20 ต.ค. 2554

เข้าค่าย

พรุ่งนี้ มีกำหนดต้องไปเข้าค่าย 4 วัน 3 คืน
TK Young writer รุ่น 3
ชื่อว่า ยัง ไรท์เตอร์
ยังได้ไปอยู่ เพราะอายุยังไม่เกิน
อาจจะเป็นค่ายยัง ค่ายสุดท้าย สำหรับชีวิตนี้แล้วก็ได้

เราชอบเข้าค่าย
มีค่ายอาราย เห็นชื่อน่าสนใจ ก็ไปหมด
เข้าค่ายมาก็พอสมควร
แต่ไม่กล้าพูดว่าเยอะ เพราะความจริง อาจมีคนเยอะกว่าเรา

บางสิ่งบางอย่าง ทำไป ทำมา
คิดว่าตัวเองทำเยอะแล้ว
แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
อาจเป็นว่า เราคิดไปเอง ลำพองตนไปเอง

เลยต้องพยายามลด
ลดอารายที่อาจทำให้ตัวเอง ดูตัวใหญ่เกินว่าความเป็นจริง

ผ่านพ้นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
ก้าวเข้าวัยทำงานเต็มตัว
แต่ยังคงเล็ง มอง ค้น คุ้ย หาลู่ทางที่จะกลับไป..

ไปเรียนอีกครั้ง เป็นนักศึกษาอีกครั้ง
แม้ครั้งต่อไป จะให้ความรุสึกไม่เหมือนครั้งก่อนๆก็ตาม

เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เราเชื่ออย่างนั้น

ไม่มีอะไรมากแล้ว ไม่มีอะไรพอแล้ว

เพราะการแสวงหาความรู้ คงไม่เหมาะ
ถ้าจะบอกว่าพอ โดยอ้างว่า รู้แล้ว
เรียนมาเยอะแล้ว
เช่นนั้น อาจเอาตัวไม่รอดก็ได้

เข้าค่ายครั้งนี้
ไม่ค่อยตื่นเต้น
จะว่าไป ก็แทบไม่มีความรุสึกอย่างนั้นเลย
หายไปไหนไม่ทราบได้

ตั้งใจว่าจะเข้าไปละลายพฤติกรรมตัวเอง
และดูดซับเอาพลัง และความฝัน
กลับมาอีกครั้ง
ไม่อยากให้ไฟที่เคยมี มอดดับไป ก่อนวัยอันควร

บางเวลาก็รู้สึกไม่ดี
ไม่อยากไป ในเวลาเช่นนี้
มีพี่ที่ทำงานชวนไปเป็นอาสาช่วยน้ำท่วมหลายที่
แต่ไม่ได้ไป ต้องปฏิเสธทุกคำเชิญชวน
เจ็บปวดอยู่เหมือนกัน
เวลาของวันหยุดยาว
เราอาจใช้เพื่อช่วยใครหลายๆคนได้
แต่เราก็เลือก แบบเห็นแก่ตัว
เลือกไปนอนโรงแรม ตักตวงความรู้
ทั้งที่รอบนอก แทบไม่มีที่ซุกหัวนอนกันแล้ว

มีพี่คนหนึ่ง ชื่อเอฟ
บ้านอยู่แถวดอนเมือง
เราเพิ่งได้คุยกับพี่เค้าเมื่อไม่กี่วันมานี้
ทั้งที่ทำงานมาก็ 5 เดือนแล้ว
อาจเพราะหน้าที่เราสองคน ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

พี่เอฟไปช่วยน้ำท่วม
ไปขนของที่บ้านพี่อีกคนที่นนท์
ไปเกือบทุกวัน เรียกให้ไป ไม่เคยปฏิเสธ
วันก่อน ชวนไปทำกระสอบทรายที่สายไหม
งานที่ผู้ว่ากทม อยากได้กระสอบทราย หนึ่งล้านสองแสนกระสอบนั่นแหละ
พี่เอฟถือเป็นผู้ชายตัวเล็ก
แต่ตั้งใจว่า จะไปทั้งคืน

เราก็อยากไปนะ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ
จึงไม่มีโอกาส ทำตามที่อยากทำ

วันนี้ มีข่าวว่าน้ำจะเข้าดอนเมืองแล้ว
พี่เอฟยังคงมาทำงาน แต่คุยโทรศัพท์ติดต่อที่บ้านตลอด
คืนนี้ พี่เอฟกลับบ้าน
เป็นการกลับไปนอนที่บ้านคืนแรก ในรอบหลายคืน
ที่ไปตระเวนช่วยน้ำท่วม
และได้ข่าวแว่วๆว่า พรุ่งนี้
ซึ่งเป็นคืนวันศุกร์ เขาก็จะไปตระเวนอีกทั้งคืน

ขอนับถือน้ำใจ..สุภาพบุรุษตัวเล็กๆ

เขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ
ในทุกอิริยาบถที่เราได้อยู่ใกล้ๆ
พูดไม่มาก ยิ้มไม่เยอะ
แต่ดูอบอุ่น และมีน้ำใจ


