31 พ.ค. 2556

การประท้วงของตัวเอง


วันนี้ มีอาการหลายอย่าง

เกิดขึ้นแก่ร่างกาย

คล้ายๆ การนัดหยุดงานประท้วง

"มรึงใช้งานกรูหนักไปแล้ว"



เจ้าหัว... เออ กรูเหนื่อยละ ใช้กรูทั้งกลางวันกลางคืน

วันนี้กรูจะปวด มรึงหยุดใช้กรูบัดเดี๋ยวนี้



เจ้าตาร่วมสมทบ

เออ มันก็ใช้กรูหนักเหมือนกัน

นี่ขนาดกรูไม่สมประกอบนะเนี่ย

แมร่ง

วันนี้กรูปวดด้วย  มรึงหยุดใช้กรูด้วยบัดเดี๋ยวนี้



เจ้าขาไม่น้อยหน้า

เออๆ

เนี่ย มันเอาแต่เดินๆ งกค่ารถ งกนู่นนี่นั่น

เดินไปเดินมาตลอด ตลอด

วันนี้ กรูก็จะปวดด้วย



เจ้าหลังไม่ยอมแพ้

พวกแกน่ะ หลบไปเลย

กรูเนี่ยหนักสุด

แมร่ง นั่งทั้งวัน

ขนาดกรูปวดให้มันรู้สึกทุกวันๆ

ปวดมากขึ้นๆ

มันก็ยังไม่วาย นั่งอยู่หน้าไอ้จอสี่เหลี่ยมอยู่นั่น

วันนี้แหละ กรูจะปวดสุดๆ ซะให้เข็ด




อ้าว วันนี้พวกแกมาประท้วงอะไรกันเนี่ย

ชุมนุมกันใหญ่เชียว เสียงเซ็งแซ่สุดๆ




อ้าว แกก็มาด้วยหรอ ไอ้ขั้วปอด

ไม่เจอกันนานเลย

นึกว่าแกหายไปแล้วนะเนี่ย


ฮ่าๆๆ ยังหรอก ฉันก็ยังอยู่นี่แหละ

แต่ขี้เกียจๆ สะกิดเขาน่ะ

แต่วันนี้ไม่ไหว เล่นนั่งพิมพ์อะไรก็ไม่รู้ทั้งวัน

ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าถ้าทำอย่างนั้นนานๆ

อาการฉันจะกำเริบ

และถ้าฉันกำเริบขึ้นมา มันจะยุ่ง

วันนี้ฉันเลยมาเตือนสติเขาหน่อยน่ะจ้า




เออ ดีเลย

มา..วันนี้

พวกเราเหล่ามาชุมนุม...

เอ้า..เฮ

เอ้า..ไอ้ไข้ มาไวๆ

ไอ้เวียนหัวด้วย ให้เร็วๆ

มาๆๆ

.
.
.

โอเคๆ เรายอมแล้ว

วันนี้เราหยุดใช้งานพวกเธอหนักๆ 1 วัน

พ่วงเสาร์อาทิตย์นี้ด้วยดีไหมจ๊ะ


เดี๋ยวเราพาไปสูดอากาศสดชื่นๆ นะ

จะพาไปนั่งที่สวนสาธารณะ

จะนอนให้เยอะๆ

จะดื่มน้ำให้เพียงพอ

จะกินอาหารอร่อยๆ ให้อิ่มจนพุงกางเลย

เราขอโทษนะ

เราดูแลพวกเธอไม่ดีเลย

แต่ถึงยังไง

เราก็รักพวกเธอนะ




วันนี้ เราพักผ่อนด้วยเพลงเก่าที่คุ้นเคยกันดีกว่า

Loving You..Kenny G




ด้วยรัก

แพรวา


และฉันก็ไม่ได้โกรธ..??


