25 ส.ค. 2554

สุขสันต์วันเกิด

เมื่อวาน เป็นวันคล้ายวันเกิด
หนึ่งในคนสำคัญ..ของชีวิตฉัน
พ่อ..

ฉันโทรไปสุขสันต์วันเกิดเฉกเช่นทุกปี
เพราะเราอยู่ไกลเกินกว่าจะพบหน้า
หรือเดินเข้าไปกอดได้
ด้วยหน้าที่และภาระต่างๆมากมาย
เราจึงแสดงความรักต่อกัน
ได้เพียงเท่านี้

ส่วนวันนี้
เป็นอีกหนึ่งวันคล้ายวันเกิด
คนสำคัญในชีวิตของฉันอีกหรือไม่
ฉันก็ยังงงๆ
ฉันไม่ได้งงว่าสำคัญหรือไม่สำคัญ
ฉันงงว่า..ยังสำคัญอยู่หรือเปล่า

ฉันเคยบอกกับเขาว่า
"บีมเป็นคนสำคัญของจ๊ะโอ๋แล้วนะ"
ประโยคนี้ ฉันก็ได้รับจากเขาเช่นกัน
แต่กลับกันระหว่างประธานและกรรม

เขาเคยบอกรักฉัน
ส่วนฉันยังไม่เคยบอกรักเขา
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขารักฉันข้างเดียวหรอกนะ
เพราะความจริงแล้ว
ดูเหมือนว่า ฝ่ายที่ไม่ได้พูดออกมา
จะมีความรุสึกที่อัดแน่นเสียยิ่งกว่าฝ่ายที่พูด
คนที่ฟัง..จำได้แม่นยำ กว่าคนที่เปล่งเสียง

เราห่างกันไป ด้วยเหตุอันใด
ฉันก็ยังงงๆอีกนั่นล่ะ
คงเพราะ เราเพียงแค้ได้โคจรมาพบกัน..
ชั่วคราว
หมดเวลา
ก็ต้องแยกย้ายกันไป
จะได้เจอกันอีกไหม
ก็แล้วแต่ว่า เส้นทางวงโคจรของเรา
จะมีสักเศษเสี้ยวทิศทางที่จะทับหรือบรรจบกันหรือไม่
แล้วแต่โชคชะตาก็แล้วกัน

วันนี้เป็นวันเกิดเขา
เขาคนนั้น ที่ฉันยังคง..นึกถึง
ความจริง เราไม่สามารถลืมใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
แม้จะอยากลืมมากเพียงใดก็ตาม
เขายังคงอยู่..ในร่องแห่งความทรงจำ

เพื่อนหลายคนพยายามเตือนสติฉัน
ในเวลานั้นว่า
"คิดดูให้ดี ว่าชอบแบบไหน"
หลายคนเกรงว่าความรู้สึกที่มากมายของฉัน
จะเป็นเพียงแค่อารมณ์คล้ายๆกับการบ้าดารา

ฉันคิดถึงเขาตลอดเวลา
หน้าแดงทุกครั้งที่เราพบกันในมหาวิทยาลัย
ยิ้มจนแก้มปริหลังการสนทนาทักทายของเราจบลง
เพื่อนบอกว่า "อาการหนัก"

ฉันพบเขาอย่างใกล้ชิดครั้งแรก
ในงานรับใบประกาศเกียรติคุณและพิธีมอบเข็มคณะกรรมการสโมสรนักศึกษา
ฉันรับใบประกาศ
เขารับใบประกาศ และเข็มประธานคณะ
เขาคือประธานคณะบัญชี ในปีการศึกษาถัดไป
เป็นรุ่นน้องฉันหนึ่งปี

ที่นั่งของฉันกับเขา ห่างกัน 2 ที่
ฉันนั่งเงียบ อ่านหนังสือ ตามประสา
เขาชะโงกหน้า ผ่านเพื่อนร่วมคณะ
พูดว่า
"แพรวา สวัสดี"
ฉันยิ้มแบบงงๆ (รู้ชื่อฉันได้ไง)
และรอยยิ้มเกือบกว้างขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของเสียง
ดีที่สงบจิตสงบใจได้ทัน

ช่วงกลางวัน มีงานเลี้ยงขอบคุณนักศึกษา
ฉันยืนในกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่
เขาเดินมาประชิดและทักทายหลายครั้ง
อารมณ์คล้ายๆในละคร หน้าแทบจะชนกันก็ไม่ปาน
ถามว่าฉันอยากกินอะไรไหม จะไปตักให้
ฉันหน้าแดงทุกครั้ง
เพื่อนก็เริ่มแซว
ฉันก็เริ่มอาย

มีหลายเสียงจากคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาเขา
บอกว่าเป็นตุ๊ด
ซึ่งจริงๆ ท่าทางการแต่งตัวที่ค่อนข้างเนี้ยบ
ก็ทำให้ฉันเชื่อในสิ่งเหล่านั้นได้ไม่ยาก
หากแต่ ลึกๆแล้ว ฉันรุสึกว่า ไม่ใช่หรอก
แล้วก็..เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

หลายข้อมูล จากหลายแหล่งข่าว
ยืนยันว่า แมนชัวร์
แล้วในวันที่ 13 กุมภา ฉันก็มั่นใจที่สุด

เขาโทมาชวนฉันไปเดินซื้อของ
อ้างว่า ไปเป็นเพื่อนน้อง
เดี๋ยวเขาจะขับรถกลับมาส่ง
ฉันไปเจอเขาที่ MRT ศูนย์สิริกิติ์
เราขึ้นไปลงที่สถานีลาดพร้าว
แม่เขามารับ
พาไปบ้านเขา

บ้านเขา อยู่ลาดพร้าว 71
บ้านเดี่ยว กี่ชั้นไม่แน่ใจ
มีพ่อ แม่ บีม ไบร์ท และทอร์ช
ไบร์ทเปงน้องชายของบีม
ทอร์ชเปงหมา พันธุ์ไซบีเรียน
มันเข้ามาเล่นกับฉัน
แม่กับไบร์ทแซวทอร์ชว่าเห็นสาวๆไม่ได้เชียว