เก็บของมาบริจาค
มีเสื้อ 7 ตัว ซื้อใหม่
เป็นเสื้อตัวใหญ่ๆ เล็กๆ คละกันไป
กะให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
มีกางเกงชั้นในเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง และผู้หญิง
ผ้าอนามัย
ผ้าห่ม 2 ผืน
ผืนหนึ่งแม่ซื้อให้ตอนย้ายหอเมื่อครั้งขึ้นปี 3
อีกผืนเป็นสีทอง พระอาจารย์ที่เคยสอบอารมณ์ให้มา
เป็นของขวัญวันบวชชี

มีความทรงจำฝังลึกทั้งสองผืน
แต่ความทรงจำเหล่านั้น เก็บไว้ได้
ในใจ ไม่ได้ติดอยู่ที่ผ้าทั้งสองผืน
จึงตัดสินใจ เอาไปบริจาค
ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เขาคงหนาว
ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน
ไม่มีผ้าห่มคลุมกาย
ฝากพี่เอฟไปจัดการให้

เพราะเมื่อเที่ยงเอาไปที่จุดรับบริจาคของเทสโก้ โลตัส
เค้าไม่รับ
บอกว่า รับแต่ข้าวสารอาหารแห้ง
เลยต้องขนเครื่องนุ่งห่มกลับ

ฟากหนึ่งก็เข้าใจ ว่าประสานงานยาก จัดใส่ถุงยังชีพยาก
แต่อีกฟากหนึ่งของความคิดก็เถียง
แล้วผู้ประสบภัยเค้าไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่เปลี่ยนชั้นใน
ไม่ห่มผ้าเวลาหนาวกันรึยังไง

ปัจจัยสี่ ไม่ได้มีแค่อาหาร เพียงอย่างเดียวนี่นา

เอาเถอะ
เค้าไม่รับ ก็ไม่ได้ยัดเยียดให้ไปจัดการหรอก
เผลอๆอาจไม่ถึงมือผู้ประสบภัยตัวจริงด้วย
เสียของเปล่าๆ
คนสมัยนี้ ไว้ใจง่ายๆไม่ได้อีกแล้ว

แม้กระทั่งผู้ดูภายนอกเป็นคนดี
บางครั้งก็ไม่ได้ดี
อันนี้ ใครๆก็รู้
ถึงมีคำเตือนอยู่เสมอว่า อย่าดูคนแต่เพียงภายนอก
และอย่าดูสั้นๆ  ให้ดูกันนานๆ

ช่างเขาเถอะ ใครจะเป็นอะไร ยังไง ทำไม ก็ช่างเขา
เมื่อเขาไม่ใช่พ่อแม่ หรือญาติผู้มีพระคุณ ก็ปล่อยเขาไป
สักวัน ผลกรรมก็ตกแก่ตัวเขาเอง
เราแค่มอง แล้ววาง

ทำหน้าที่ของเราต่อไป
เดินตามฝันของเราต่อไป
ประคองตนของเราต่อไป ให้ถูกให้ควร
แค่นี้ก็เหนื่อย ก็ยากแล้ว

ไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน ก็อธิษฐานตลอด
เป็นคำอธิษฐานเดียว
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้แค่ปัจจุบัน นึกคำอธิษฐานอย่างอื่นไม่ออกเสียแล้ว

ทำบุญกับพระ ทำทานกับคน
ให้สมดุลทั้งศาสนาและมนุษยธรรม
พยายามไม่เลือก ไม่แบ่ง ไม่แยก ไม่ลดชั้น หรือเพิ่มขั้นให้ใคร สถาบันใด
ใครเอาซองมาฝาก ก็ใส่
มากน้อยตามแต่กำลัง
มีบ้างที่ดูวัตถุประสงค์
เขาเอาไปทำอะไร
เพื่อจะได้ตัดสินใจ ว่ามีอะไรที่สมควรทำมากกว่าหรือไม่
แต่ท้ายสุด เมื่อเจตนาเขาดี เราก็ร่วมอนุโมทนา

ไม่ได้คิด หรือชั่งใจ จากผู้ให้ซอง
คิดและไตร่ตรองจากวัตถุประสงค์เป็นหลัก
ผู้ส่งต่อบุญ อาจดูไม่ดี
ไม่ได้หมายความว่า ที่แห่งนั้น ไม่ดี ไม่คู่ควร
ในทางกลับ ก็เช่นกัน

เมื่อให้ ก็จะให้อย่างเต็มที่
พยายามให้เป็นเช่นนั้น จริงๆ

แต่เมื่ออยู่ในสถานะเป็นผู้ส่งต่อบ้าง
เขาจะร่วมอนุโมทนากับเรามากน้อย
ก็สุดแล้วแต่เขา

เรามีหน้าที่แค่ร่วมเผยแผ่
ไม่ใช่ขูดรีดเลือดเนื้อใคร
อย่าคิดมาก เมื่อคนที่เราชักชวน ไม่ได้ศรัทธาไปกับเรา
ดั่งที่เราคาดหวัง
เพราะต่างคน ต่างมีวิถีทางของตนเอง

