20 ต.ค. 2554

เข้าค่าย

พรุ่งนี้ มีกำหนดต้องไปเข้าค่าย 4 วัน 3 คืน
TK Young writer รุ่น 3
ชื่อว่า ยัง ไรท์เตอร์
ยังได้ไปอยู่ เพราะอายุยังไม่เกิน
อาจจะเป็นค่ายยัง ค่ายสุดท้าย สำหรับชีวิตนี้แล้วก็ได้

เราชอบเข้าค่าย
มีค่ายอาราย เห็นชื่อน่าสนใจ ก็ไปหมด
เข้าค่ายมาก็พอสมควร
แต่ไม่กล้าพูดว่าเยอะ เพราะความจริง อาจมีคนเยอะกว่าเรา

บางสิ่งบางอย่าง ทำไป ทำมา
คิดว่าตัวเองทำเยอะแล้ว
แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
อาจเป็นว่า เราคิดไปเอง ลำพองตนไปเอง

เลยต้องพยายามลด
ลดอารายที่อาจทำให้ตัวเอง ดูตัวใหญ่เกินว่าความเป็นจริง

ผ่านพ้นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
ก้าวเข้าวัยทำงานเต็มตัว
แต่ยังคงเล็ง มอง ค้น คุ้ย หาลู่ทางที่จะกลับไป..

ไปเรียนอีกครั้ง เป็นนักศึกษาอีกครั้ง
แม้ครั้งต่อไป จะให้ความรุสึกไม่เหมือนครั้งก่อนๆก็ตาม

เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เราเชื่ออย่างนั้น

ไม่มีอะไรมากแล้ว ไม่มีอะไรพอแล้ว

เพราะการแสวงหาความรู้ คงไม่เหมาะ
ถ้าจะบอกว่าพอ โดยอ้างว่า รู้แล้ว
เรียนมาเยอะแล้ว
เช่นนั้น อาจเอาตัวไม่รอดก็ได้

เข้าค่ายครั้งนี้
ไม่ค่อยตื่นเต้น
จะว่าไป ก็แทบไม่มีความรุสึกอย่างนั้นเลย
หายไปไหนไม่ทราบได้

ตั้งใจว่าจะเข้าไปละลายพฤติกรรมตัวเอง
และดูดซับเอาพลัง และความฝัน
กลับมาอีกครั้ง
ไม่อยากให้ไฟที่เคยมี มอดดับไป ก่อนวัยอันควร

บางเวลาก็รู้สึกไม่ดี
ไม่อยากไป ในเวลาเช่นนี้
มีพี่ที่ทำงานชวนไปเป็นอาสาช่วยน้ำท่วมหลายที่
แต่ไม่ได้ไป ต้องปฏิเสธทุกคำเชิญชวน
เจ็บปวดอยู่เหมือนกัน
เวลาของวันหยุดยาว
เราอาจใช้เพื่อช่วยใครหลายๆคนได้
แต่เราก็เลือก แบบเห็นแก่ตัว
เลือกไปนอนโรงแรม ตักตวงความรู้
ทั้งที่รอบนอก แทบไม่มีที่ซุกหัวนอนกันแล้ว

มีพี่คนหนึ่ง ชื่อเอฟ
บ้านอยู่แถวดอนเมือง
เราเพิ่งได้คุยกับพี่เค้าเมื่อไม่กี่วันมานี้
ทั้งที่ทำงานมาก็ 5 เดือนแล้ว
อาจเพราะหน้าที่เราสองคน ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

พี่เอฟไปช่วยน้ำท่วม
ไปขนของที่บ้านพี่อีกคนที่นนท์
ไปเกือบทุกวัน เรียกให้ไป ไม่เคยปฏิเสธ
วันก่อน ชวนไปทำกระสอบทรายที่สายไหม
งานที่ผู้ว่ากทม อยากได้กระสอบทราย หนึ่งล้านสองแสนกระสอบนั่นแหละ
พี่เอฟถือเป็นผู้ชายตัวเล็ก
แต่ตั้งใจว่า จะไปทั้งคืน