ครอบครัวอบอุ่น จริงๆ
พ่อนั่งไกวเปลเด็กคนหนึ่ง ชื่อบาส
ลูกของเพื่อนบ้านที่ยากจน หาเช้ากินค่ำ
ด้วยความสงสาร จึงเอามาเลี้ยงให้

ในบ้านเต็มไปด้วยเหรียญรางวัล ถ้วยรางวัล และโล่รางวัล
ของบีมนิดหน่อย ของไบร์ทเปงส่วนมาก
พี่น้องนักกีฬา
ปิงปอง
บีมเปงนักกีฬาปิงปองของมหาวิทยาลัย
เรียนฟรี เหมือนฉัน
ต่างกันแค่ ฉันมีเงินเดือน เขามีเบี้ยเลี้ยง

บีมบอกแม่ว่า
"พี่แพรวาเค้าเทพมากเลยนะแม่ เรียนนิติ ที่หนึ่งคณะด้วย"
แม่บีมบอกว่า ดีแล้ว นิติกับบัญชี ไปด้วยกันได้
ฉันได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไร
วันนั้นฉันใส่กางเกงขาสั้น
แม่บีมชมว่า ขาฉันขาว เนียนมาก
แอบเขิน

เรา(ฉัน บีม ไบร์ท) ออกไปซื้อของ
ไบร์ทจะซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้สาว
มีบีมไปช่วยเลือก ส่วนฉัน ไปทำอะไร ก็ไม่ค่อยจะแน่ใจ
เรากินราเมง แล้วสองพี่น้องก็อยากดูหนัง
สุดท้ายเราก็ดู Green Hornest
ฉันนั่งตรงกลาง ป้อนป๊อบคอร์นทั้งพี่ทั้งน้อง
แกล้งเอาเข้าจมูกบ้าง ป้อนคำใหญ่ๆบ้าง ป้อนติดกันหลายๆคำบ้าง
เราหัวเราะ เพราะหนังตลก
ฉันมีความสุข เพราะหนังและสองพี่น้อง
บีมขับรถมาส่งฉันที่หอ ฉันนั่งข้างหลัง ไบร์ทนั่งหน้าคู่บีม
พอถึงหน้าหอ
เขายื่นดอกกุหลาบสีขาวให้ฉัน
บอกว่า
"สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ"
ไบร์ทบอกว่า เรา(สองพี่น้อง)ไม่เคยฉลองวันวาเลนไทน์อย่างนี้เลย

ฉันเก็บดอกกุหลายนั้นไว้
คิดหาวิธีว่าทำยังไง ฝุ่นจะไม่เกาะ
ตอนแรก เอาเทปใสมาแปะไว้ที่ผนังห้อง ห้อยหัวลง
เพื่อไม่ให้ฝุ่นเข้า
สักพัก แปะไม่อยู่ กุหลาบหล่นลงมา หัวทิ่มพื้น
ฉันกรี๊ด เพื่อนตกใจ
ฉันจึงย้ายมันไปไว้ในตู้เสื้อผ้า
เพื่อนบอกว่า "บ้าไปแล้ว"

ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ
เพื่อนๆมาซ่องสุมหมกตัวอ่านหนังสือที่ห้องฉัน
เยอะแยะ
อ่านไป ถามไป ติวไป
ฉันตั้งเสียงเรียกเข้าสำหรับบีมเป็นเพลง
รักนะคะ คนดีของฉัน ฉันรอโทรศัพท์
แต่นานๆทีเขาจะโทรมา
เพราะเขาก็อ่านหนังสือ
ต้องอ่านเยอะเสียด้วย
สอบโหดมาก ติดกัน 5 วันไม่เว้นวันหยุดใดๆ

ครั้งหนึ่ง เพื่อนแกล้ง
เปิดเสียงริงโทน
รักนะคะ คนของฉัน
ฉันตกใจระคนดีใจ คว้าโทรศัพท์
แล้วเพื่อนก็เฉลยว่า
"กูอำมึงเล่น บีมไม่ได้โทรมา"
รู้ตัวอีกที ฉันหัวเราะไป น้ำตาไหลไป
เพื่อนตกใจ กูขอโทษ
ฉันก็ไม่รู้ว่าน้ำตาฉันไหล ด้วยเหตุอันใด
รู้แค่ว่า ช่วงเวลานั้น ฉันคิดถึงเขามาก
แทบจะพูดได้ว่า ตั้งแต่เกิดมา มีแฟน หรือแอบชอบผู้ชาย
ฉันยังไม่เคยคิดถึง และรู้สึกกับใครมากมายและรวดเร็วเท่าบีม

เพื่อนๆลงความเห็นว่า
คงเพราะฉันเป็นพวกสเป็กสูง
และบีมคือผู้ชายคนที่สองในชีวิตที่เฉียดใกล้คอนเซ็ปต์ฉันมากที่สุด
คนแรกคืออาจารย์โจ้ หล่อ รวย ได้ทุนไปเรียนเมืองนอก พูดได้หลายภาษา
ทำงานเอาจริงเอาจัง สุภาพบุรุษ ..แต่ไม่ชอบผู้หญิง เฮ้อ

บีม..
หล่อไหม ก็ขาว จมูกโด่ง ถ้าหุ่นดี ก็อาจจะเป็นดารากับเขาได้เลยทีเดียว
รวยไหม บ้านเดี่ยว ลาดพร้าว 71 ไม่มั้ง
เก่ง เอาเรื่องอะไรล่ะ นักกีฬามหาวิทยาลัย ประธานคณะ
เกรดเป็นที่หนึ่งตั้งแต่ปีหนึ่งจวบจนปัจจุบัน
ดี ฉันก็ยังไม่เห็นมุมที่บอกว่าเขาไม่ดีเลย(ในเวลานั้น)

ฉันให้ใจเขาไปง่ายๆ

ผิดกับใครหลายๆคน ที่แม้ว่าจะดีกับฉันแค่ไหน
นานเท่าไร ฉันก็ไม่อาจ...รู้สึกอะไรเทือกนั้นได้เลยจริงๆ
ฉันว่า มันคงไม่มีง่ายหรือไม่ง่ายหรอก
มันจะมีก็แค่..ใช่หรือไม่ใช่