เราอาจบรรจบกันบ้างในบางจุด
แต่ไม่ใช่ตลอดทั้งเส้นแน่นอน

ที่ๆเราไม่อยากไป
เป็นคนละที่กับที่ๆเราไม่กล้าไป

หากเราไม่กล้าไป แต่จำเป็นต้องไป สุดท้าย เราก็ต้องไป
แต่หากเราไม่อยากไป แม้จำเป็นต้องไป เราก็จะเลี่ยง ไปที่อื่น ซึ่งสนองความจำเป็นของเราได้

ที่ๆเรากลัว ตอนนี้ยังนึกไม่ออก ว่ามีที่ใด
แต่ที่ๆเราไม่อยากไป เกิดขึ้น
เพราะความรังเกียจ ขยะแขยง หลายๆสาเหตุ
หล่อหลอมให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี แม้เพียงแค่นึกถึง
นั่นจึงทำให้เรา เลือกที่จะไม่เข้าไป

เช่นเดียวกับที่เรา ไม่ชอบใคร ก็ให้ห่างผู้นั้นไว้
ปิดหู ปิดตา
แก้ที่เขาไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเรา

ที่นั่นยังคงอยู่ เราก็แค่ ต้องแก้ด้วยการไม่ไป
คนที่เราไม่ชอบ ของที่เราเกลียดชัง
เมื่อเขาหรือมันยังคงอยู่
เราก็ต้องมาขจัดออก ที่ใจเรา

ดีที่สุด

"
ขอให้บุญบารมีใดๆที่ลูกได้เคยกระทำทั้งในชาติปางก่อนและในชาตินี้
ช่วยปกปักษ์รักษาให้ลูกตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี
คิดดี พูดดี ทำดี
หากเมื่อใดที่ลูกจะคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
ก็โปรดช่วยเตือนสติ ช่วยหยุดยั้งลูก
ให้ลูกมีสัมมาทิฐิ อย่าให้ลูกเห็นผิดเป็นชอบเลย
สาธุ....
"

19 ต.ค. 2554

ซีโมนตอนเด็ก



ฉันเห็นเธอครั้งแรก แววตาเธอเหมือนจ้องมองฉัน
ท่ามกลางความวุ่นวาย ผู้คนพลุกพล่าน
เธอทำให้ฉันสงบนิ่ง
ท่ามกลางความเมื่อยล้า เหน็ดเหนื่อย หงุดหงิด สับสน
เธอทำให้ฉันยิ้มได้

ไม่ใช่ความขบขัน
ไม่ใช่การเยาะเย้ย
ฉันเอ็นดู
สงสารไหม ไม่น่านะ

ฉันอยากพบตัวจริงของเธอ
แต่ไตร่ตรองดูอีกที
ตอนนี้ เธอคงไม่ใช่หมาน้อย หน้าตาแบบนี้ อีกแล้ว

ฉันเฝ้ามองเธอ โดยไม่จินตนาการ
ไม่สนใจว่าแท้จริงแล้ว ณ ปัจจุบัน เธอคือใคร อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร

วินาทีที่ฉันใช้ร่วมกับเธอ
มีแค่ การประสานสายตา
และรับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการจ้องมอง
เท่านั้นเอง

แด่..ซีโมนตอนเด็ก
(ได้มาจากงานมหกรรมหนังสือ 2554 บูธสำนักพิมพ์คมบาง)

13 ต.ค. 2554

วันเกิด

วันนี้ พ่อโทมาแต่เช้า
"สุขสันต์วันเกิดลูกสาว"
น้องก็บอกเหมือนกัน
"Happy Birth  Day ค๊าบ"

ความจริง พ่อโทมาตั้งแต้ต้นเดือน
แฮปกันล่วงหน้าเสียยาวนาน
กลัวโดนแย่งที่หนึ่งกระมัง

แต่นั่น ก็เป็นกำลังใจ
ที่ยอดเยี่ยม ในยามอ่อนแอ

ช่วงนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเข้ามากระทบจิตใจ
ทั้งร่างกายก็ไม่แข็งแรง
แต่ก็เอาเถอะ ไม่ถึงตาย ก็สุู้กันไป

เดือนนี้ ทำบุญเยอะมาก ก็ช่วงกฐิน
อีกทั้งน้ำท่วม
ทำบุญจนกรอบ ตั้งแต่กลางเดือน
แต่ก็รู้สึกดี
ไม่ใช่ดีที่ไม่มีกิน
ดีที่ได้แบ่งคนอื่นกินบ้าง
คนอื่นเค้าลำบากกว่าเรา
ก็ช่วยๆกันไป
ไม่ได้ตั้งใจเอาบุญ
ตั้งใจช่วยคนให้พ้นทุกข์เสียมากกว่า