นอนไม่หลับ

อาการเช่นนี้

ข้าพเจ้ามีไม่บ่อยนัก

และจะมีขึ้น ก็เนื่องมากจากสาเหตุเดียว




นอนไม่หลับ

ข้าพเจ้าทำอะไรเมื่อนอนไม่หลับ

หากไม่อ่านหนังสือ ก็คงนั่งครุ่นคิด

ฟุ้งซ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย



วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้า

เปียกนิดหน่อย

แต่ใส่เสื้อแขนสั้นไปทำงาน

และไม่มีเสื้อแขนยาว

เนื่องจากฝนตก อากาศข้างนอกครึ้มๆ

อากาศภายในตึกของวันนี้

จึงเย็นมาก

สำหรับข้าพเจ้า




นั่งตัวสั่น มือม่วง และง่วงทั้งวัน

เพราะหนาว

หนาวแล้วจะเพลีย

หัวจะตื้อๆ หายใจจะไม่คล่อง



ตอนเย็น  ฝนก็ตกอีก

เปียกนิดหน่อย

ตากลม โดนฝน โดนฝุ่น

เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว



แต่ข้าพเจ้าไม่กินยา

ไม่มีการกินยากันไว้ นานพอสมควรแล้ว

ข้าพเจ้าไม่อยากกินยาอีกแล้ว

เพราะชีวิต รู้สึกว่า

ได้นำสิ่งแปลกปลอมจำพวกนี้

เข้าสู่ร่างกาย ในปริมาณที่มากเกินไปแล้ว




วันนี้ อารมณ์หม่นหมอง

มีหงุดหงิดบ้าง

แปรปรวนง่ายว่างั้น


ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฮอร์โมนของร่างกายที่ไม่ปกติ

ทำให้หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆ ที่พบเจอได้ง่าย

และมีอารมณ์ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้น

ในระดับรุนแรงกว่าปกติ



ให้ชวนสงสัยว่า

แท้แล้ว

ข้าพเจ้าโกรธเคือง เศร้า เสียใจ

เพราะฮอร์โมน

หรือเพราะอะไร



หากไม่ใช่ช่วงนี้

ข้าพเจ้าจะเป็นเช่นนี้หรือไม่

เมื่อเจอเหตุการณ์เดียวกัน

ข้าพเจ้าจะรู้สึกอย่างเดียวกัน

หรืออาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง





คืนนี้ ข้าพเจ้าไม่อยากนอน

อยากฟังเสียงฟ้าร้อง

อยากฟังเสียงฝนสาดกระหน่ำลงมา

แต่ฝนคงเหนื่อยเกินกว่าจะรวบรวมพลังควบแน่นหนักๆ

และกลายเป็นฝน



ข้าพเจ้าได้ยินฟ้าร้อง

เสียงหมาหอน

เสียงรถแล่น

ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงตัวเอง

ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงใคร



ข้าพเจ้าอยากคุยกับใครสักคน

แต่แปลกที่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า

ข้าพเจ้าอยากคุยกับใคร



ข้าพเจ้ารักคนรัก

แต่แปลกที่ตอนนี้

ข้าพเจ้าไม่อยากรักอีกต่อไป



มันเป็นสภาวะเปลี่ยนแปลงไปมาของอารมณ์

ที่ยากแก่การควบคุม

เรารักสุดหัวใจ

และเกลียดสุดหัวใจได้ดุจกัน



เมื่อหัวค่ำ

ข้าพเจ้าฟังเพลงบนรถเมล์

รู้สึกคิดถึงคนรักขึ้นมาจับใจ

ฟังเพลงไหนๆ ก็มีแต่ความทรงจำระหว่างเรา



ข้าพเจ้าลงรถเมล์

กดโทรศัพท์

เขาจะนอนแล้ว

ข้าพเจ้าอยากบอกเขาว่า

คุยกับข้าพเจ้าสักแป๊บ

อยู่เป็นเพื่อนตอนข้าพเจ้าเดินเข้าหอ

เหมือนทุกๆ ครั้งที่ข้าพเจ้ากลับดึก

แต่ข้าพเจ้าไม่ได้พูดออกไป

เมื่อเขาบอกว่ากำลังจะนอน

ข้าพเจ้าก็ให้เขาไปนอน




เมื่อตอนดึก

ข้าพเจ้าเล่นเฟสบุ๊ค

เล่นไปเล่นมา ก็ไปเห็นว่าเขากดถูกใจรูปภาพและสเตตัสสาวสวย

นั่นไง

ประเด็นเดิมอีกแล้ว

มาอีกแล้ว

เรื่องราวเดิมๆ ความรู้สึกเดิมๆ


อันที่จริง จะเจอก็ไม่แปลก

เมื่อการกระทำ ไม่ได้เปลี่ยน

อยู่ที่ว่า ข้าพเจ้าจะเห็นหรือไม่ ก็เท่านั้น


และยิ่งกว่าการเห็นก็คือ

ข้าพเจ้าใส่ใจ และรู้สึกกับสิ่งที่เห็นนั่นไหม





ค่ำคืนนี้

ข้าพเจ้าอยู่ลำพัง

ข้าพเจ้าอยากอยู่ลำพัง

เหมือนเช่นทุกๆ ครั้ง ที่ความเจ็บปวดมาเยือน




สวัสดีสหายเก่า

เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง

คืนนี้ เรายกให้เจ้า

ทักทายปราศรัย ขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ได้เต็มที่

แค่ปราณีเราบ้าง สักนิดก็พอ



หนึ่งเพลง เข้าบรรยากาศ

U Got Me


บทบริภาษคนรัก




ครุ่นคิดก่อนนอน


1. เมื่อต้องเจอเรื่อง Sensitive ที่สามารถทำร้ายเราได้อย่างรุนแรง..ครั้งแล้วครั้งเล่า

ถ้าพูดคุยกันดีๆ ก็แล้ว..โกรธกันก็แล้ว..ยังไม่วายเกิดขึ้นหรือมีให้เห็นอยู่ร่ำไป

ทางเลือกที่ทำได้เพื่อรักษาใจเราอย่างถาวรก็คือ..

ปล่อยวางสิ่งที่เขาคนนั้นกระทำ..แต่ถ้าทำไม่ได้ วิธีที่ง่ายกว่านั้นก็คือ

ปล่อยคนที่กระทำสิ่งนั้นไปซะ!!



2. ผู้หญิงอย่าหยุดสวย อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เป็นป้าเพิ้งมากนัก..หึๆ

โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยังไม่มีคนรัก หรือแม้ผู้หญิงที่มีคนรักแล้ว แต่คนรักยังกดถูกใจเพจสมาคมนิยมสาวสวย สาวลาว สาวเกาหลี สาวเซ็กซี่ หรือแอดเฟรนด์สาวน่ารักๆ อยู่เสมอ

เพราะนั่นหมายความว่า ต่อให้เขาบอกเราว่าไม่ต้องสวย ไม่ต้องแต่งเยอะ..แต่ในใจเขาก็ยังปรารถนาอาหารหูอาหารตาอยู่นั่นเอง

ก็เลือกเอา ว่าจะสวยให้เขาดู หรือให้เขาไปดูคนสวยคนอื่นๆ

แต่ถ้าเป็นข้าพเจ้า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอย่างหลัง

ไปๆ เสียเถิด อยากดูอะไรก็ดู อยากไปไหนก็ไป

ข้าพเจ้าไม่เสียเวลามาประทินโฉมเพื่อมัดใจใครเช่นนั้นแน่นอน

จะปรารถนาก็จงปรารถนาที่หัวใจ และจงปรารถนาข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ข้าพเจ้าจะสวยเพียงเท่านี้

จะไม่แต่งหน้าหนา หรือมีเครื่องสำอางไปมากกว่านี้

จะไม่ทำสีผม จะไม่ดัดผม จะไม่พิมพ์นิยม ไม่ติดขนตาปลอม ไม่เสริมดั้ง ไม่ทำอะไรทั้งนั้น