เขาทำให้ฉันหัวเราะได้ในทุกครั้งที่พูดคุย
อารมณ์ขันของเขา เหลือกิน
สนุกสนาน เฮฮา
แต่อย่าให้ได้ทำหน้าจริงจังเชียว
และอย่าให้เผลอด้วย
เพราะปากเขาจะห้อย 555
ฉันกับเพื่อนสาวอีกคน ธัญพร
เคยแซวเขาทั้งวันเรื่องความห้อยของปาก

บีมเอาไปฟ้องไบร์ท บอว่า พี่แพรวาแกล้ง
ไบร์ทตอบกลับมาว่า แล้วไปทำอิท่าไหน
ให้มันห้อยได้ขนาดเขาล้ออย่างนั้นเล่า
555
ความจริง บีมกับไบร์ทหน้าเหมือนกันมาก
ต่างแค่ บีมหน้าใสกว่า คมเข้มกว่า เพราะโตกว่า ก็เท่านั้น

บีมเป็นคนจริงจัง
ฉันก็รู้ว่า แม้ภายนอกเขาจะเฮฮาและทำท่าไร้สาระแค่ไหน
แต่ในใจและความคิดเขา ไม่เคยว่างเลย
ก็คงตามประสาคนหนุ่ม
ไฟแรง แอคทีฟ ...
ฉันจะไม่หลงเขาได้ยังไงกัน

เราไม่ได้พบกันนานมากแล้ว
ฉันอาจจะได้พบเขา
ถ้าตัดสินใจเข้าพิธีรับปริญญา
เขาต้องไปถือธงคณะ ในพิธีนั้น
ก็รอดูกันต่อไป วงโคจร อาจไม่เฉียดเข้าใกล้กันอีกเลย
หรืออาจจะเฉียด ก็ต้องใช้เวลาอีกนาน

เวลานี้ เขาเป็นเพียง ความทรงจำ
ในฐานะ หนึ่งในเส้นตัดเล็กๆบนวงโคจรของฉัน

สุขสันต์วันเกิด
รักศักดิ์ ตันวิริยะเวชกุล




ว่าด้วยการพูด

เมื่อวาน มีอิเลคโทรนิคเมลล์ฉบับหนึ่งส่งมาถึงฉัน
เป็นเมลล์ภายในบริษัท
ถามว่า

"น้องแพรวาเปงไรเหรอ เห็นเงียบๆ มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้นะ จะเก็บเป็นความลับ"

ฉันเงียบไป อย่างนั้นหรือ
แทบไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย
ว่าเงียบอยู่
หรืออาจเพราะ เมื่ออยู่ที่ทำงาน
ฉันคงพูดเท่าที่จำเป็น
แต่ฉันก็พูดนะ

ความจริง ฉันมีความรุสึกหนึ่ง
เกิดขึ้นสักพักแล้วเหมือนกัน
เรียกว่าความรุสึก เพราะมันคือการกระทำที่เกิดขึ้นตามความรุสึก
แล้วจึงมีเหตุผลจากความคิดตามมาในภายหลัง

ฉันรุสึกว่า ฉันไม่อยากพูด
อารมณ์คล้ายๆ ขี้เกียจพูด
แต่ก็ไม่เชิงว่าอยากเป็นใบ้ซะทีเดียว
แค่ว่า ถ้าไม่อยากพูด ต่อให้คิดอะไรอยู่มากมาย
ปากก็ไม่ขยับ เส้นเสียงไม่สั่นสะเทือน และลมไม่ออกจากลำคอ

ฉันอยากอยู่เงียบๆ
ทำอะไรที่ต้องทำ อยากทำ และควรทำ
ฉันรุสึกว่า การสนทนาอะไรๆที่มากมายเหล่านั้น
เป็นเรื่องค่อนข้างไร้สาระและสิ้นเปลืองเวลา


แต่ก็ใช่ว่าฉันไม่พูดอะไรกับใครเลย
ฉันก็ยังคงสนทนากับเพื่อนร่วมงานและผู้คนอื่นๆตามปกติ
เรื่องอะไรที่คนเหล่านั้นเปิดประเด็นและถามความเห็นของฉัน
ฉันก็ตอบเขาไป
แค่ว่า..ฉันไม่เคยเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อนก็เท่านั้น
ฉันอาจมีโลกส่วนตัว..ที่สูงมากเกินไป
แต่ตราบใดที่สิ่งนั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
ฉันก็จะยังคงเป็นฉัน..

อันที่จริง ฉันคุยได้กับทุกคน
และในที่ทำงาน ฉันก็รู้สึกได้ว่า มีหลายคนที่อยากเข้ามาในโลกของฉัน
อยากรุจักฉัน อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดนู่นนี่นั่น
ฉันได้รับเมลล์หลายฉบับในแต่ละวัน
เป็น forward mail เรื่องราวแปลกๆเพื่อจุดประเด็นการสนทนาบ้าง
หรือบางที ก็มาแบบจดหมายลับ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ
"ทานข้าวกับอะไร"
"งานเยอะไหม"
"กลับบ้านกี่โมง"
เหล่านี้ มีมาทุกวัน จนบางที ขี้คร้านจะตอบ
ก็ปล่อยไว้อย่างนั้น

ใช่ว่าฉันไม่แคร์ความรุสึกของคนถามเหล่านั้น
หากแต่ ฉันแคร์และเป็นห่วง
สวัสดิภาพของความสงบภายในโลกของฉัน
มากกว่า..