เอาบุญ ค่อยไปเอาอย่างอื่น
ที่ถูกที่ควร

วันนี้ มาออฟฟิศ
คนแฮปปี้เบิร์ดเดย์ตั้งแต่เช้า
และทั้งวัน
ไม่ค่อยได้งาน
เพราะมัวแต่ตอบเมลที่ส่งมาอวยพร
แล้วก็สนทนากันยาวไปด้วยเรื่องอื่นที่มีความสนใจร่วมกัน
หลายคน
หลายเมล
หลายเนื้อหา
แต่ก็ต้องขอบคุณ
ที่มีคนใส่ใจ
ไม่นึกว่าจะเยอะขนาดนี้
ทั้งที่วันเกิดของเค้าผ่านไป
ฉันก็ไม่ได้แฮปเค้าด้วยซ้ำ

ถือเป็นอีกวัน
ที่มีความสุข เมื่ออยู่ที่ทำงาน

ความจริง ฉันแทบไม่ได้สนใจ
เผลอๆบางปี ลืมไปเลยว่า
...เอ้า 13 ตุลาแล้วหรอ
เพราะโดยตัวมันเอง
13 ตุลา ไม่ได้สำคัญอะไร
แต่มันเป็นวันพิเศษกว่าวันอื่นขึ้นมาได้
ก็เพราะมีคนอื่น ทำให้ฉันรุสึกว่ามันพิเศษ

จะเป็นเช่นนั้นทุกปี
บางปี พิเศษจนรุสึกผิด
กับบางคน
ที่อวยพรให้ฉันทุกปี
แต่ไม่มีสักปี ที่ฉันจำวันเกิดเค้าได้

รุสึกผิดมันทุกปี แต่ก็ลืมมันทุกปี
นิสัยแย่ๆ ที่แก้ไม่หาย

ถึงอย่างไร ฉันก็ไม่ลืมหรอกนะ
ว่าใครจำวันเกิดฉันได้บ้าง
ใครที่ยืนมองฉันอยู่ห่างๆ
และเข้ามาใกล้เมื่อโอกาสอันเหมาะสมมาเยือน

ความจริง คนเหล่านั้น ก็หน้าเดิมๆ
มักเป็นคนที่พร้อมจะเข้ามา
เมื่อฉันมีปัญหา
หรือต้องการความช่วยเหลือ
มักเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างห่างๆ
ส่วนเปงห่วงด้วยไหม
อันนี้ก็ไม่ทราบ
แต่ก็ขอบคุณ
สำหรับความรุสึกดีๆ และการไม่ทอดทิ้ง

บางคน มาเป็นเวลาประจำเสมอ
คนที่จองเป็นคนแรก ก็มักเป็นคนแรก
คนที่จะจองเป็นคนสุดท้าย
ก็มักมาเป็นคนสุดท้าย
ไม่รุทำไม
มีหลายคน แย่งกันอยู่ตำแหน่งนี้

บางคน แข่งขันสูง ถึงขนาดล่วงหน้ามาเป็นสัปดาห์
บางคน ล่วงหน้ามาเป็นหลายวัน
ฉันก็อดขำไม่ได้
อารายจะขนาดนั้น

ของขวัญ
ไม่เคยคาดหวัง
ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
แต่ส่วนใหญ่จะได้
ไม่ใครก็ใคร

มีปีหนึ่ง ได้กินเค้ก 2 ก้อน
ดีที่เป็นเค้กไอติม กับเค้กปอนด์
ถ้ามาเป็นเค้กไอติมทั้งคู่
เอิ่มมมม...

อิ่มหนำสำราญกันไป
ช็อกโกแลตล้วนๆ
แต่น้ำหนักก็ไม่ขึ้นอยู่ดี

ปีนี้ กินเค้กไอติมไปแล้วหนึ่งก้อน
อิ่ม อร่อยดี
ขอบคุณพี่ๆและเพื่อนๆที่ทำงาน

ตอนแรก มีโปรแกรมกับคนรัก ว่าจะไปทะเล
ปรากฏว่าน้ำท่วม
โปรแกรมเลยล่มไปโดยปริยาย
ตอนนี้คิดโปรแกรมใหม่
อยากไปช่วยน้ำท่วม
กำลังดูข้อมูลจากพี่คนหนึ่งที่ส่งลิ้งค์มาให้
และกำลังคิดว่า ถ้าชวนคนรักไป
เค้าจะไปไหม
ปริ่มๆว่าอาจจะไม่ไป
(นี่ยังไม่ได้ชวน แค่เดาเอา)

วันเกิดปีนี้
ปวดหัวแต่เช้า
กินยาเม็ดแรกไม่หาย
ต้องกินตัวที่แรงขึ้น
ค่อยยังชั่ว

ได้การ์ดจากหัวหน้าที่น่ารักทั้งสอง
คนหนึ่งอวยพรขอให้แข็งแรงด้วย
ขอบคุณค่ะ หนูก็หวังว่าอย่างนั้น
ในการ์ดบอกอีกว่า
ของขวัญจะตามมาทีหลัง
อาจมาช้าหน่อย หวังว่าคงจะชอบ
ขอบคุณค่ะ