ที่จะทำให้ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยกับตัวเอง

ถ้าคนรักของข้าพเจ้าอยากจะมองดูผู้หญิงที่มีลักษณะเช่นนั้น

ก็จงไปมองคนอื่นเสีย

อย่าได้มามองข้าพเจ้า



ถ้าเป็นเมื่อก่อน

ข้าพเจ้าอาจอนุญาตให้คนที่อยู่ในฐานะคนรัก ได้มอง ได้เข้าใกล้ ให้เขาได้ดูอย่างที่เขาอยากจะดู

และในขณะเดียวกัน

ข้าพเจ้าก็จะอนุญาตให้ตัวเองทำเช่นนั้นเหมือนกัน

ด้วยคติที่ว่า You can..I can

และข้าพเจ้าก็มักจะทำเกินเลยกว่าที่เขาทำเสียด้วย

เพราะมันจะไม่ใช่แค่การดู หรือกดถูกใจในโลกเสมือนจริง

โลกจริงๆ ข้าพเจ้าก็อาจไปเข้าใกล้คนอื่น ไปมองคนอื่นใกล้ๆ

ให้รู้แล้วรู้รอด




แต่ด้วยปัจจุบันนี้

ข้าพเจ้าเหนื่อย

และไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้นอีกต่อไป

ข้าพเจ้าลองมาหลายครั้ง เป็นมาหลายหน

เมื่อเห็นคนรักไปกดถูกใจ ไปติดตามสมาคมสาวสวย คนน่ารัก

ข้าพเจ้าจะกลับมาถูกใจรูปภาพหรือสเตตัสของหนุ่มหล่อในรายชื่อเพื่อนตัวเองบ้าง

หรือเข้าไปกระหน่ำกดถูกใจในเพจ Cute boy ต่างๆ

การกระทำของข้าพเจ้า จะไปแสดงให้เขาเห็น

เพราะเราเป็น close friend กัน



แต่ก็เท่านั้น

ข้าพเจ้าทำไปเพราะประชด

การประชด หาใช่ทางออกที่แท้จริง

เมื่อข้าพเจ้าก็ไม่ได้อยากมองใคร ไม่ได้อยากไปตามดูใคร

มันหมดช่วงอารมณ์เช่นนั้นไปเสียแล้ว

การทำเช่นนั้น ก็เท่ากับสร้างภาระให้ตัวเอง

เช่นนั้นแล้ว

จะทำไปทำไม

เมื่อต้นเหตุของการกระทบกระเทือนจิตใจก็ยังคงอยู่



ข้าพเจ้าจำเนื้อความที่เขาเคยสื่อสารกับข้าพเจ้าได้

ว่าครอบครัวของเขา ไม่เคยมีปัญหาเรื่องความรัก

ครอบครัวเขาให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์

พ่อของเขา ไม่เคยชายตามองผู้หญิงคนไหนเลยเมื่อมีแม่




นั่นแล เขาเรียกร้องหาความซื่อสัตย์จากข้าพเจ้า

แต่ในขณะเดียวกัน

สายตาของเขา หาได้เป็นเช่นพ่อตัวเองไม่



มันคงเป็นแค่เรื่องตลก

ทุกครั้งที่เขามองผู้หญิงคนอื่นจนเหลียวหลัง

แล้วข้าพเจ้าต้องกระแอม ต้องทำเสียงดัง ต้องสะกิดด้วยฝ่ามือ

ให้เขารู้สึกตัว

เราหัวเราะกัน เขาทำให้มันเป็นเรื่องตลก ข้าพเจ้าทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องตลก



มันคงเป็นเรื่องตลก

ที่ข้าพเจ้ามักจะเห็นว่าเขามองใครที่เดินผ่านไปมาในระยะสายตา

มันอาจเป็นสัญชาตญาณบางอย่าง

ที่รู้ได้ว่า คนรักของเราจะต้องมองผู้หญิงคนนี้

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

แต่ก็นั่นแหละ

มันคงเป็นสัญชาตญาณของเขาเช่นกัน

การมองของสวยๆ งามๆ เช่นนั้น

มันคงควบคุมไม่ได้จริงๆ

เราหัวเราะกัน..ไม่ใช่สิ ข้าพเจ้าแสร้งหัวเราะไป



เราเคยคุยกันหลายครั้ง

ข้าพเจ้าเคยไม่คุยกับเขาหลายวัน

ด้วยสาเหตุนี้

ข้าพเจ้าบอกเขาเสมอว่า การกระทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ชอบ

จะว่าข้าพเจ้าใจแคบ

ข้าพเจ้าก็จะยอมรับ




เรื่องนี้อาจไม่เป็นปัญหาสำหรับคนอื่น คู่อื่น

หรือแม้กระทั่งอาจไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาด้วย

แต่มันเป็นปัญหาสำหรับข้าพเจ้า

เป็นเรื่องกระทบใจข้าพเจ้า

กระทบเสมอมา

กระทบทุกครั้งที่มีเหตุการณ์เช่นนี้

และวันนี้ ก็ยังคงเหมือนเช่นทุกวัน




เอาล่ะ

เมื่อมันเป็นปัญหาของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าก็จะจัดการกับใจตัวเอง

ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิไปก้าวก่ายการถูกใจของใครมากนัก

เมื่อข้าพเจ้าไม่ถูกใจ

ก็ซ่อนมันไปเสีย

หรือลบมันไปซะ



ลบใคร ลบอะไรล่ะ

นั่นแหละ..ประเด็น




วันนี้ ตอนนี้ ข้าพเจ้าเสียใจ เสียความรู้สึก

ราวกับการกระทำนั้นมันร้ายแรงมาก

ใช่ มันร้ายแรง

เพราะมันเกิดซ้ำๆ

เจ็บช้ำกันซ้ำๆ

ทีละเล็ก ทีละน้อย

ย้ำๆ กันเข้าไป



มันแสดงถึงการไม่ใส่ใจ

ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย

มันคือการปฏิเสธการเรียกร้องของอีกคน

ด้วยการบอกว่า

สิ่งที่เธอเรียกร้องนั้น

มันงี่เง่าสิ้นดี

และฉันหาได้แคร์แต่อย่างใดไม่



ถ้างั้นก็อยู่กับสาวๆ และสมาคมเหล่านั้นไปเสีย

ข้าพเจ้ามิอาจทนกับสภาพการณ์เช่นนี้ได้อีกต่อไป



29 พ.ค. 2556

แฟนเก่า..แสลงใจ..ใคร?