ในชีวิตของฉัน จะว่าไปแล้ว
ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที๋ฉันจะอ้าปากเล่าเรื่องราวที่พบเจอ
หรือความคิด ความรุสึกที่เกิดให้ได้รับรู้
อาจเพราะถ้าจะต้องอธิบายอะไรที่มันมากมาย
และทำให้คนๆนั้น เข้าใจความคิดหรือความรุสึกต่างๆเหล่านั้นได้
ฉันคงเหนื่อย และยิ่งถ้าผลสุดท้าย
สารที่ฉันต้องการสื่อ กับสารที่คนฟังได้รับ
มันไม่ตรงกัน
ฉันจะเสียความรุสึก..อย่างมาก
ฉันจึงเลือกที่จะไม่พูด ในระดับลึกซึ้ง
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
ในระดับตื้นๆ ทักทาย แลกเปลี่ยนเรื่องทั่วไป สักสองสามประโยค
ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าจะให้สาธยายยืดยาว เพื่อหาคนเข้าใจ
ฉันไม่ทำ

ฉันมีคนสำคัญในชีวิตเพียงน้อยนิด
แต่คนที่ฉันจะยอมพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตัวตน
มีน้อยนิดยิ่งกว่า

แต่ใช่ว่าความรุสึกนี้จะเกิดขึ้นและตั้งอยู่เองลำเพียงพัง
มันมีเหตุผลเป็นคู่หูด้วยเช่นกัน
ฉันไม่พูด มีสาเหตุมาจากทั้งการไม่อยากพูด กับอยากพูดแต่ไม่พูด
ไม่อยากพูด ก็เพราะไม่มีอะไรเป็นสาระควรค่าแก่การพูด
อยากพูดแต่ไม่พูด เพราะรู้ว่าเมื่อพูดออกไปแล้วอาจทำร้ายใครสักคน
หรือหลายคน และหนึ่งในนั้น อาจเป็นตัวฉันหรือคนที่ฉันรัก

อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ยิ่งจำนวนคำที่เราพูดมีมากเท่าไร
จำนวนกรรมที่เกิดจากวาจาก็มีมากเท่านั้น
และส่วนมาก ก็มักไม่ใช่กรรมดีเสียด้วย
ถ้าไม่ทำร้ายใครเข้าสักประโยค
ก็เป็นคำโกหก เสริมสร้าง ปั้นแต่ง บางทีเป็นคำหยาบ
และโดยส่วนมาก มักประกอบด้วยวาทะอันเพ้อเจ้อ
ไม่มีการพูดครั้งใดที่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด
และฉัน ก็ไม่ต้องการ ก่อกรรมชั่ว โดยมิตั้งใจ
วจีกรรม...แม้ไม่อาจรักษาให้บริสุทธิ์ได้ดุจน้ำที่ผ่านการกลั่น
อย่างน้อย ก็ควรทำให้สะอาดที่สุด
กรองมันหลายๆรอบ หลายๆชั้น
โบราณถึงว่า..คิดก่อนพูด

คิดเพื่อไตร่ตรองว่า พูดเพื่ออะไร
พูดแล้วเกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้ฟัง
จะใช้ถ้อยคำใดในการพูดเพื่อสื่อสาร
เมื่อทบทวนและไตร่ตรองดีแล้ว
เห็นว่าสมควรแล้ว
จึงพูด

ฉันอาจไม่ได้ทำเช่นนั้นในทุกๆครั้งของการอ้าปากพูด
แต่ฉันก็พยายาม

ฉันรักความสงบ ในโลกของตัวเอง
และไม่ต้องการก่อกวนโลกเล็กๆใบนี้
ด้วยคำพูดที่ไม่คู่ควรและผลที่ตามมาของมัน
อนึ่ง ฉันก็นึกเคารพในความสงบของโลกที่ผู้อื่นครอบครองด้วย
เฉกเช่นและเสมอกับโลกของฉัน

ขออภัย กับการเป็นมนุษย์ที่ปรารถนาโลกแห่งความสงบเงียบ

23 ส.ค. 2554

เบื่อ

เบื่อ อาการที่แสนจะน่าเบื่อ
มาแบบมีสาเหตุบ้าง ไม่มีสาเหตุบ้าง
แต่จะแบบไหนก็ตาม เมื่อมันมาแล้ว
ก็ล้วนน่าเบื่อด้วยกันทั้งหมดทั้งมวล

แม้กระทั่งการจะพยายามหาหลักทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
มาอธิบายว่า เหตุใดจึงเบื่อ
แล้วจะกำจัดอารมณ์เบื่อเหล่านี้ไปได้อย่างไร
การจะนั่งหาข้อมูลนี้ ก็ยังเป็นที่น่าเบื่อ

การเบื่อ ความจริง ก็มีผลกระทบกับชีวิต
ไม่น้อยเลยทีเดียว
มันอาจนำมาซึ่งการไม่อยากกิน
เรียกว่าเบื่ออาหาร

อาจทำให้เราไม่อยากทำงาน
อ้างว่าทำเหมือนเดิมซ้ำๆทุกวัน ทุกวัน

หรือแม้กระทั่งที่ร้ายกาจที่สุด
การเบื่อ คนรัก ของตนเอง
บางทีก็เบื่อเล่นๆ แต่บางทีก็เบื่อแบบเอาจริงเอาจัง
เคยมีบทสนทนาระหว่างฉันกับแฟนเก่า
"เค้าเบื่อคุณว่ะ"
หลายครั้งอยู่เหมือนกัน
แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ
ถ้าจะทะเลาะ ประเด็นนี้มักไม่ใช่สาเหตุ
แต่ถึงกระนั้น ประโยคสั้นๆนี้
ก็ทำร้ายจิตใจคนฟังได้ไม่น้อยเลย

ตอนนี้ ฉันกำลังเบื่อ
เบื่ออย่างที่สุด
โดยที่ยังงงๆอยู่ว่า เบื่ออะไร และเพราะเหตุใดจึงเบื่อ
งานก็ยังทำดีอยู่ นั่งทำมาเรื่อยๆตั้งแต่เช้า
ยังมิได้หยุดมือแต่อย่างใด

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของหน้าที่
แท้จริงแล้ว ฉันอาจกำลังเบื่องานอยู่ก็เป็นได้
แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้
เที่ยงแล้ว
และฉัน..ยังไม่อาจทำใจหาอะไรลงท้องได้
ฉันคงกำลัง...เบื่ออาหาร

ฉันคิดถึงคนรัก
แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดถึงในอารมณ์แบบไหน