เราก็อยากไปนะ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ
จึงไม่มีโอกาส ทำตามที่อยากทำ

วันนี้ มีข่าวว่าน้ำจะเข้าดอนเมืองแล้ว
พี่เอฟยังคงมาทำงาน แต่คุยโทรศัพท์ติดต่อที่บ้านตลอด
คืนนี้ พี่เอฟกลับบ้าน
เป็นการกลับไปนอนที่บ้านคืนแรก ในรอบหลายคืน
ที่ไปตระเวนช่วยน้ำท่วม
และได้ข่าวแว่วๆว่า พรุ่งนี้
ซึ่งเป็นคืนวันศุกร์ เขาก็จะไปตระเวนอีกทั้งคืน

ขอนับถือน้ำใจ..สุภาพบุรุษตัวเล็กๆ

เขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ
ในทุกอิริยาบถที่เราได้อยู่ใกล้ๆ
พูดไม่มาก ยิ้มไม่เยอะ
แต่ดูอบอุ่น และมีน้ำใจ


เก็บของมาบริจาค
มีเสื้อ 7 ตัว ซื้อใหม่
เป็นเสื้อตัวใหญ่ๆ เล็กๆ คละกันไป
กะให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
มีกางเกงชั้นในเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง และผู้หญิง
ผ้าอนามัย
ผ้าห่ม 2 ผืน
ผืนหนึ่งแม่ซื้อให้ตอนย้ายหอเมื่อครั้งขึ้นปี 3
อีกผืนเป็นสีทอง พระอาจารย์ที่เคยสอบอารมณ์ให้มา
เป็นของขวัญวันบวชชี

มีความทรงจำฝังลึกทั้งสองผืน
แต่ความทรงจำเหล่านั้น เก็บไว้ได้
ในใจ ไม่ได้ติดอยู่ที่ผ้าทั้งสองผืน
จึงตัดสินใจ เอาไปบริจาค
ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เขาคงหนาว
ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน
ไม่มีผ้าห่มคลุมกาย
ฝากพี่เอฟไปจัดการให้

เพราะเมื่อเที่ยงเอาไปที่จุดรับบริจาคของเทสโก้ โลตัส
เค้าไม่รับ
บอกว่า รับแต่ข้าวสารอาหารแห้ง
เลยต้องขนเครื่องนุ่งห่มกลับ

ฟากหนึ่งก็เข้าใจ ว่าประสานงานยาก จัดใส่ถุงยังชีพยาก
แต่อีกฟากหนึ่งของความคิดก็เถียง
แล้วผู้ประสบภัยเค้าไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่เปลี่ยนชั้นใน
ไม่ห่มผ้าเวลาหนาวกันรึยังไง

ปัจจัยสี่ ไม่ได้มีแค่อาหาร เพียงอย่างเดียวนี่นา

เอาเถอะ
เค้าไม่รับ ก็ไม่ได้ยัดเยียดให้ไปจัดการหรอก
เผลอๆอาจไม่ถึงมือผู้ประสบภัยตัวจริงด้วย
เสียของเปล่าๆ
คนสมัยนี้ ไว้ใจง่ายๆไม่ได้อีกแล้ว

แม้กระทั่งผู้ดูภายนอกเป็นคนดี
บางครั้งก็ไม่ได้ดี
อันนี้ ใครๆก็รู้
ถึงมีคำเตือนอยู่เสมอว่า อย่าดูคนแต่เพียงภายนอก
และอย่าดูสั้นๆ  ให้ดูกันนานๆ

ช่างเขาเถอะ ใครจะเป็นอะไร ยังไง ทำไม ก็ช่างเขา
เมื่อเขาไม่ใช่พ่อแม่ หรือญาติผู้มีพระคุณ ก็ปล่อยเขาไป
สักวัน ผลกรรมก็ตกแก่ตัวเขาเอง
เราแค่มอง แล้ววาง

ทำหน้าที่ของเราต่อไป
เดินตามฝันของเราต่อไป
ประคองตนของเราต่อไป ให้ถูกให้ควร
แค่นี้ก็เหนื่อย ก็ยากแล้ว

ไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน ก็อธิษฐานตลอด
เป็นคำอธิษฐานเดียว
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้แค่ปัจจุบัน นึกคำอธิษฐานอย่างอื่นไม่ออกเสียแล้ว

ทำบุญกับพระ ทำทานกับคน
ให้สมดุลทั้งศาสนาและมนุษยธรรม
พยายามไม่เลือก ไม่แบ่ง ไม่แยก ไม่ลดชั้น หรือเพิ่มขั้นให้ใคร สถาบันใด
ใครเอาซองมาฝาก ก็ใส่
มากน้อยตามแต่กำลัง
มีบ้างที่ดูวัตถุประสงค์
เขาเอาไปทำอะไร
เพื่อจะได้ตัดสินใจ ว่ามีอะไรที่สมควรทำมากกว่าหรือไม่
แต่ท้ายสุด เมื่อเจตนาเขาดี เราก็ร่วมอนุโมทนา

ไม่ได้คิด หรือชั่งใจ จากผู้ให้ซอง
คิดและไตร่ตรองจากวัตถุประสงค์เป็นหลัก
ผู้ส่งต่อบุญ อาจดูไม่ดี
ไม่ได้หมายความว่า ที่แห่งนั้น ไม่ดี ไม่คู่ควร
ในทางกลับ ก็เช่นกัน

เมื่อให้ ก็จะให้อย่างเต็มที่
พยายามให้เป็นเช่นนั้น จริงๆ

แต่เมื่ออยู่ในสถานะเป็นผู้ส่งต่อบ้าง
เขาจะร่วมอนุโมทนากับเรามากน้อย
ก็สุดแล้วแต่เขา

เรามีหน้าที่แค่ร่วมเผยแผ่
ไม่ใช่ขูดรีดเลือดเนื้อใคร
อย่าคิดมาก เมื่อคนที่เราชักชวน ไม่ได้ศรัทธาไปกับเรา
ดั่งที่เราคาดหวัง
เพราะต่างคน ต่างมีวิถีทางของตนเอง

เราอาจบรรจบกันบ้างในบางจุด
แต่ไม่ใช่ตลอดทั้งเส้นแน่นอน

ที่ๆเราไม่อยากไป
เป็นคนละที่กับที่ๆเราไม่กล้าไป

หากเราไม่กล้าไป แต่จำเป็นต้องไป สุดท้าย เราก็ต้องไป
แต่หากเราไม่อยากไป แม้จำเป็นต้องไป เราก็จะเลี่ยง ไปที่อื่น ซึ่งสนองความจำเป็นของเราได้

ที่ๆเรากลัว ตอนนี้ยังนึกไม่ออก ว่ามีที่ใด
แต่ที่ๆเราไม่อยากไป เกิดขึ้น
เพราะความรังเกียจ ขยะแขยง หลายๆสาเหตุ
หล่อหลอมให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี แม้เพียงแค่นึกถึง
นั่นจึงทำให้เรา เลือกที่จะไม่เข้าไป

เช่นเดียวกับที่เรา ไม่ชอบใคร ก็ให้ห่างผู้นั้นไว้
ปิดหู ปิดตา
แก้ที่เขาไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเรา

ที่นั่นยังคงอยู่ เราก็แค่ ต้องแก้ด้วยการไม่ไป
คนที่เราไม่ชอบ ของที่เราเกลียดชัง
เมื่อเขาหรือมันยังคงอยู่
เราก็ต้องมาขจัดออก ที่ใจเรา

ดีที่สุด

"
ขอให้บุญบารมีใดๆที่ลูกได้เคยกระทำทั้งในชาติปางก่อนและในชาตินี้
ช่วยปกปักษ์รักษาให้ลูกตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี
คิดดี พูดดี ทำดี
หากเมื่อใดที่ลูกจะคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
ก็โปรดช่วยเตือนสติ ช่วยหยุดยั้งลูก
ให้ลูกมีสัมมาทิฐิ อย่าให้ลูกเห็นผิดเป็นชอบเลย
สาธุ....
"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น