รักมาก แค้นมาก

ความรู้สึกนี้ ข้าพเจ้าก็เคยพบ เคยผ่าน

และเชื่อว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ

เป็นคล้ายๆ ความรู้สึกสามัญที่ต้องพบเจอกันอยู่ร่ำไป

ในทุกผู้ทุกคน



ข้าพเจ้าเคยมีแฟน

แฟนที่รักกันมาก

แต่ก็เกลียดกันมากเช่นกัน

เราทั้งรัก ทั้งชัง

ทั้งอยากเลิก และไม่อยากเลิก

ทั้งอยากกลับไปมีวันคืนที่สวยงาม

แต่ก็ลังเล ว่าจะสวยงามจริงไหม

สุดท้าย เราก็ไม่ได้กลับไปเหมือนเดิมอีก



ช่วงเวลาที่แผลกำลังสดๆ ร้อนๆ

หรือแม้จะเริ่มตกสะเก็ดบ้างแล้วก็เหอะ

ให้ตายสิ

อย่าให้ได้รู้ ให้ได้เห็นเชียว

ว่ามีคนใหม่แล้ว

หรือกำลังคุยกับใครคนอื่น

มันจะจี๊ด มันจะเจ็บ

ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเจ็บ ไปจี๊ดทำไม

เลิกกันไปแล้ว ก็เป็นอิสระจากกัน

ใครจะไปคุย ไปคบกับใคร

ก็เป็นสิทธิของคนนั้น




และที่สำคัญ

ข้าพเจ้ามักจะเป็นฝ่ายมีใหม่ก่อนเสมอ

(ฮา)

แต่ก็ไม่วายรู้สึกย่ำแย่ เวลาเห็นว่า คนเคยรักเหล่านั้น

กำลังคุย หรือ ทำความรู้จักกับใครเป็นพิเศษ




ข้าพเจ้านับผู้ชายที่คบเป็นแฟนจริงๆ

แฟนที่คบกันได้นาน

เป็นความทรงจำที่ค่อนข้างมีความฉาบฉวยเคลือบไว้ในปริมาณไม่มากเกินไปนัก

เพียงแค่ 3 คน



และก็ต้องสารภาพว่า

เมื่อข้าพเจ้ามีคนใหม่

บางครั้ง ในหัวใจก็ยังหวนคิดถึงคนเก่า

บางครั้ง เมื่อระหองระแหงกับคนปัจจุบัน

และคนเก่าๆ เหล่านั้น ยังอยู่ที่เดิม

ข้าพเจ้าก็มีความหวั่นไหว

มีใจเอนเอียง

จะกลับไปดีไหม

อิรุงตุงนัง และเกิดความเจ็บปวดแก่จิตใจของใครหลายๆ คนอยู่หลายครั้ง

ถึงขั้นคนเก่ามากราบเท้าอ้อนวอนขอข้าพเจ้าคืนจากคนใหม่

ถึงขั้นคนเก่าโทรมาไซโคลคนใหม่ ว่าคบกับข้าพเจ้าก็ไปไม่รอดหรอก

ข้าพเจ้าเอาแต่ใจ ขี้โมโห บลา บลา บลา

(ดราม่าสุดๆ ...เรื่องแบบนี้ ในชีวิตจริงยิ่งกว่าละครอีกนะเออ)




ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกสูญเสียใครไปจริงๆ เลยสักคน

เพราะตั้งแต่คนแรก จนถึงคนสุดท้าย

ก็ดูเหมือนจะรอ เหมือนจะโหยหาความทรงจำในอดีต

และพร้อมจะโอบกอดข้าพเจ้าอยู่เสมอ

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นปีหรือหลายปี แล้วก็ตาม



จนกระทั่ง ข้าพเจ้า "รัก" ผู้ชายคนปัจจุบัน



แฟนเก่าเหล่านั้น ก็หายไปทีละคน

และต่อมา พวกเขาก็มีแฟนใหม่ไปทีละคน

(น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเพราะอะไร ฮ่าๆๆ)



มันเป็นความรู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างไรชอบกล

คล้ายๆ ของหาย

แต่ถามว่าอยากได้คืนไหม

ก็ไม่

คล้ายๆ จะหวง

แต่ถามว่าให้ครอบครองจะเอาไหม

ก็ไม่อีกเช่นกัน




ความรู้สึกเช่นนี้กระมัง ที่เขาเรียกๆ กันว่า "แสลงใจ"



เราต่างเป็นอิสระต่อกันแล้ว

แต่นั่นก็หาใช่อิสระอย่างแท้จริงไม่

บางสิ่งบางอย่างผูกมัดเราไว้

บางๆ เบาๆ

ไม่รู้จะแก้ตรงไหน

เพราะมองด้วยตาเปล่า แทบจะไม่เห็น



ถ้อยคำจากเขาเหล่านั้น

"เรารักกันขนาดนี้ เหมาะกันขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นเราเลิกกันวะ"

"ฉันบอกให้เธอกลับมา เธอก็ไม่กลับมา" (กรูรอเมิงกลับมาจะสี่ปีละ -*-)

"ให้ทำอะไรก็ยอม"