เฮ้อ..กำลังจะเบื่อ แบบเอาจริงเอาจังเสียแล้วกระมัง

19 ส.ค. 2554

คนเถื่อน

หลายคืนมาแล้ว ที่กิจวัตรประจำวันในชีวิต

มีอีกหนึ่งกิจกรรมเพิ่มเข้ามา
ช่วงเวลาสองทุ่มยี่สิบห้าและอีกหนึ่งชั่วโมงนับจากนั้น
เป็นเวลาที่ฉัน จำเป็นจริงๆ
ที่จะต้องอยู่ห้อง ทำตัวให้ว่างและดูทีวี

คนเถื่อน เป็นชื่อละคร
เรื่องใหม่ของค่ายเอ็กซ์แซ็กและซีนเนริโอ
ละครแนวบู๊ ผสมผสานกับความกุ๊กกิ๊กคอมเมดี้ของตัวเอก
ความจริงก็คล้ายๆกับละครคมแฝกที่เคยโด่งดังของช่องหลากสี
ที่พล็อตเรื่องเน้นไปที่การส่งเสริมและพิทักษ์รักษาความยุติธรรม
และกวาดล้างการกระทำอันผิดกฎหมาย
แต่จะไม่ขอนำไปเปรียบเทียบกันจะดีกว่า
ด้วยส่วนตัวแล้ว ไม่ได้ดูคมแฝกอย่างถึงพริกถึงขิง
หรือติดตามทุกฉากทุกตอนเช่นเรื่องคนเถื่อนนี้
ด้วยเหตุที่ ตัวเอก ไม่หล่อ 555

คนเถื่อน มีนักแสดงนำฝ่ายชายที่เป็นตัวเอกคือ กาย รัชชานนท์
และอีกตัวละครที่คล้ายๆจะเอก คือ ต้า นาวิน
ส่วนฝ่ายหญิงก็เป็นเจ้าเก่าหน้าเดิมของค่ายนี้
วิว วรรณรท
และ แกรนด์ The star
อันที่จริง ละครเรื่องนี้ฉายมาได้หลายตอนแล้ว แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มเรื่อง
ฉันดูครั้งแรกก็เมื่อเล่นไปได้เป็นตอนที่สามแล้ว
อะไรบางอย่าง ทำให้ฉันต้องกลับไปนั่งดูตอนแรกและตอนที่สองในยูทูป
และติดตามมาทุกตอนต่อจากนั้น
คนรักของฉันก็แอบบ่น
หึยยยยติดละคร

เมื่อคืนเรานั่งดูละครเรื่องนี้ด้วยกัน
ก็เป็นไปตามปกติของเขา
เห็นอะไรขัดหูหรือสะดุดตาก็จะพูดแทรกขึ้นมา
ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้
ฉันเองก็เป็น แต่เป็นน้อยกว่าเขาหลายเท่าตัว
เพราะถ้ามัวแต่คิดหาคำตอบว่าทำไม กับคำถามเหล่านั้น
ก็เกรงว่า จะไม่ทันได้ดูตอนปัจจุบันที่กำลังดำเนินเรื่องอย่างลึกซึ้ง
ก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่า ละคร
มันก็ต้องมีบางสิ่งที่แสดงออกถึงการเป็นละคร
เช่น ผู้ร้ายต้องร้องเฮ้ย ก่อนจู่โจม
เพื่อให้ฝ่ายที่กำลังจะถูกเล่นงานหันกลับมารับมือได้ตามที่ซ้อมกันมา
หรือตัวโกงที่กำลังจะลั่นไกปืนใส่ตัวเอก
ก็จะต้องค่อยๆเคลื่อนนิ้วไปที่ไก
พอนิ้วไปแตะที่ไก กำลังจะลงน้ำหนัก
ก็จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างมาขัดขวาง
เพื่อช่วยให้ตัวเอกปลอดภัย
เพราะตัวเอกจะตายไม่ได้ นอกจากเป็นฉากจบของละครแล้วเท่านั้น
ฉันชอบละครเรื่องนี้
ทั้งๆที่ไม่ได้ดูละครมาก็นานมากแล้ว
สาเหตุแรกเลยที่ดู ก็เพราะเบื่อกับการรีดผ้ากองโตแบบเงียบๆและร้อนๆ
ก็เลยเปิดทีวี พอดีไปเจอคนหล่อๆ กับเพลงประกอบละครที่ร้องโดยดิว The star
ขอดูแก้เซ็งหน่อยละกัน
แล้วหลังจากนั้น ก็ดูทุกวัน ที่มีการออกอากาศ
เนื้อเรื่องทั้งหมดเป็นเช่นไร ฉันยังไม่รู้
และก็คาดว่าจะไม่แสวงหามารู้ จนกว่าจะดูถึงตอนจบ
ขอดูไปเรื่อยๆ อินไปเรื่อยๆดีกว่า

โดยส่วนตัวแล้ว ชอบกาย รัชชานนท์
เพราะหล่อ จมูกโด่งได้รูป เซ็กซี่
ถ้าไม่ติดว่าฉันมีคนรักแล้ว บางทีอาจใจละลาย(มากกว่านี้)
ไม่แน่ใจว่าร่างกายของเขา กำยำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
หรือเพิ่งจะได้รับการฟิตมาเพื่อละครเรื่องนี้
เพราะฉันก็ไม่ได้ติดตามผลงานใดๆของเขา นอกจาก ภาพยนตร์เรื่องเการักเกาหลี