นั่งเปิดเมลเรื่อยๆ
ข้อความมาเรื่อยๆ
ตามประสา social network
บางคนก็ตั้งใจอวยพรจริงๆ
บางคนก็อวยไปงั้น
ตามกระแส social
แต่จะยังไง
ก็ขอบคุณ
อย่างน้อยก็อุส่าพิมพ์

บางคน
ทำให้หวนคิดถึงวันเก่าๆ
แต่มันก็แค่วันเก่าๆ
เท่านั้น
และทำให้ระลึกได้ว่า
สมัยมีโอกาส ทำไมไม่ทำ
แต่ก็นะ ขอบคุณอยู่ดี
ความตั้งใจที่เค้าทำให้
เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ

วันนี้ คิดถึงพ่อกับแม่มากที่สุด
ขอบคุณท่าน
ความจริง อยากกลับบ้าน
อยากฉลองกับพ่อแม่
คิดถึง



 

รัก

พ่อ แม่ น้องต้อน
ตา ยาย น้าหล้า ย่า ป้ามล ลุงโจ อาเปิ้ล
พี่อาร์ตี้
นุ่ม นิค แตงโม
เติ้ล
พี่กิต พี่เอฟ พี่แอน พี่ก้อง พี่กุ้ง อ โจ้ อ ต่าย
เบีย ทัน โจ๊ก แอน จ๊ะ พลอย
พี่เอ พี่กั๊ด พัดชา พี่เปิ้ล พี่เจี๊ยบ
พี่กบ พี่เป้ มุ้งมิ้ง พี่แอ๊บ
ฯลฯ





12 ต.ค. 2554

12 ตุลา

วันนี้ งานยุ่งมาก
แต่ถึงแม้วานจะยุ่งมาก ๆ
ในความคิด ก็ยังมีเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานเข้ามาวนเวียนได้อยู่
น่าแปลก

แต่เมื่อมาทบทวนดูอีกที
ก็คงไม่แปลกอะไร
ถ้าเรื่องที่วนเวียน เป็นเรื่องสำคัญ
หรือเกี่ยวกับคนสำคัญ

ฉันเคยพูดอยู่เสมอ ๆ
ว่าคนสำคัญในชีวิตฉัน มีแค่ไม่กี่คน
ให้ไล่ชื่อเรียงนาม
ก็เพียงแค่นิ้วมือ น่าจะเพียงพอ

แต่ถึงอย่างนั้น
มันน่าเจ็บใจ และสมเพชตัวเอง
ที่ไม่อาจดูแลคนสำคัญเหล่านั้นได้
ทั้ง ๆ ที่ก็มีไม่กี่คน

ความจริง ชีวิตเรา ต้องเลือกอยู่ตลอดเวลา
เหมือนที่วรากรณ์ สามโกเศศกล่าวว่า
"โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี"
เมื่อเราเลือกอย่างหนึ่ง
ต้องมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราสูญเสียเสมอ
ในทางเศรษฐศาสตร์เห็นเค้าเรียกกันว่า
"ค่าเสียโอกาส"

เมื่อฉันเลือกที่ให้เวลากับใคร
หรือดูแลใคร
ก็หมายความว่า เวลาที่ฉันอาจจะให้หรือควรให้
อีกคนหนึ่ง
ก็ต้องลดลงหรือขาดหายไป

และบางครั้งมันก็เจ็บปวด
เมื่อเห็นว่าเรา..บกพร่องต่อหน้าที่แค่ไหน
ใช้คำว่า "หน้าที่" ก็เพราะมันเป็นหน้าที่

ยามเมื่อเรารักใคร
หน้าที่ของเราก็คือดูแลเขาคนนั้น
ให้ดี

และว่ากันตามตรงก็คือ
ยังไม่เคยมีคนที่ฉันรักสักคน
บอกว่า..ฉันทำดีพอแล้ว

นี่คือปัญหา ที่เกิดขึ้นเรื่อยมา
เป็นกรรม ของคนที่เลือกจะรักคนหลายคน พร้อม ๆ กัน
แม้จะต่างฐานะกันก็ตาม

แม้ว่าใคร ๆ ก็มักจะต้องเจอกับปัญหานี้
แบบว่า..มีแฟนแล้วลืมเพื่อน
อยู่กับเพื่อนมากกว่าแฟน
แต่ให้ฉันเจออย่างนั้นจะดีกว่า

เพราะที่ผ่านมา มันไม่ใช่การเลือก
ระหว่างเพื่อนกับแฟน
ไม่ใช่การต้องคิด
ว่าเวลานี้จะให้แฟน หรือให้เพื่อน