มันวนเวียนๆ อยู่ในหัว ในบางที




เวลาผ่านมาเกือบสองปี

แฟนเก่าติดต่อมาบ้าง

แอดเฟสมาบ้าง

ข้าพเจ้ารับแอดบ้าง

แล้วก็อันเฟรนด์ไป




เมื่อไม่นานมานี้

แฟนเก่าคนสุดท้าย

โทรมาขอความช่วยเหลือ

ให้ช่วยแปลบทคัดย่อ

เพื่อเขาจะได้จบ ป.ตรี เสียที

ข้าพเจ้าก็ทำให้



ทำให้โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้ออ้าง

ทำให้ด้วยความรวดเร็ว เหมือนเมื่อครั้งนั้น

ที่ข้าพเจ้าเคยทำให้เขา

ข้าพเจ้าแอบคิดว่า

เขาจะเข้าใจผิดไหม ว่าข้าพเจ้ายังรู้สึกอะไรกับเขาอยู่

หรือเขาจะคิดแค่เพียงว่า

ข้าพเจ้าอาจยังมีใจ เลยหลอกใช้งาน ให้ทำงานให้เสียเลย

แต่ช่างเถอะ

ไม่ว่าจะอย่างไร

ข้าพเจ้ามีเหตุผลของตัวเอง

และเข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างแจ่มชัด




เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น

เจอขอทานก็ให้

ให้เยอะ

บางครั้ง ข้าพเจ้าก็แทบไม่มีเงิน

ก็ยังให้

หรือใครมาขอให้ช่วยงาน

ก็ช่วย

ให้ทำอะไร

ก็ทำ

ข้าพเจ้าไม่แปลกใจตัวเองหรอก

ที่ตกปากรับคำช่วยเขาอย่างง่ายดาย

สิ่งที่ข้าพเจ้าทำให้เขานั้น

มันแค่ขี้เล็บ

เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว

และเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ข้าพเจ้าทุ่มเทให้คนรักคนปัจจุบัน






หลังจากนั้น เขาแอดเฟสข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ารับแอด

เขาจึงเป็นแฟนเก่าคนเดียว ที่เป็นเพื่อนในเฟสของข้าพเจ้า



ข้าพเจ้าจึงได้เห็นว่า เขามีแฟนใหม่แล้ว

น่ารักเสียด้วย

นั่นคงเป็นการประกาศว่า

เออ กูก็มีคนใหม่แล้วนะ

น่ารักกว่ามรึง เด็กกว่ามรึงด้วย



ตามปกติ

ข้าพเจ้าคงต้องรู้สึกอะไรบ้าง

เออ นั่นสิ

มันต้องรู้สึกอะไร

เขามีแฟนใหม่แล้ว ไม่เห็นบอกแกซักคำ

โทรมาอ้อน มาทำเสียงหวานๆ บอกคิดถึง

ให้แกทำงานให้

พอแกทำงานเสร็จ

เขาก็มาเฉดหัวแกออกไปจากชีวิต ด้วยการเปิดตัวแฟนใหม่อย่างเป็นทางการ

แกต้องจี๊ด ต้องโกรธสิวะ




ข้าพเจ้าได้รู้จักตัวเองจริงๆ

ก็ในวันนี้

ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระจากเขาเหล่านั้นแล้ว

อย่างแท้จริง

เพราะความรู้สึก "แสลงใจ" ที่ควรจะมี

กลับไม่มี

ซ้ำยังยินดี ยังอมยิ้ม กับความน่ารักของคู่เขาบ้าง

นั่นคือสิ่งมหัศจรรย์ ที่ข้าพเจ้าคาดไม่ถึงจริงๆ

บางที ข้าพเจ้าก็รู้จักตัวเองน้อยไป

และดูถูกความเข้มแข็งของตัวเอง มากเกินไป




การได้ยินดี กับความสุขของใครสักคน

ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง

การไม่รู้สึกเป็นทุกข์

เมื่อคนอื่นเป็นสุข

ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง

ความรัก..ไม่เคยทำร้ายใครจริงๆ ด้วย



เราอาจเคยรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่

มันสาหัส จะตายเอาเสียให้ได้

เหมือนจะล้มทั้งยืน เหมือนไม่มีเรี่ยวแรง

นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง

ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไร



แต่เมื่อเวลาผ่านพ้น

เมื่อบาดแผลสมานตัวเอง

เมื่อเรามองย้อนกลับไป

มันก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เราเคยผ่านมา

"มันเล็กนิดเดียวเองนี่หว่า"




วันนี้ ข้าพเจ้าส่องเฟสของบรรดาแฟนเก่า

ด้วยรอยยิ้ม

ประหนึ่งว่าจะทำการทดลองตามสมมติฐานที่ตั้งเอาไว้

และผลการทดลองก็สามารถยืนยันได้ว่า

อิสระ..อยู่กับข้าพเจ้าแล้ว..โดยแท้จริง

อดีต...ไม่มีผลกับความรู้สึกและหัวใจของข้าพเจ้าอีกต่อไป

มันน่ายินดี..จริงๆ




ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

ให้กลับไปดูก็คงยาก

เพราะโลกของข้าพเจ้า มีเพียงคนรักคนนี้ มานานแสนนาน

เกินกว่าจะกลับไปค้นได้แล้วว่า

คนเก่าๆ เหล่านั้น หลุดหายไปจากหัวใจข้าพเจ้าโดยสิ้นเชิง

ตั้งแต่เมื่อใด




ชาติหน้าฉันใด ให้ข้าพเจ้ามีคนรัก คือ คนนี้ เพียงคนเดียว



ป.ล.  การส่องเฟส รวมเลยไปถึงเพื่อนเก่าที่รักกันมาก แต่เลิกคบกันไปด้วยเหตุผลควายๆ

น่ายินดีเช่นกัน ที่ข้าพเจ้าก็ยินดี เมื่อเขายินดี

ข้าพเจ้าก็เป็นอิสระจากเขาแล้วเช่นกัน


ขอบคุณทุกๆ คน..ที่ไม่ได้ตั้ง Privacy ไว้

น่าแปลกใจจริงๆ

ฮ่าๆ





ด้วยรัก

แพรวา มั่นพลศรี

29 พฤษภาคม 2556



26 พ.ค. 2556

One by One..Three Hundreds No.24.."ความลับ"..ชามา






"เก่าไปมากเลยทีเดียว"