เขาเล่นเป็นสองคน พี่น้องฝาแฝด
แฝดผู้น้องตายตั้งแต่ตอนแรกของเรื่อง เพราะฉะนั้น
ตัวละครที่กายต้องสวมบทบาทซะส่วนใหญ่ก็มีเพียงการเป็นแฝดผู้พี่
ที่จะต้องแสดงความเจ็บปวดทางสายตาเมื่อหวนระลึกถึงแฝดผู้น้อง
เพราะตามเนื้อเรื่อง ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้มาทำคดี
สืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าน้องชายของเขา
ยกเว้นหัวหน้า และเพื่อนร่วมงานในหน่วยสืบสวนคดีพิเศษ
บางฉากก็แสดงได้ดี แต่บางฉาก ก็ขัดใจคนดู (บ้าง)
การแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อนางเอก ยังสื่อว่า ตอนนี้
พระเอกมีใจให้นางเอก น้อยกว่านางเอกมีใจให้พระเอก
บางที เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ตัวละครทั้งสอง ไม่ควรลงเอยกันง่ายเกินไป
และตามเนื้อเรื่อง  ระหว่างพระเอกที่เพิ่งสูญเสียน้องชาย
และกำลังอยู่ในระหว่างการทำคดี ในหัวมีแต่เรื่องฆาตกร
กับนางเอกที่สดใส อยู่ในวัยแรกรุ่น ที่ได้พบกับชายผู้หล่อเหลา คมเข้ม
คงไม่แปลกอะไรที่ผู้เขียนบท จะกำหนดให้นางเอกเป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อน
สำหรับฉากบู๊แอคชั่นของกาย ถือว่าออกมาสวยงาม
และมีการเลือกมุมกล้องที่ทำให้ตัวละครนี้ ดูมีเสน่ห์และได้คะแนนเกือบเต็มในเรื่องความเท่และหล่อ
ส่วนของกาย ฉันว่า เขาทำดีแล้ว(แอบเชียร์) 555
มาถึงตัวเอกฝ่ายชายอีกคนคือ ต้า นาวิน เยาวพลกุล คนนี้ขอเก็บไว้พูดถึงในท้ายสุดก็แล้วกัน
ข้ามไปที่นางเอก วิว วรรณรท
เมื่อดูจากระแสตอบรับ รู้สึกว่าเรื่องนี้ เธอมาแรงทีเดียว
ด้วยบทที่ออกแก่นๆ สดใส และน่ารักตามประสาสาวแรกรุ่นที่ไม่มีพิษมีภัยในจิตใจ
จะมีก็เพียงท่าทางการวางตัวที่แสดงออกชัดเจนว่า เธอไม่มีทางยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆ
 และนั่นก็คือจุดที่ทำให้เธอได้พบและมีปฏิสัมพันธ์กับพระเอก
วิว เล่นเรื่องนี้ แบบไม่ห่วงสวย
ทั้งการพูดจา กิริยาท่าทาง การแสดงออกทางอารมณ์
ทำให้เชื่อได้ว่าตัวละครตัวนี้ ไม่ใช่ผู้หญิงที่เรื่องความสวยความงามมาเป็นอันดับหนึ่ง
หรืออาจเพราะมีตัวละครอีกตัวที่เปรียบเทียบกันอยู่
และเป็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของบุคลิกและบทบาทที่แสดงออกมา
คือแอริณ ยุกตะทัต 
ใครที่รู้จักเธอ ก็คงพอจะเดาออกว่า บทบาทที่เธอจะได้รับสำหรับการแสดงละครในค่ายนี้
จะเป็นไปในรูปแบบใด
หญิงสาวผู้เดินบิดสะโพก แต่งตัวล่อเสือล่อบุรุษ และเล่นหูเล่นตากับพระเอกทันทีที่พบหน้า
นั่นล่ะ บานชื่น รับบทโดย แอริณ
ไม่ต้องพูดถึงฝีมือทางการแสดงหรือการตีบทของเธอว่าแตกหรือไม่
เรื่องนี้แอริณไม่เคยพลาด
นอกจากนี้ยังมีนักแสดงรุ่นใหญ่ รุ่นกลางและรุ่นเกือบกลางอีกหลายคน
ต้องขอบอกว่า สมกับที่เป็นละครซึ่งผลิตโดยค่ายนี้
เพราะนักแสดง คับคั่งจริงๆ เหมือนกับหลายเรื่องที่ผ่านมา
และก็คงไม่ต้องเดาว่าแต่ละคน ฝีไม้ลายมือการแสดงเป็นเช่นไร
เพราะทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ที่มากขึ้นในทุกๆวัน และพัฒนาไปเรื่อยๆในทุกๆตอน
จะมีที่เป็นมือใหม่ก็เห็นเพียง นาวิน คนที่ฉันข้ามไปเท่านั้น
อันที่จริง จะว่าใหม่ก็ไม่ใช่ หรือจะว่าเก่าก็ไม่เชิง
เข้าวงการมานานก็จริง แต่ผลงานไม่ค่อยเป็นที่ฮือฮา
และไม่ได้มีออกมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้คนรู้จักเขาในฐานะดาราที่มีดีกรีเป็นด็อกเตอร์ และเป็นหวานใจของพลอย เฌอมาลย์เสียมากกว่า
แต่ถ้าพูดถึงหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอก การจะเป็นตัวเอก ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไร
จะเสียก็ตรงที่ลวดลายการแสดงและการเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครนี่แหละ
เขาเป็นคนเดียวที่ดูแล้วขัดอารมณ์จริงๆ
ถ้าประเทศเรามีรางวัลสากกะเบือทองคำ เขาคงเป็นอีกหนึ่งตัวเก็งที่จะได้รับ
แม้ว่าบทบาทของเขา เรียกได้ว่า แทบจะไม่ต้องใช้ความสามารถในการสื่อสารทางอารมณ์แต่อย่างใด
มีเพียงบททะเล้นที่ต้องไล่ตามสอบปากคำจากสาวสวย
และมองเธอด้วยแววตาหยาดเยิ้มในบางครั้ง
เรื่องการใช้สายตามองหญิงสาว ก็พอรับได้
แต่สำหรับการพูดและสื่อสารด้วยวาจา เขาควรจะทำให้คนดูรู้สึกว่าเป็นการท่องน้อยกว่านี้
บางฉาก ฉันยังแอบนึกว่ามีคนถือป้ายเขียนบทไว้ให้เขาอ่าน
อารมณ์คล้ายผู้ประกาศข่าว
ที่อ่านตัวหนังสือบนหน้าจอกล้องเพื่อให้ดูว่ากำลังสบตาผู้ชมทางบ้านอยู่
สำหรับการถ่ายทอดบทบาทของตัวละคร เขาคือนักแสดงที่เป็นจุดบอดที่สุดของละครเรื่องนี้