หากแต่
มันคือการเลือก
ระหว่างคนที่รัก กับ คนที่รัก อีกคน

นั่นแหละ..น่าลำบาก

ถ้าเราต้องอยู่กับเพื่อน แฟนเราอาจน้อยใจ แต่เขาจะเข้าใจ
หรือถ้าเราต้องอยู่กับแฟน เพื่อนเราอาจแซว หรือด่าทอบ้าง
แต่เพื่อนก็เข้าใจ เพราะตัวมันเอง ก็เป็นเช่นเดียวกัน
เพื่อนกับแฟน จึงไม่มีใครต้องแทนที่ใคร
เพราะต่างก็อยู่ในมุมของตัวเอง
และไม่จำเป็นต้องเลือก
มีเพียงแค่การจัดสรรเวลาให้เหมาะสมเท่านั้น

แต่คนรัก กับ คนรัก
แม้เราจะอยู่กับเขาทั้งสองเท่า ๆ กัน
มันก็ยังคงไม่เท่ากันอยู่ดี

หรือแม้เราจะอยู่กับเขามากกว่า
แต่เมื่อเราไปอยู่กับคนรักอีกคน
มันก็เจ็บอยู่ดี

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักเดียวใจเดียว

แต่ทำอย่างไรได้
ความรักไม่เข้าใครออกใคร
มีใจเดียว ก็อาจไม่ได้มีแค่รักเดียว
นี่พูดถึงรัก ไม่ใช่สถานะ
สถานะเป็นเพียงเปลือกนอก
ที่เอามาใช้เป็นข้ออ้างในบางครั้ง
แต่ถ้าว่ากันถึงความรู้สึก
นั่นคือแก่นแท้
ที่ควรมองให้ลึกซึ้ง

ฉันไม่แปลกใจ ที่คนรักในสถานะแฟน
จะทำท่าหึงหวง เมื่อฉันอยู่กับคนรักอีกคน ซึ่งอยู่ในฐานเพื่อน
เพราะเค้าคงรู้ ว่าแท้จริงแล้ว
ความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร

ทำใจลำบาก
และยากยิ่ง

เป็นคนรักที่ทำตัวแย่ ๆ
ไม่รักษาคำพูด
ผิดสัญญา
ไม่ดูแล ไม่สน ไม่เอาใจใส่
เท่าที่ควรทำ

แล้วยังไงต่อดี
ควรจะมีคนรัก
หรือสมควรบอกว่ารักใครอีกหรือไม่
เมื่อฉันไม่อาจทำหน้าที่คนรักได้ดี
แม้เพียงสักนิด

อยากร้องไห้
แด่..ความไร้สรรถภาพของตนเอง

10 ต.ค. 2554

เลิกกลัว

เมื่อวันเสาร์ ไปทำบัตรประชาชน
แทนอันเก่าที่หาย
ไปสำนักงานเขตวัฒนา
ขึ้นรถเมล์สาย 38 ลงหน้า BTS ทองหล่อ
แล้วต่อรถเมล์น้อย 5.50 เข้าไปท้ายซอย
ไปถึงเกือบเที่ยง
เลยได้แค่เอาบัตรคิว แล้วรอไปใหม่ตอนบ่ายโมง

ประเด็นคือ ต้องหาที่ถ่ายเอกสารหนังสือรับรองวุฒิ
แล้วจะไปหาที่ไหน
เดินตั้งแต่ท้ายซอย
หน้าตึกลิเบอร์ตี้
มาถึงที่เดิมที่ลงรถสาย 38
เมื่อยมาก
ฝนตก
แต่ไม่ค่อยเปียก
ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ใจร้ายเกินไปนัก

ถ่ายเอกสาร ใบละ 2 บาท
ก็ยังดี

ขากลับ (เข้าไปท้ายซอยอีกรอบ)
ขึ้นรถเมล์น้อยเช่นเดิม
5.50
คราวนี้มีเศษ 50 สตางค์ให้กระเป๋า

นั่งข้างหลัง แถวยาวๆ
นั่งข้างผู้หญิงสองคน
มีที่ว่างอยู่อีก

สักพัก มีคนโบกรถ
ผู้หญิงที่นั่งด้านซ้าย
ขยับไปติดหน้าต่าง
ผู้หญิงที่นั่งด้านขวา
ทำเหมือนกัน แต่คนละด้าน
เหลือฉัน นั่งตรงกลาง ไม่ได้ขยับไปซ้าย หรือขวา

คนที่ขึ้นมา
แบกถุงดำ หัวยุ่ง เสื้อผ้าขาดวิ่น
ดีที่ปกปิดร่างกายได้อยู่บ้าง
เข้าใจ ว่าทำไมทั้งสองคน ถึงขยับ ไปฝั่งของตน
สร้างอาณาเขต
และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า
ที่ข้างๆพวกเธอ ไม่ได้มีไว้สำหรับชายคนนี้

เป็นไปตามความคาดหมาย
เขานั่งลงข้างๆฉัน
เพราะเป็นที่ว่าง และฉันไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
เขาจะนั่งก็นั่งได้
รถคันนี้ไม่ใช่ของฉัน

เขานั่ง ติดกับฉัน แต่ไม่ได้ชิดกันมาก
มีช่องว่าง ประมาณ 1 คืบ
เสื้อเค้าพัดตามแรงลมมาถูกแขนฉันบ้าง
ไม่เป็นไร