คนรักบอกว่า

"ก็พี่บอกแล้วว่ามันเก่า ไม่ต้องอ่าน"

ข้าพเจ้านึกในใจ 'บอกกรูตอนไหนฟระ -*-'



คำว่า "เก่า" ของเรา

หาใช่รูปลักษณ์ภายนอกของหนังสือ

หากหมายถึง

แนวความคิดหรือสารที่หนังสือเล่มนั้น ต้องการจะสื่อ



เล่มนี้

ใหม่เมื่อ พ.ศ. 2539





แพรวา

พ.ศ. 2556

One by One..Three Hundreds No.23..Naked น้าเน็ก



เก่าไปหลายปี

แต่อ่านแล้วก็มันส์ดีพอสมควร

.
.



.
.
เวิ่นเว้อประมาณบทละครึ่งหน้า

แต่ก็อ่านฮาๆ กันไป

พักสมองกันได้สักครู่

รู้ไต๋กันบ้างพอเป็นพิธี

หยาบคายมี..พอให้สมเป็นหนังสือของ "น้าเน็ก"





แกะ

One by One..Three Hundreds No.22.."ทุกข์หฤหรรษ์"..หฤหรรษ์ในทุกข์??..เดือนวาด พิมวนา



ทุกข์หฤหรรษ์





ความจริง

ข้าพเจ้าไม่ใคร่อ่านหนังสือประเภทรวมเรื่องสั้น

เว้นแต่จะถูกดึงดูดความสนใจโดยโปรยปกอย่างจริงจัง

หรืองานเขียนเหล่านั้น มาจากมันสมองของนักเขียนที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ



ส่วนหนึ่งเพราะข้าพเจ้าเบื่อการประดิดประดอย

เบื่อการปั้นแต่ง การพยายามที่จะทำให้ถ้อยคำเหล่านั้นมันดูสวยกว่าที่ควรจะเป็น

เบื่อความเวิ่นเว้อ บรรยาย เกริ่นเรื่องสภาพท้องฟ้า สายลม แสงแดด

ที่กินพื้นที่ไปหลายหน้ากว่าจะได้เข้าเนื้อหาหรือแก่นสาร

คนรักบอกว่า

ก็แพรวาเป็นมนุษย์ Gen Y

คือไม่ชอบน้ำๆ ชอบเนื้อๆ 

(วันดีคืนดีก็ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ทื่อทะลื่อ Gen X ซะงั้น)




หรือเรื่องสั้นบางเรื่อง

ข้าพเจ้าก็มิอาจเข้าใจได้

อาจด้วยสติปัญญาที่โง่งมเกินไป

หรืออาจเพราะความคิดของนักเขียนผู้นั้น ลึกซึ้งเกินไป

ราวกับไม่ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจอะไรเลย



คุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบื่อหน่าย

และเคยเอียนจนถึงขั้นยุติการอ่านวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น

ไปหลายเดือน

แล้วหันหน้าให้บทความ สารคดี หรืองานเขียนอื่นๆ

ที่ดูจริงใจ ง่ายๆ แต่มีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้

เป็นก้อนความรู้ ประกอบความคิด ข้อเท็จจริง

มิใช่แค่ก้อนความคิด ของผู้เขียนเท่านั้น

บางที ข้าพเจ้าก็หาได้อยากรู้ว่า

นักเขียนคนนั้นต้องการสื่ออะไร

หรือคิดอะไรอยู่

เขาจะคิดอะไรก็เรื่องของเขา

จะมองโลกยังไง ก็เรื่องของเขา (อีก) ก็แล้วกัน




หากเมื่อข้าพเจ้าได้อ่านงานของเดือนวาด

ข้าพเจ้าได้อ่านเพียงแค่ 2 เล่ม

คือ ช่างสำราญ

และเล่มนี้

ทุกข์หฤหรรษ์

ข้าพเจ้ากลับมาอ่าน "เรื่องสั้น" อย่างมีความสุขอีกครั้ง




ข้าพเจ้าชอบ

เพราะเป็นงานเขียนที่ดูจริงใจ

และเรา (ผู้เขียนและผู้อ่าน) อาจสื่อสารกันได้

ด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะเบาๆ หรือความโศกเศร้าขุ่นเคืองอันถาโถม



บางเรื่อง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ดู ผู้ชม ผู้สังเกตการณ์

แต่บางเรื่อง

ข้าพเจ้าก็เผลอตัวไปมีอารมณ์ร่วม

ประหนึ่งว่าไปเป็นตัวละครนั้นเสียเองซะเฉยเลย



บางเรื่องข้าพเจ้าเผลอยิ้มกรุ้มกริ่ม

บางเรื่องข้าพเจ้าคิ้วขมวด

บางเรื่องข้าพเจ้าซึม และนิ่ง



ข้าพเจ้ายอมแพ้โดยสิ้นเชิงให้งานเขียนของเดือนวาด


ข้าพเจ้าพยายามค่อยๆ อ่าน

ค่อยๆ ละเลียด

เพราะกลัวจะจบเล่มเร็วเกินไป

แต่ในขณะเดียว

ก็อยากอ่านตอนต่อไป

อยากดื่มด่ำโดยไม่ทิ้งเสียเวลาแม้เพียงสักนาทีให้เสียไป

มันเป็นความขัดแย้งในตัวเอง

ที่ยากนักสำหรับจะพบเจอในการอ่านเรื่องสั้น

คนรักข้าพเจ้าถามว่า "ทำไมอ่านเร็วจัง”

