่เคยสอบตก

และไม่รู้ว่า ถ้าตกจริงๆ 

จะเจ็บขนาดไหน จะรับได้ไหม

กับผลที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

พ่อคงรู้นิสัยข้าพเจ้า

เรื่องอย่างนี้ หาลิมิตจากข้าพเจ้าไม่ค่อยได้



เมื่อตอนเด็กๆ ช่วงเรียนมัธยม

เวลาข้าพเจ้าอ่านหนังสือดึกๆ

ขณะที่แม่จะคอยลุกมาต้มมาม่าร้อนๆ

หรือชงชา ซื้อขนมมาตุนไว้ให้



พ่อจะลุกออกจากเตียง

เปิดประตูออกมาดูตรงโต๊ะอ่านหนังสือ

ราวๆ เที่ยงคืนของทุกวัน

พ่อลุกมาเสมอๆ

และข้าพเจ้าก็จะโดนด่าเสมอๆ


"ทำอะไรให้มันรู้จักความพอดีบ้าง"


พูดอย่างนี้ ซ้ำๆ เกือบทุกวัน

โดยเฉพาะช่วง ม.ต้น

ที่ข้าพเจ้ามักจะนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะตัวนั้น

ตั้งแต่ราวๆ 6 โมงกว่าๆ

ถึงเที่ยงคืน

พักก็ตอนลุกมากินข้าวกับพ่อแม่เท่านั้น

พ่อลุกมาด่าข้าพเจ้าประจำ

(จะว่าดุก็ไม่เชิง จะว่าด่า..ก็นั่นแหละ ใกล้เคียงสุด 555)



มาถึงตอนนี้

ขณะที่ทุกครั้งของการสอบ

ข้าพเจ้ามีแม่เป็นกำลังใจ

มีถ้อยคำสร้างพลัง และความเชื่อมั่น


"ลูกแม่ทำได้อยู่แล้ว"


แต่อีกฟากหนึ่งของการดำรงอยู่

ข้าพเจ้าก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับ

รับว่า อะไรๆ มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด


"ความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา"


ดังที่พ่อเตือนสติอยู่เสมอ




และต้องยอมรับตามตรงว่า

ข้าพเจ้าเป็นพวกอ่อนแอ

และมีภูมิคุ้มกันความผิดหวัง

ในระดับที่ต่ำมาก

ใครคนหนึ่งเคยบอกข้าพเจ้าว่า


"เพราะแพรวายังไม่เคยผิดหวังจริงๆ ไง"


นั่นก็อาจจะใช่

เพราะข้าพเจ้ากลัวการผิดหวัง

มากกว่าความลำบากที่อยู่ตรงหน้า

ข้าพเจ้าอาจยอมเครียด ยอมเหนื่อย

เพื่อให้ได้สัมผัสสิ่งที่ตั้งใจไว้

ข้าพเจ้านึกภาพตัวเองไม่ออก

หากต้องเผชิญกับความผิดหวัง

ในสิ่งซึ่งได้หวังไว้จริงๆ



นี่ไม่นับรวมสิ่งอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะหวัง

แต่ก็ไม่ได้หวัง 

อารมณ์ประมาณ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่าง 

เสียใจ แต่ไม่แคร์ ฮ่าๆๆ

อันนั้น ผิดหวังไป ก็หาได้กระเทือนอะไรมากมาย

เพราะรู้สภาพ รู้ภาวะ และฐานะตัวเองดี

หรือบางครั้ง

ก็คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำเสียด้วยว่า

อันนี้ ไม่ได้หรอก

แต่อยากทำอะ มีไรมะ หุๆ



ช่วงนี้

สภาพร่างกาย และอารมณ์

เตือนออกมาเสมอ

ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง

กำลังหนัก กำลังเหนื่อย กำลังเครียด

ก็เป็นธรรมดา






ทำให้เต็มที่..แล้วปล่อยวาง

ใครๆ ก็ว่ากันอย่างนั้น

แต่ปัญหาคือ

แค่ไหนถึงเรียกว่าเต็มที่

เท่าไหร่จึงควรพอ

เต็มที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

และแม้กระทั่งหายใจมา 23 ปีกว่าๆ 

ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกเลย

ว่ามีอะไรบ้าง

ที่ตัวเองทำเต็มที่แล้ว

เพราะเมื่อมองย้อนกลับไป

ก็รู้สึกเหมือนกับว่า

เฮ้ย...อันนั้นเราน่าจะทำได้ดีกว่านั้นนะ

เพราะฉะนั้น 

เมื่อไม่รู้สึกว่าเต็มที่

และผลที่ออกมามันไม่ดี

ก็ย่อมเสียใจ

ย่อมผิดหวัง

ผิดหวังในตัวเอง

เสียใจให้ความเหยาะแหยะของตัวเอง

สิ่งเหล่านี้

สามัญ




หรือครั้งนี้

ควรปล่อยโอกาส

ให้ตัวเองได้เสริมสร้างภูมิคุ้มกันความผิดหวังเสียบ้าง

...

แต่อย่าเลย

อย่าเป็นเช่นนั้นเลย





เขียนถึงตัวเอง

ในวันที่คล้ายๆ จะหมดแรงเหลือเกิน

แพรวา