3 พ.ค. 2556

ตามใจตัวเอง



ข้าพเจ้าเคยพูดถึงเรื่องการขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ

ประสบการณ์ครั้งแรกๆ

ช่วงเวลาแรกๆ ที่เข้ามาใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแห่งใหม่



ข้าพเจ้าตกใจ

และไม่คิดว่า แค่การจะขึ้นรถเมล์

มันจะต้องบากบั่นและฟาดฟันกันถึงเพียงนั้น


ข้าพเจ้าจึงยอมขึ้นเป็นคนสุดท้ายเสมอ



ตอนนั้น ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า

สักวัน เราจะกลายเป็นแบบพวกเขาไหม

เราจะถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมการขึ้นรถเมล์แบบนี้ไหม

สำหรับข้าพเจ้า มันไม่ใช่เรื่องเล็ก

ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การขึ้นๆ ลงๆ รถเมล์

หากแต่ มันเชื่อมโยงถึงความคิด

จิตใจ

นิสัย

และการมองโลก



ข้าพเจ้ากลัวตัวเองเปลี่ยนไป

กลัวจริงๆ




โชคดี ที่ช่วงเวลานั้น ซึ่งข้าพเจ้าเป็นเด็กอ่อนแอ

เป็นเด็กบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุง

ที่ไม่ต้องใช้บริการรถเมล์มากนัก

หอพักก็อยู่หน้ามหาวิทยาลัย

ไปไหนไกลหน่อยก็รถเพื่อน ไม่ก็แท็กซี่ที่ไปกันหลายๆ คน

น้อยครั้ง ที่จะต้องขึ้นรถเมล์

และทุกครั้งที่ขึ้นรถเมล์

ข้าพเจ้าก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเองได้อยู่บ้าง




มาตอนนี้

ข้าพเจ้าจำเป็นต้องขึ้นรถเมล์

เช้า - เย็น

วันละ (อย่างน้อย) 2 ครั้ง

สัปดาห์ละ 5 วัน

(เสาร์ อาทิตย์ยังไม่นับ)

การขึ้นรถเมล์กำลังจะกลายเป็นกิจวัตรประจำชีวิตของข้าพเจ้า




แน่นอน ข้าพเจ้ายังเห็นภาพเช่นนั้น

เบียดเสียด แย่งกันขึ้น แย่งกันนั่ง

นั่งแล้วนั่งเลย

นั่งฟังเพลง นั่งสไลด์มือถือ พิมพ์ข้อความ

นั่งทั้งชาย ทั้งหญิง

ตามแต่ใครจะขึ้นก่อนขึ้นหลัง




และแน่นอน น้อยมากที่ข้าพเจ้าจะเห็นใครสักคน

เสียสละที่นั่งให้เด็ก หรือคนชรา

(ส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนท้อง จะต้องได้นั่งอยู่แล้ว)