เขาบอกให้ข้าพเจ้าค่อยๆ อ่าน

งานเขียนดีๆ ต้องค่อยๆ ละเลียดอ่าน



นั่นน่ะสิ

ข้าพเจ้าก็พยายามอยู่

แต่เขาก็น่าจะรู้

สำหรับการอ่านงานของเดือนวาด

มันไม่ง่ายเลยนะ

ที่จะไม่อ่านจบทั้งเล่มภายในวันเดียว

แม้จะต้องเป็นหมีแพนด้าในวันถัดไปก็ตาม



ที่ทำได้คือ

จบหนึ่งเรื่อง

หลับตาพักสักครู่

ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ทักทายกับความรู้สึก

ไม่ต้องรู้จักกันอย่างถ่องแท้หรอก

เพราะมันยากจะอธิบาย

ว่าระหว่างการอ่านบทหนึ่งนั้น

มีอะไร ไหลมาสู่สมองและหัวใจของเราบ้าง

รู้แค่เราอิ่มกับอะไรบางอย่าง..ก็พอ




.. หลังอ่านจบ ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มบางๆ มาอีกหนึ่งเล่ม

หวังจะอ่านต่ออีกสักนิดแล้วค่อยนอน

แต่อ่านได้แค่ไม่กี่หน้า

ก็ต้องวาง

เพราะรู้สึกตัวว่า

ข้าพเจ้าอิ่มเกินกว่าจะรับอะไรเข้าไปเพิ่มได้อีก

และ

"ทุกข์หฤหรรษ์" เดือนวาดยังไม่ย่อย









ด้วยรัก แม้ไม่สนิท

แพรวา



One by One..Three Hundreds No.21..คดีอาถรรพ์..(อาถรรพ์เพราะคนเขียนนี่แหละ)







เล่มนี้

ข้าพเจ้าตั้งใจซื้อมา

ด้วยเพราะคาดหวังว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นหนังสือ

เป็นตัวอักษร

เป็นข้อเท็จจริง

หาใช่เป็นเหมือนเรื่องเล่า

เพราะเรื่องเล่าอันเกี่ยวด้วยเรื่องราวเหล่านี้

เป็นต้นว่า

คดีหีบเหล็กนายบุญเพ็ง

คดีซีอุย

คดีนวลฉวี

ฯลฯ

ข้าพเจ้าได้ยิน ได้ฟังมามากแล้ว

แต่ไม่อาจปักใจเชื่อ

หรือไม่อาจฟันธงได้ว่า

ข้อเท็จจริงที่ได้ฟังเขาว่ากันมา หรือใครต่อใครพูดกันมาเป็นทอดๆ นั้น

จะเชื่อถือได้แค่ไหน

จะมีความจริง ความแต่ง ความเท็จ ความโอเวอร์อยู่ในระดับใด




หากแต่ ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับว่านี่คือความผิดพลาด

อันเกิดจากความประมาทของข้าพเจ้าเอง

ข้าพเจ้ามิได้ดูให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ

เพียงแค่เปิดผ่านๆ ดูสารบัญ

มันไม่เพียงพอจริงๆ สำหรับการจะเลือกซื้อหนังสือดีๆ สักเล่มในสมัยนี้

ยุคที่อะไรๆ ก็มักจะ "ง่ายๆ" เข้าไว้

ผลผลิตจากความมักง่ายๆ ก็กลายเป็นสิ่งง่อยๆ

ไร้ค่า และคู่ควรแค่การดูหมิ่นและหมดความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง





เนื้อหาในเล่มนี้

หาได้มีสิ่งใดแปลกหรือแตกต่างไปจากเรื่องเล่า 

อาจจะเลวร้ายกว่าการเล่าของผู้คนทั่วๆไป เสียด้วยซ้ำ

เพราะเป็นการเอาเรื่องที่คนนั้นเล่าที คนนี้เล่าทีมาแปะ มาติด มาต่อ

คัดลอกเขามา

แล้วจัดหน้า

เว้นบรรทัดเยอะๆ

ใส่อารมณ์ ใส่ไฟ ใส่สี ใส่ไข่ (เอาเป็นว่า มีอะไร มั่วมากแค่ไหน ก็ใส่มาหมด)

ราวกับนิยายน้ำเน่าก็ไม่ปาน

ทั้งที่คดีเหล่านี้

เป็นเรื่องจริง

เป็นเรื่องที่จะถูกส่งต่อไปยังอนุชนคนรุ่นหลัง

เพื่อเป็นอุทธาหรณ์

เพื่อเป็นข้อเตือนใจ

จึงสมควรที่จะเป็นข้อเท็จจริง

เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้

เป็นสิ่งที่ไม่เป็นแบบอย่างของการบ่มเพาะการด่วนตัดสินและนั่งเทียนคิดเองเออเองให้เกิดแก่ผู้อ่าน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

เมื่อสิ่งนี้คือหนังสือ

เป็นวัตถุอันจับต้องได้

และแลดูจะมีน้ำหนักยิ่งกว่าคำพูดที่เล่าๆ กันมา

ก็ยิ่งสมควรทำให้มีความแตกต่าง

มีการค้นคว้า หรือการอ้างอิงข้อมูลที่เชื่อถือได้





แต่เล่มนี้

ราวกับตัดเอาข่าวจากหนังสือพิมพ์ 

(ซึ่งก็เชื่อถือไม่ค่อยได้อยู่แล้ว)

มาแปะ มาปนกัน

บางเรื่อง 

ตอนต้นเล่าอีกอย่าง

คั่นรายการด้วยบทเพลงอันเกี่ยวกับเรื่องนั้นที่ชาวบ้านแต่งขึ้นพอเป็นกระษัย (ไปลอกเอาของเขามาอีก)