เหตุการณ์
ชวนให้นึกถึง
ครั้งหนึ่ง
ขึ้นรถเมล์กับคนรัก
ตำแหน่งเดียวกับที่ฉันนั่งบนรถคันนั้น

เขานั่งติดหน้าต่าง
ข้างๆเขาคือฉัน
ข้างๆฉันคือชายคนที่ไม่ต่างไปจากที่กำลังนั่งอยู่นี้
แต่คนนั้น น่ากลัวกว่านิดหน่อย
พูด บ่น หรือพึมพำอะไรสักอย่างด้วย
จำไม่ได้แล้ว
แต่ชายคนนี้ ไม่ได้พูดอะไร

จ่ายเงินให้กระเป๋ารถเมล์ด้วย
แต่จ่ายแค่ 5 บาท
กระเป๋าไม่ว่าอะไร
5 บาทก็ 5 บาท (มั้ง)

นึกถึงตอนนั้น ฉันกลัว
พลางนึกในใจ ถ้าเป็นคนอื่น คงเปลี่ยนที่ ให้ฉันไปนั่งข้างในแทน
แต่คนรักของฉัน นิ่ง
ไม่พูดอะไร ไม่ออกความเห็น
ไม่บอกให้ระวัง ไม่เขยิบก้นให้ฉันขยับหนีจากชายคนนั้น
แต่เขา..กุมมือฉันแน่น(ขึ้น)
จังหวะที่รถเลี้ยว
ฉันนั่งตัวเกร็ง
ไม่อยากเอนไปโดนตัวชายแปลกหน้า
แต่คนรักของฉัน..เกร็งกว่า
บีบมือ เกร็งแขน และดึงฉันไว้แน่น

จึงได้เข้าใจ
เค้าก็ห่วงเรา

พอชายคนนั้นลงจากรถ
คนรักก็ถาม
"รุไหม ทำไม่พี่ไม่เปลี่ยนที่กับแพรวา"

ครั้งนั้น..ฉันผ่านพ้นมาได้
ความจริง ไม่ได้รังเกียจ
ความแตกต่าง ความสกปรก หรืออะไรก็ตาม
ที่ปรากฏอยู่ภายนอกบุคลิกของชายคนนั้น
แต่ออกแนวกลัวซะมากกว่า

ผ่านพ้นความกลัวมาได้
ก็ไม่กลัวอีก

วันเสาร์ที่ผ่านมา
ฉันนั่งข้างชายที่เกือบทุกคนบนรถคงไม่อยากนั่งด้วย
แต่ฉัน..นั่งยิ้ม

คิดถึงคนรัก

ด้วยรัก

6 ต.ค. 2554

ท้าย ที่ สุด

หนีตามกาลิเลโอ

ต่อมสำนึกผิดถูก

ทำผิด

ยอมรับ

เราไม่ผิด?

ทุกคน

บางคน

หลายคน

ข้ออ้าง

แก้ตัว

ปกป้องตนเอง

แท้แล้ว..เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

คนประพฤติตนไม่ดี

แม้ไม่เดือดร้อนใคร

ก็ยังถูกตัดสินจากสังคม

และเป็นที่รังเกียจ

นับประสาอะไร

กับการเบียดเบียนผู้อื่น

ด้วยความคิดและนิสัยแย่ๆของตน

จะไม่มีใครมอง..ว่าน่ารังเกียจ

ความรัก

ความชัง

แยกจากกันได้หรือไม่

หากว่ามันมารวมอยู่ในคนเดียวกัน

รักก็คือรัก

ยังคงรัก

คงเหมือนสมัยเด็กๆ

ที่เพื่อนโกรธกัน ไม่คุยกัน เดินหนีกัน

เพราะอีกฝ่ายทำไม่ดี ทำตัวไม่เข้าท่า

แม้จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง

แต่ตอนนี้

โตขึ้น

พฤติกรรมเปลี่ยนไปบ้าง

ไม่ได้ไม่พูด ไม่เดินหนี และยังคงรัก

บางครั้ง

ก็เป็นเพียงอาการหูตาถูกขัด

ด้วยหลายๆสิ่งที่ไม่เหมาะสม

เกิดขึ้นจากใคร

วิพากษ์วิจารณ์

ตัดสิน

ทำได้เพียงแค่ในมุมที่สัมผัสเท่านั้น

ยังมีอีกหลายมุม หลายด้าน ของเขาคนนั้น

อาจเข้าท่า และเป็นคนดี

แต่อย่างไรก็ตาม

ส่วนดีหอมฟุ้ง ส่วนชั่วก็เน่าเหม็น

เช่นเดิม

ขี้บ่น

ตำหนิผู้อื่น

นินทากาเล

ไม่สมควร

เปลี่ยนจากนินทา มาเป็นตักเตือน

ซึ่งๆหน้า

กาล

เหตุผล

อ้างเอา

ทำได้จริง..ไม่จริง

ผู้อื่นทำผิด ทำแย่

ตำหนิติเตียน

ตนเองเผลอทำ

มีเหตุผลเสมอ

ไม่เหมือนกัน

มันแตกต่าง

เช่นนี้

ไม่เข้าท่า อีกเช่นกัน

ยอมรับ

ตัวตน

เลือกแล้ว รักแล้ว

ความรู้สึกไม่จืดจาง

แต่รัก

ไม่ได้ทำให้ต่อมสำนึก

พิการ หรือชำรุดเสียหาย

มันยังใช้ได้..