พูดกันเรื่องนักแสดงไปแล้ว จะไม่พูดถึงบทละคร ก็ดูจะขาดอะไรไป
หรืออันที่จริงต้องพูดถึงบทละครก่อนเสียด้วยซ้ำ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้จัดและผู้สร้างสรรค์งานอันแท้จริง
แต่ก็นะ จะย้อนกลับขึ้นไปแก้ ก็ขี้เกียจเสียแล้ว  หึหึ

ละครเรื่องนิ้ เปิดเรื่องมาและด้วยธีมของละครแล้ว ใครๆก็รู้ว่าเป็นแนวที่เน้นฉากการต่อสู้
จะเสริมความผ่อนคลายทางอารมณ์ก็ตรงบทกุ๊กกิ๊กของคู่พระนาง
แต่ถึงกระนั้น จุดเล็กๆที่อาจเป็นปมของเรื่อง ก็ไม่ควรถูกมองข้ามไป หรือพูดง่ายๆก็คือ
อะไรที่ไม่ต้องการให้ผู้ชมเก็บไปคิดเป็นปม ก็ควรเก็บและกวาดให้สะอาด
การเหลือร่องรอยที่ดูแล้วขัดกับความรู้สึกมากจนเกินไป
จะมีผลต่อเสน่ห์ของตัวละคร และเนื้อเรื่อง
หรือเพราะฉันอ่านหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนเยอะไป
และถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่จะสังเกตเห็นจุดเหล่านี้ ก็คงมีไม่น้อยทีเดียว
เพราะสมัยนี้ ผู้บริโภคมีไอเดียและความคิดในการเสพสื่อต่างๆกว้างขึ้นมาหน่อยแล้วนะ
การเขียนบทที่หละหลวมจะทำให้คนดูคิดในใจ(หรือบางรายพูดออกมา)ว่า ตัวละครนี้โง่จัง
ซึ่งก็คงไม่เป็นผลดีกับอรรถรสของละครและความชื่นชอบของผู้ชมที่มีต่อตัวละครนั้น
ยกตัวอย่างง่ายๆ
นุชกานดา ที่รับบทโดย แกรนด์ The star
เธอสวย ขาว และเย้ายวนใจ น่ารักและเป็นสาวสมัยใหม่
มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว เพราะถือว่าค่อนข้าง  Perfect  สวย รวย เก่ง
แต่จากบทบาท ทำให้ตัวละครนี้ดูดร็อบลงไปกว่าที่ควรจะเป็น
เธอควรจะฉลาดและมีไหวพริบ แบบท่าทางที่เธอแสดงออก
เพราะถ้าบทของเธอเป็นหญิงสาวแสนซื่อ ก็คงไม่ขัดหูตัดตาสักเท่าไหร่นัก
เริ่มตั้งแต่การไม่ยอมให้ปากคำแก่ตำรวจ ซึ่งก็คือนาวิน ต้า
เหตุผลก็คือ การตายของคนรัก ทำให้สะเทือนใจและไม่พร้อมจะพูด
เธอไม่พร้อมจะพูดมาตั้งแต่ตอนเริ่มเรื่อง และจนผ่านไปแล้วหลายตอน เธอก็ยังคงไม่พร้อม
ราวกับว่า เธอกับคนรัก รักกันปานจะกลืนกิน และเธอมีเขาในทุกห้วงความทรงจำ
ทำให้ไม่อาจยอมรับการจากไปอย่างกะทันหันได้
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็พอจะเข้าท่าบ้าง
แต่ปรากฏว่า ฉากความสัมพันธ์ระหว่างนุชกานดา กับ คิมห์ น้องชายพระเอก
แทบไม่มีให้เห็น หรือจะว่ากันตรงๆก็คือ ไม่เห็นว่านุชกานดาจะคิดถึงคิมห์ตรงไหน
มีเพียงฉากตอนขับรถที่ระลึกถึงตอนที่ขัดแย้งกัน แล้วนุชกานดาร้องไห้ออกมาเท่านั้น
เธอไม่พร้อมให้ความช่วยเหลือตำรวจในการหาตัวคนร้าย
แต่เธอพร้อมสำหรับไปเต้นเพลงพี่เบิร์ด Loving You too much so much very much อย่างสดใสและร่าเริง
ถ้าผู้เขียนบทต้องการให้ตัวละครนี้ใช้เหตุผลในเรื่องของจิตใจสำหรับการไม่ยอมให้ปากคำ
เพื่อจะส่งต่อให้เนื้อเรื่องมีความยุ่งยากในการหาตัวคนร้ายของพระเอก
ก็ควรให้มีความกลมกลืนของบทบาทมากกว่านี้
ให้เห็นถึงความโศกเศร้าและอ่อนแอทางจิตใจมากกว่านี้
ให้คนดูเชื่อมากกว่านี้โดยไม่มีข้อโต้แย้งว่าเธอไม่พร้อมจริงๆ
หรือถ้าเธอคือหนึ่งในตัวละครที่จะเปิดเผยในภายหลังว่ามีอะไรมากกว่าที่แสดงออกในตอนแรก
ก็ควรทำให้เนียนมากกว่านี้ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ความชั่วร้าย ไม่มีทางที่จะถูกปกปิดได้เสียทั้งหมด
พูดกันง่ายๆก็คือ บทของเธอ หลวมในความเป็นเหตุเป็นผลของการกระทำมากเกินไป
อีกทั้งการถามในหลายๆฉากว่า คำถามที่ตำรวจถามนั้น เกี่ยวอะไรกับเรื่องการตายของแฟนเธอ
คนทั่วไปที่มีความคิด โดยเฉพาะคนสมัยนี้ ที่มี IQ สูงขึ้น คงพอจะนึกได้ว่าทำไม
เพราะทุกคำถามของตำรวจหนุ่มในบทที่เขาท่องมา
ล้วนเรียกได้ว่า Basic มากๆสำหรับการสืบสวนค้นหาความจริง
เสน่ห์ของนุชกานดาที่ควรจะมีตามท้องเรื่อง ลดลงไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
ก็ด้วยประเด็นเล็กๆน้อยๆที่ถูกมองข้ามไปนี่แหละ

