9 ส.ค. 2554

หึง (ต่อ)

ยกเอาหลักจิตวิทยานู่นนี่นั่นมาปลอบใจตัวเองก็แล้ว
ลองทำตามที่เขาว่ากันว่า ไม่รู้กี่ว่าต่อกี่ว่า
ก็ยังไม่สามารถเอาชนะอารมณ์เทือกนี้ได้สักที

ความจริงก็รู้อยู่แล้วว่าอารมณ์ของเราเป็นอย่างไร
เกิดขึ้นเพราะอะไร
และเหล่าขั้นตอนที่นักจิตวิทยาเขาแนะนำให้ทำ
บอกว่าผ่านการทดลองมามากมาย
ก็เชื่อว่า หลายต่อหลายคน คงเคยทำมาแล้ว
รวมทั้งตัวฉันด้วย
ต่างกันแค่ ฉันไม่ได้ใช้ปากกาหรือดินสอเขียนลงในกระดาษเท่านั้น

ก็จะต้องเขียนให้มันสิ้นเปลืองทรัพยากรทำไม
เมมโมรี่ในสมองยังมีพื้นที่ว่างอีกเยอะแยะ
ให้ความคิดเบียดๆขี้เลื่อยเข้าไปบ้างก็ดี

ฉันหึง
ฉันรู้ตัวว่าหึง
แล้วฉันก็รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันจะหึง

ฉันอาจจะหึงเมื่อเขาพูดถึงใครสักคน
และอาจจะไม่หึงแม้ว่าเขากำลังเล่าเรื่องแฟนเก่าที่คบกันมานานปี

นั่นหมายความว่า...
ฉันไม่ได้ยึดติดกับสถานะเลยแม้เพียงสักนิด
ถ้าฉันจะหึง

มันก็คงมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่า
หัวใจของเขา..เคยมีผู้หญิงคนนั้น

อาจเพราะตัวฉัน เมื่อรักใครก็ยากที่จะสลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากใจได้
สุดท้าย ก็เอาคนอื่นมาเทียบกับตัวเอง
กลัวว่าเขา จะเป็นเฉกเช่นเดียวกัน

ฟังดูคล้ายไม่ยุติธรรมเลย
เขาจำเป็นต้องลบใครก็ตามที่เคยรัก
ออกไปให้หมดจากหัวใจ
ส่วนฉัน จะเหลือร่องรอยใดๆไว้ ก็ได้ เช่นนั้นหรือ

ฉันขอโยนความผิดให้กับการเกิดเป็นหญิง
ที่เขาว่ากันว่า เอาแต่ใจและไร้เหตุผลก็แล้วกัน

ฉันหึง
และรู้ตัวว่าหึง
เมื่อเขาจำเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้นได้
จำได้ว่าเธอเกิดวันที่เท่าไหร่ เดือน ปี อะไร
จำได้ว่าทำอะไรๆด้วยกันครั้งแรกเมื่อไหร่
..เอิ่ม ฉันหมายความทำนองว่า
ครั้งแรกที่กินข้าวด้วยกัน หรือ เดินกางร่วมตากฝนด้วยกัน
อะไรเทือกนี้ทำนองนี้

แล้วก็อดไม่ได้
ที่จะเปรียบเทียบว่า
แล้วเขาจำวันต่างๆของ"เรา" ได้แม่นยำเหมือนที่จำเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า

ฉันหึงเมื่อเขาพูดถึงผู้หญิงคนนั้น
ว่ามีอะไรที่เขาประทับใจ
เขารัก..ผู้หญิงคนนั้นเพราะอะไร
แล้วก็แน่นอน
ฉันก็เปรียบเทียบ..อีกตามเคย
แล้วฉันล่ะ..??

และก็น่าแปลก
ทุกครั้งที่มีคำถามนี้เกิดขึ้น
ความคิดและจิตใจของฉัน
มักเอนเอียงไปในทางที่ทำให้หัวใจตัวเองต้องปวดร้าว

ฉันไม่กล้านิยามตัวเองว่าเป็นคนอ่อนไหวหรือเซนซิทีฟหรอก

ฉันมักหลอกตัวเองว่า..ฉันเป็นคนเข้มแข็ง อยู่เสมอ

เมื่อฉันรักใคร
ฉันก็จะหึงเขา...

ฉันกลัวหรือไม่ หากว่าจะต้องสูญเสียเขาไป
ก็แน่นอน ใครๆก็กลัว...
ถูกต้องตามหลักจิตวิทยาไปหนึ่งข้อที่ว่า
ความหึงเกิดจากความกลัวการสูญเสีย

ฉันมีปมในวัยเด็กหรือไม่ จึงทำให้เกิดอารมณ์หึงแบบไร้เหตุผล
ความจริงฉันก็มีปัญหากับผู้เป็นพ่อ
แต่ไม่ใช่ในวัยเด็กที่จะเป็นปมฝังใจตามทฤษฎีของซิกมันต์ ฟรอยด์
และไม่ได้เป็นไปในทางถูกปฏิเสธหรือถูกทำให้กลายเป็นเด็กเก็บกดทางอามรณ์แต่อย่างใด
ประเด็นนี้...ตกไป

ฉันไม่หึงเวลาที่เขามองผู้หญิงคนอื่น
ไม่หึงเมื่อมีผู้หญิงเข้ามาหาเขา
ไม่หึงเมื่อพบว่าในโทรศัพท์เขามีรูปคู่กับใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก
ไม่หึงเมื่อสายรับเข้าเป็นเบอร์ใครซ้ำๆซึ่งแสดงว่า..คุยกันบ่อย

ฉันจะหึงก็ต่อเมื่อ
เขาเข้าไปหาผู้หญิงคนอื่น
เขาเก็บรูปผู้หญิงคนหนึ่งไว้ในโฟลเดอร์พิเศษที่ต้องคุ้ยอยู่นานกว่าจะหาเจอ
เขาคุยกับผู้หญิงคนนั้นโดยประวัติการโทรมันฟ้องว่า..เขาเป็นฝ่ายโทรไป

สรุปก็คือ..ฉันจะหึงหรือไม่
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมระหว่างเขากับเธอคนนั้น หรือพฤติกรรมของเธอแต่เพียงฝ่ายเดียว
ฉันหึง..เขา
ฉันหึงที่ท่าทางและการแสดงออกของเขา

และนั่นก็หมายความอีกด้วยว่า
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะเป็นอย่างไร
เขาอาจจะเคยเป็นแฟนกัน
หรือแม้กระทั่ง เขาอาจจะเคยนอนด้วยกัน
ฉันไม่สนใจหรอก

สิ่งที่ฉันสนใจก็คือ
เขาเคยรักใคร
รักมากแค่ไหน
แม้เขาจะบอกว่า...ผู้หญิงคนนั้น ไม่เคยรักเขาเลยก็ตาม




2 ความคิดเห็น:

  1. เราต้องเข้าถึงอารมณ์สำหรับเรื่องที่จะเขียนค่ะ
    เขียนเรื่องหึง
    เรยจำเป็นต้องทำตัวขี้หึง
    จริงๆแล้วเปล่านะ
    555

    ตอบลบ