ข้าพเจ้าอาจอคติ

อาจเป็นความคิดที่เลยเถิด

ยามเมื่อข้าพเจ้ามองเห็น

ว่าตรงที่คนแก่ยืน คือตรงที่ชายหนุ่มนั่ง

ข้าพเจ้าแอบคิดว่า

ไม่ลุกให้ผู้หญิงนั่ง ไม่เป็นไร ผู้หญิงผู้ชาย แข็งแรงเหมือนกัน

แต่ไม่ลุกให้คนแก่นั่งนี่สิ

เพลียใจจริงๆ





ข้าพเจ้าพยายามทำความเข้าใจ

ใช่

ใครๆ ก็เหนื่อย

ของที่ถือก็หนัก

รถเมล์ก็ขับโยกไปโยกมา ปาดขวาปาดซ้าย

การยืนจึงเป็นเรื่องลำบาก

แถมต้องเบียดเสียดกับผู้คน

ต้องสูดกลิ่นเหงื่อ

ต้องทนคนที่ยืนข้างๆ (ซึ่งเราดันทะลึ่งไปตัวเตี้ยกว่าเขา) หายใจรดต้นคอหรือใบหู

มันน่าสะอิดสะเอียน

มันน่ารังเกียจ

และไม่เป็นที่ปรารถนาเอาเสียเลยจริงๆ





ใครๆ ก็ต่างมีข้ออ้างที่จะไม่เสียสละ ไม่แบ่งปัน

และเหตุผลเหล่านั้น ก็ชอบธรรมดี

มันเป็นสิทธิของเขา

คนที่ไม่เอื้อเฟื้อ อาจไม่ใช่คนเลวคนชั่ว

เพียงแค่ไม่มีน้ำใจเท่านั้นเอง

ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร




หากแต่สำหรับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าเลือกที่จะให้ที่นั่งกับใครๆ ก็ได้

ข้าพเจ้ามักโชคดี

มักมีที่ว่างเสมอในตอนที่ข้าพเจ้าขึ้น

หรือหากไม่มีที่นั่ง

ข้าพเจ้ายืนตรงไหน ไม่นาน คนที่นั่งตรงนั้น จะต้องถึงจุดหมาย

(มันอาจเป็นธรรมดาของรถเมล์สายนี้

ที่คนขึ้นๆ ลงๆ หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปตลอดสาย)

ข้าพเจ้าจะมองซ้ายมองขวา

ใครทำท่าอยากนั่ง

หรือมีป้าๆ ยืนอยู่ข้างๆ

ข้าพเจ้าก็หลีกทางให้เขานั่ง




ถามว่าข้าพเจ้าทำเช่นนั้นเพื่ออะไร

อยากเป็นคนดี?

อยากสร้างภาพ?

อยากทำตัวเป็นนางฟ้า?

เปล่าเลย

ข้าพเจ้าจะเป็นนางฟ้าหรือซาตานในสายตาใครบนรถเมล์

หาใช่สาระสำคัญของการมีชีวิตของข้าพเจ้าแต่อย่างใด

ไม่มีใครบนรถนั้นรู้จักข้าพเจ้า

ไม่มีใครรู้จักพ่อแม่ข้าพเจ้า

และไม่มีใครมาด่าว่าข้าพเจ้าด้วย หากว่าข้าพเจ้ามิได้เลือกทำเช่นนั้น

หากว่าข้าพเจ้าจะรีบหย่อนก้นลงไปก่อนที่จะมีใครมาเสียบแทน

การทำเช่นนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา

และคงไม่มีใครว่าอะไรแน่นอน





ทว่า ข้าพเจ้าเพียงแต่รู้สึกรังเกียจตัวเอง

หากว่าในความคิดและหัวใจของข้าพเจ้า

จะกลายเป็นผู้ทนแก่ความลำบากเพียงเล็กน้อย

และในระยเวลาสั้นๆ แค่นั้นไม่ได้




หากว่าข้าพเจ้าได้นั่งสบาย

ในขณะที่ข้างๆ มีคนแก่ยืนโยกไปมา จับราวแทบไม่อยู่

หากข้าพเจ้าจะหาข้ออ้างให้ตัวเองด้วยคำที่ว่า

ใครๆ เขาก็ทำกัน มันเป็นสิทธิของเราที่จะนั่ง

และวันนี้ก็เหนื่อย หนักหนาสาหัสเหลือเกิน

ของที่ถือก็ทำแขนแทบเคล็ด เลือดไม่เดิน

รองเท้าแมร่งก็กัด ปวดขา ปวดหลัง ปวดเอว ปวดหัว

บลา บลา บลา

ก็เท่ากับว่า

สิ่งที่ข้าพเจ้าเคยกลัว ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ




ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาเช่นนั้นเลย




เพราะฉะนั้น

แม้วันใดที่ข้าพเจ้าใส่ส้นสูง และเจ็บเท้าแทบตาย

หรือถือกระเป๋าหนักๆ หอบของพะรุงพะรัง

(ซึ่งเป็นปกติมาก ฮ่าๆๆ)