เหมือนเดิม

สิ่งเดียวที่เยียวยา

คือเวลา

ให้เวลาเป็นเช่นสายน้ำ

ที่ชะล้างความขุ่นมัว

แล้วสักวัน

จะกลับมาสดใสอีกครั้ง

รอวันนั้น

รัก

เหมือนเดิม


5 ต.ค. 2554

บางคน

บางคน..สอนให้รู้ว่า


อายุ..ไม่ใช่เครื่องยืนยันถึงความเป็นผู้ใหญ่


ไม่ได้บ่งบอกว่าผู้นั้นจะมีความเที่ยงธรรม


และไม่หมายความว่า..ประสบการณ์จะทำให้ความคิด..ลึกซึ้ง

บางคน..สอนให้รู้ว่า


แม้พยายามทำบุญสุนทาน แสดงตนเป็นพุทธศานิกชน


เข้าวัดเข้าวา


แต่นั่น..ไม่ได้หมายความผู้นั้นจะเป็นคนดี


ไม่ได้ชี้ว่า เขาจะไม่ทำบาปทำชั่ว


และไม่ได้แปลว่า เขาจะมีความคิด เฉพาะในทางกุศลกรรม

บางคน...สอนให้รู้ว่า


เแม้เรียนจบมาได้เป็นบัณฑิตจากสถาบันมีชื่อ


ก็ไม่ได้หมายความว่า..ความคิดจะถูกบ่มเพาะอย่างละเอียดลออ


ไม่ได้หมายความว่า ผู้นั้นจะมีปัญญา...และทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง


รวมทั้งผู้อื่น..ได้อย่างที่ควรจะเป็น


บัณฑิตที่โง่เขลาและเห็นแก่ตัว


มีความคิดอันต่ำต้อย


ยังมีอีกถมเถไป


ดังที่เคยได้ยินมาว่า


บัณฑิตมิได้หมายถึงผู้เรียนจบและมีใบปริญญาแปะไว้ที่ฝาบ้าน


ท่าทางจะจริง


ผู้ใดยังไม่สามารถดำรงตนให้เป็นผู้สว่างด้วยปัญญาได้


ก็อย่าริอ่าน..สอนให้คนอื่นดำเนินตามรอยทางแห่งตนเลย


อนาคตของชาติ จะล่มจมเสียเปล่า ๆ

บางคน..สอนให้รู้ว่า


เราจงมีความกล้าหาญ


กล้าที่จะยืนเคียงข้างความถูกต้อง


กล้าที่จะพูดและชี้ว่า สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งไม่ดี


เป็นความชั่ว และไม่ควรกระทำ


เรารู้อยู่แก่ใจ เมื่อเห็นสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น


แต่แค่รู้อย่างเดียว..เพียงพอแล้วหรือ


การนิ่งเฉยต่อความอยุติธรรม ความเห็นแก่ตัว


ที่ยืนจังก้าอยู่ต่อหน้า


แท้แล้ว..ก็เป็นแค่ความขลาดหวาดกลัว


กลัวการสูญเสียความสัมพันธ์


กลัวที่จะต้องพูด


กลัวการชักสีหน้า การทะเลาะ ความไม่พึงพอใจ


และอาจมีสิ่งอื่นใดที่ทำให้กลัว


นอกเหนือจากที่กล่าวมา


แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด


หากเพิกเฉยต่อการเผชิญหน้าที่จะกล่าวว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก


ทำได้เพียงเหลียวหลังไปมอง เมื่อสิ่งเหล่านั้นวิ่งผ่านพ้นไป


นั่นก็เป็นแค่...ความขี้ขลาด

บางคน...สอนให้รู้ว่า


ความโกรธ และเกลียดชัง เป็นสิ่งบั่นทอนจิตใจ


และเราควรต้องเข้มแข็ง


มีได้ แต่อย่าเอา


ดังเมื่อมีลูกศิษย์ถามว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม"


คำตอบของหลวงปู่่ดูลย์ อตุโล คือ


"มี แต่ไม่เอา"


สาธุ

...

สลัดทิ้งเสียซึ่งความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์หรือโกรธเคืองผู้ใด


เพราะนั่นเป็นการเผาและทำลายใจของตนเอง


บางคน..ทำให้ฉันคิดได้เช่นนั้น

น่ารังเกียจ

ความอยุติธรรม

ความเห็นแก่ตัว

ความขี้ขลาด

เหล่านี้เป็นคุณสมบัติอยู่ในกมลสันดานของผู้ใด

ผู้คนเหล่านั้น ... น่ารังเกียจ