แล้วตอนท้ายเล่าใหม่ด้วยเนื้อความที่ขัดแย้งกันเองกับตอนต้น

(ตกลงว่ามันยังไงกันฟระ)





หรือบางเรื่อง

ก็ใช้สรรพนามแทนผู้เป็นอาชญากรในเรื่องนั้นว่า "มัน"

ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง

ไม่ว่าคนๆ นั้นจะทำผิดจริงหรือเรื่องราวความเป็นมามันเป็นเช่นไร

ไม่ว่าสื่อใดๆ ก็ตาม

เขาก็จะไม่ใช่สรรพนามเช่นนี้แทนตัวบุคคลที่กำลังเอ่ยถึงกันเด็ดขาด

นอกจากนั้น

ช่วงแรก ไปเรียกเขาว่า "มัน" แล้ว

ช่วงหลัง

ยังมีหน้าบอกว่าเขาอาจเป็นคนน่าสงสาร

มีปมในจิตใจ

ในอดีตเคยถูกรังแก

บางหน้าก็ใช้สรรพนามสลับกันมั่ว

เดี๋ยว "เขา" เดี๋ยว "มัน"

หึๆ





อ่านหนังสือเล่มนี้

เหมือนดูละครไทย

ที่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการระลึกไว้เสมอว่า

อย่าไปเอาอะไรกับมันมาก..ก็แค่ละคร

มัวแต่นั่งจับผิด ก็หมดสนุกกันพอดี

อ่านหนังสือนี้ ก็อ่านไป ดูความมักง่ายของคนไป ก็เท่านั้นพอ

จับผิดนั่นหรือ อย่างเลย จะเหนื่อยเสียเปล่า

ถ้าจับสิ่งถูก จะง่ายกว่าไหม เพราะน่าจะมีน้อย




แต่แท้แล้ว

เรื่องราวเหล่านี้

ไม่ใช่ละคร

คนทุกคนที่คุณผู้เขียน "บุญชัย ใจเย็น" กำลังเอ่ยถึง

พาดพิงถึง

เอาเรื่องของเขามาหากิน หาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

เขามีตัวตนจริง

เป็นมนุษย์จริงๆ

และมิใช่ตัวละครที่คุณจะสามารถจับแพะมาชนแกะ 

เอาสีนั้นมาป้าย เอาสีนี้มาทาได้ตามใจชอบ

โดยไม่ได้มีหลักฐานอ้างอิง

ไม่ได้ถ่ายทอดข้อเท็จจริงอันสังคมควรรับรู้ด้วยใจจริงๆ

ถ้าจรรยาบรรณในการผลิตสื่อแค่นี้ คุณยังไม่มี

คุณและสำนักพิมพ์ "ปราชญ์" ก็สมควรรับเอาคำด่าที่คุณๆ ก่นด่าคนเหล่านั้นไว้เองเสียเถิด





ตัวอย่างขำๆ  

เขียนถึง ซีอุย กับเหยื่อรายที่ 5

"ในที่สุด มันตัดสินใจ

อุ้มเด็กเคราะห์ร้ายไว้ในอ้อมแขน

ใช้มืออุดปาก อุดจมูก

ใช้ความมืดเป็นเกราะกำบังตัว

มันวิ่ง วิ่ง เหนื่อยแทบขาดใจ

จนถึงทางรถไฟสถานีรถไฟจิตรลดา"

เอิ่ม คุณผู้เขียนไปเห็นภาพเช่นนี้ได้อย่างไรคะ

หรือคุณคือซีอุยกลับชาติมาเกิด

แล้วบรรยายลักษณาการในขณะนั้นของตัวเอง ฮึ??



(ตอนหลังมา ยังอุตส่าห์ใจดี นึกถึงหัวอกของซีอุย 

เอาประวัติเขามาลง บอกว่าเขาถูกกลั่นแกล้งรังแกอย่างนั้นอย่างนี้

เพื่อจะอธิบายว่าเหตุใดเขาต้องก่อคดีเช่นนั้น

เพื่อจะบอกว่าทุกคนมันมีปม เขาก็มีความน่าสงสาร

หึๆ แล้วที่ไปเขียนด่าเขาราวกับเขาเป็นผีห่าซาตานแต่แรก 

แถมใช้สรรพนามแทนเขาว่า "มัน" นี่คืออะไร)




ตัวอย่างขำๆ 2

เขียนถึงคดีศยามล เสียชีวิตโดยลูกสาว คือ ด..อิงอิงนั่งร้องไห้เช็ดเลือดให้แม่

ซึ่งพระภิกษุที่ออกบิณฑบาตได้เป็นผู้พบศพ

ผู้เขียนบรรยายไว้เป็นการเกริ่นเรื่องว่า



"เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อเช้าตรู่ที่แสนสดใส

...

ในขณะที่พระภิกษุหลายรูป ก็ออกมาเพื่อบิณฑบาต

ไปตามท้องถนนในหมู่บ้าน


วันนี้ก็ธรรมดา พระภิกษุคิดอย่างนั้น.."


เอิ่ม...รู้แม้กระทั่งความคิดพระภิกษุกันเลยทีเดียว -*-







ความจริง ไม่เพียงแค่ซีอุยกับพระภิกษุหรอก

ผู้เขียนรู้ดีหมดนั่นแหละ

ใครคิดอะไร

ทำอะไร

เหตุการณ์เป็นเช่นไร

เขียนราวกับตัวเองเป็นบุคคลเหล่านั้น

หรืออยู่ในเหตุการณ์นั้นก็มิปาน

ข้าพเจ้าล่ะเชื่อเขาเลย




นี่คืออุทธาหรณ์ครั้งสำคัญของการเลือกหนังสือจริงๆ

อย่าประมาทไปเชียวนะ..แพรวา






ขอความดีคุ้มครองผู้รักษาความดี

แพรวา บุตรี