ข้าพเจ้าก็ยังยินดีจะยืน

ข้าพเจ้าได้รับคำขอบคุณ

ได้รับรอยยิ้ม

หรือเมื่อคนที่ข้าพเจ้าให้ที่นั่ง กำลังจะลงในป้ายถัดไป

แล้วเขาหันมาสะกิดให้ข้าพเจ้าไปนั่งแทนที่เขาบ้าง

ข้าพเจ้าก็ยินดีในไมตรีที่ได้กลับคืนมา




สำหรับข้าพเจ้า

การลำบากแค่เล็กน้อยนั้น

ของที่หนักแค่ไม่เท่าไหร่

รองเท้าส้นสูงที่ทำร้ายแผดเผาเท้าได้เพียงผิวเผิน

มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับกลับมา




สิ่งที่ได้รับกลับมาในที่นี้

หาได้หมายถึงรอยยิ้มหรือคำขอบคุณใดๆ

คนที่นั่งนั้น ไม่ต้องขอบคุณข้าพเจ้าก็ได้

ไม่ต้องแม้จะเหลียวสายตามาทักทายก็ย่อมได้

เพราะข้าพเจ้าได้รับสิ่งที่ต้องการแล้ว

ตั้งแต่ตอนสะกิดหรือบอกให้เขามานั่ง




ข้าพเจ้าไม่ด้อยากเป็นนางฟ้าในสายตาใคร

ข้าพเจ้าพอใจแล้วที่ได้เป็นคนสำคัญสำหรับใครบางคน

ข้าพเจ้าไม่ต้องการเพื่อนเพิ่ม

หรือผูกมิตรกับใครอย่างลึกซึ้ง

และข้าพเจ้าอาจไม่แคร์สายตาใครๆ

ยามเมื่อข้าพเจ้าอยากทำอะไรประหลาดๆ หรือบ้าๆ บอๆ

ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการสร้างภาพ

เพราะก็ไม่รู้ว่าจะเอาภาพเหล่านั้นไปทำอะไรได้




ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งที่อยากทำ

และไม่สูญเสียสิ่งที่หวงแหน

ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กบ้านนอกคนนั้นคนเดิม

และข้าพเจ้าภูมิใจที่สังคมหรือสภาพแวดล้อม

ไม่อาจเปลี่ยนมุมเล็กๆ ของตัวตนข้าพเจ้าได้

แค่นี้..ก็เพียงพอแล้ว





ข้าพเจ้าปรารถนาการเป็นผู้ให้

แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี

ข้าพเจ้าปรารถนาการเป็นผู้มีความอดทน

แม้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ปานคานธี

และข้าพเจ้าปรารถนาการเป็นผู้กล้าหาญ

ที่สามารถชนะจิตมาร ชนะความเห็นแก่ตัว ชนะข้ออ้างไร้สาระของตัวเอง

เรื่องเล็กๆ บางครั้งมันก็ไม่เล็ก

เพราะเรื่องเล็กๆ นี่แหละ ที่จะบ่มเพาะอุปนิสัยของเราได้ในภายหน้า

สร้างนิสัยให้หัวใจนี่แหละ สำคัญกว่าการสร้างภาพนัก




ข้าพเจ้าอยากเป็นเด็กบ้านนอก

ข้าพเจ้าอยากเป็นเด็กโคราช

ในทุกๆ วัน




ขอภูมิคุ้มกัน ปกป้องหัวใจของข้าพเจ้าด้วยเถิด


ไปโหนรถเมล์กันดีกว่า

โย่วๆ




1 ความคิดเห็น:

  1. การเสียสละนั้นเป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างหนึ่ง
    การมีความอดทนนั้นก็เป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างหนึ่ง
    การมีความตั้งใจมั่นต่อสิ่งที่เรากระทำนั้นก็เป็นบารมีอย่างหนึ่ง
    การมีความคงเส้นคงวาต่อการบำเพ็ญบารมี
    แม้การใช้สติปัญญาไต่ตรองเพื่อน้อมเข้าสู่การบำเพ็ญบารมีนั้นก็เป็นการบำเพ็ญอีกอย่างหนึ่งด้วย
    เราควรดีใจที่ได้มีโอกาสบำเพ็ญบารมีทุก ๆ วัน

    ตอบลบ