ย้อนกลับไปที่สุดหล่อ
อัคนี รับบทโดย กาย รัชชานนท์
ตำรวจหนุ่มที่ได้ทำงานในหน่วยสืบสวนคดีพิเศษ
ขึ้นชื่อว่าคดีพิเศษ ใครๆก็ต้องนึกภาพว่า เก่ง
แน่นอน ในความเป็นจริง คนที่จะเข้าทำงานที่นี่ได้ ต้องเก่ง  เก่งจริงๆ
(ไม่นับเรื่องเก่งในการเลียแข้งเลียขาหรือการปรับตัวในระบบอุปถัมภ์นะ คาดว่าไม่น่าจะมี หึหึ)
และพระเอกของเรา ก็ต้องเก่ง ถ้าจะให้เป็นไปตามท้องเรื่อง
ดังนั้น บทบาทและฉากที่แสดงถึงความเก่ง ฉลาด และมีไหวพริบของตัวละครนี้ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะขาดไป หรืออาจเป็นได้ว่า ผูกไว้ไม่เนียนพอ
ครั้งแรก ฉันคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจเพราะเพิ่งดำเนินเรื่องได้เพียงน้อยนิด
จึงยังไม่มีฉากเหล่านี้
แต่เมื่อดูมาจนถึงเมื่อคืนก่อน
ฉากที่เห็นชัดๆ ว่าควรจะมี กลับไม่มี
แม้เพียงคนดูตัวเล็กๆอย่างฉัน ยังคิดได้ประเด็นได้
แต่ตัวละครที่เก่งกาจและถูกวางว่าควรจะฉลาด กลับมองไม่เห็นหรือนี่
ถ้าจะพูดปัดๆไปว่า มันเป็นละคร ก็ดูไร้สาระมากเกินไป
ละครสมัยนี้ ควรสร้างด้วยสมองเพื่อสนองความต้องการของผู้คนให้มากขึ้น
จะหวังแค่เพียงเอาความหล่อความสวยมามอมเมาให้เรตติ้งสูง
ก็ดูไม่เข้าท่าเสียแล้ว
เนื้อเรื่องช่วงนั้น คือการคิดและดูแนวทางว่าระหว่างสองไร่ คือไร่สมันดง กับไร่บอระเพ็ด
ไร่ไหนดี ไร่ไหนไม่ดี และพระเอก ควรจะต้องแฝงตัวเข้าไปที่ไร่ไหน เพื่อให้ใกล้ตัวฆาตกรมากที่สุด
ผู้หญิงทั้งสองไร่คือ สมัน จากไร่สมันดง และบานชื่อ จากไร่บอระเพ็ด ต่างพยายามช่วยให้พระเอกได้เข้าทำงานในไร่ของตน
(มีการแฝงจุดเล็กๆที่การช่วยของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งพระเอกเอ่ยปาก ส่วนอีกฝ่าย เสนอตัวช่วยพระเอก ตามรูปแบบของการวางตัวเป็นนางเอกกับนางอิจฉา)
นางเอกคือสมันนั้น รู้อยู่แล้วว่าพระเอกพักที่ไหน อะไร ยังไง
ส่วนบานชื่นเพิ่งรู้ก็ในวันที่เสนอตัวจะช่วยให้พระเอกได้ทำงานในไร่ของตน
แล้วในคืนนั้น พระเอกก็ถูกลอบทำร้าย
ตามปกติ คนที่มีสัญชาตญาณของการสืบสวนสอบสวน
ก็จะต้องคิด ทบทวน และหาปม เพื่อดมกลิ่นต่อไป
แต่การกระทำเช่นนั้น กลับไม่ปรากฏขึ้นแต่อย่างใด
อีกทั้งควรจะต้องคิดว่า ในสองไร่ ควรจะเล็งไปที่ไร่ไหน แล้วหาทางเจาะเข้าไปอย่างมีเป้าหมาย
ไม่ใช่แค่เพียง ไร่ไหนก็ได้ ขอให้ได้เข้า แล้วค่อยหาเบาะแสอีกที
มันขัดกับความเป็นจริงมากเกินไป
ฉากการต่อสู้ในคืนที่พระเอกถูกลอบทำร้าย นางเอกมาช่วยไว้พอดี
และได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลที่หลัง
ด้วยการคิดแค่ผิวเผิน ก็น่าจะรู้ว่าควรจะสงสัยไร่ไหน
 คนร้ายมาได้อย่างไร รู้ว่าตนอยู่ที่ไหนได้เช่นไร  หนึ่งประเด็น
และถ้าคนร้ายเป็นคนของไร่สมันดง ไหนเลยจะกล้าทำร้ายสมัน ซึ่งเป็นที่รักของคนในไร่
ถ้าตัวละครนี้มีการขบคิด ก็คงจะรู้ว่า ถ้าอยากได้ตัวฆาตกรเร็วๆ
ควรจะแฝงตัวไปอยู่ไร่ไหน
แต่บทละครก็มิได้เป็นเช่นนั้น กลับทิ้งความสงสัยและหดหู่ใจให้กับผู้ชม
นี่คืออีกหนึ่งจุดที่ทำให้ตัวละครที่ควรมีเสน่ห์มากๆและเป็นตัวชูโรงของเรื่อง
ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควร
หรือถ้าจะไม่เป็นไปตามแนวทางที่จะสร้างฉากหรือสถานการณ์ให้พระเอกได้ใช้สมอง
ก็ไม่ควรมีร่องรอยใดๆให้ผู้ชมใช้สมองมากไปกว่าพระเอกได้
อาจจะเป็นไปในรูปของการที่พวกผู้ร้ายสืบรู้เองว่าพระเอกอยู่ที่ไหน หรือมีการวางแผนอะไรต่างๆ   บ้าง
ไม่ใช่มีเพียงสถานการณ์ให้พระเอกได้แสดงฝีมือชกต่อยและแสดงความเท่แค่เพียงการขี่มอเตอร์ไซค์เท่านั้น
มันขาดอรรถรสของการสร้างละครแนวนี้
หวังว่าเมื่อดูตอนต่อไป สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นน้อยลง
^^