18 มิ.ย. 2556

One by One..Three Hundreds No.28..The Casual Vacancy..เก้าอี้ว่าง..J.K.ROWLING





เล่มนี้ ความจริง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะอ่านเลย

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้มีหนังสือของเจ๊ J.K. เป็นของตัวเองเลยสักเล่ม

อ่านแฮรี่ก็มีแต่เพื่อนขนมาให้อ่าน

แต่ไหนๆ อยากอ่านแล้ว 

เมื่อซื้อมาแล้ว ก็ต้องอ่านให้จบ

ทำภารกิจให้ลุล่วง

(แพงเสียด้วย ไม่อ่านล่ะเสียดายเงินแย่ ฮ่าๆๆ)



เปิดอ่านไปได้ประมาณ 1 ใน 4 

ก็เบื่อหน่าย

เพราะเนื้อเรื่องไม่ใช่แนวแฟนตาซี

สนุกสนาน ชวนตื่นเต้น เหมือนแฮรี่แต่อย่างใด

กลับกลายเป็นเรื่องค่อนข้างหนัก

และออกจะซีเรียส

ข้าพเจ้าไปหาข้อมูลใน Pantip 

ดูว่าผู้คนพูดถึงหนังสือเล่มนี้กันอย่างไรบ้าง

กลับต้องตกใจ เมื่อพบว่า

ไม่ได้มีข้อมูลอะไรเท่าใดนัก

ดูเหมือนว่า กระแสของหนังสือเล่มนี้ในเมืองไทย

จะไม่บูม เท่าที่สำนักพิมพ์คาดหวังไว้

มิน่า...(เดี๋ยวจะมาเฉลยในภายหลัง ว่ามิน่าอะไร หุๆ)





Comment ส่วนใหญ่บอกว่า

อ่านไม่จบ

อ่านแล้วเบื่อ

อ่านแล้วก็วางทิ้งไว้ และยังไม่ได้อ่านต่อ

ข้าพเจ้าก็ร่ำๆ จะเป็นเช่นนั้น

แต่ก็ทนอ่านต่อไป




ความจริงแล้ว

เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงจุดๆ หนึ่ง

ซึ่งปมปัญหามันเริ่มขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น

ความขุ่นข้องหมองใจของตัวละครมีชัดเจน

และเกิดเรื่องราวยุ่งยากพอสมควรแล้ว

ความสนุกก็บังเกิดขึ้นเอง

ถึงตอนนั้น

จะวางก็วางไม่ลงเสียแล้ว




ตามความเห็นของข้าพเจ้าโดยส่วนตัวแล้ว

หนังสือเล่มนี้ สะท้อนตัวตนของคนได้ชัดเจนเหมือนกันนะ

และอ่านแล้วไม่อึดอัดเหมือนอ่านนวนิยายของชาวญี่ปุ่นด้วย

คือ มันจะสุขก็สุข

จะโกรธ ก็โกรธ 

จะเกลียด ก็เกลียด

จะเศร้า ก็เศร้า

ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นมัว ค้างๆ คาๆ

แบบว่า ทำไมกรูหม่นฟระ

ความรู้สึกที่เรามีร่วมกับตัวละคร

มันมีที่มาที่ไปชัดเจนและสามารถเข้าใจได้ง่าย




และถ้ามองถึงบุคลิกของตัวละครแต่ละตัว

(ซึ่งมีมากเหลือเกิน)

ก็จะทำให้เราเข้าใจลักษณะนิสัยของคนอื่นได้มากขึ้นบ้าง

หรือบางที

หนังสือเล่มนี้

อาจทำให้เรามีสายตาการมอง (ผู้คนบน) โลกที่อ่อนโยนลง




ก็ไม่ผิดหวังนะ

ขอแนะนำว่า

ใครที่มีไว้ในครอบครองแล้ว

ยังอ่านไม่จบ

รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ

ไม่สนุก

ก็ขอให้อดทน

อ่านด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง

เรียนรู้ชีวิตร่วมไปกับตัวละครทั้งหลายที่โลดแล่นไปเหล่านั้น

(แรกๆ อาจจะงงหน่อย เพราะตัวละครมีเยอะ

และเจ๊เค้าเขียนแบบตัดฉากไปมา

ทำให้งงๆ ว่า เอ๊ะ นี่ใคร ฝั่งไหน ใครรักใคร ใครเกลียดใคร ใครผัวใครเมียใคร ใครลูกใคร 

งงจริงจังอ่ะ ฮ่าๆๆ)

แต่ท้ายที่สุดแล้ว

หนังสือเล่มนี้ จะกลายเป็นหนังสืออีกเล่ม

ที่เราอยากบอกใครๆ ว่า เราอ่านแล้ว..จริงๆ นะ

อย่าให้เงินห้าร้อยกว่าบาท (กรณีปกอ่อน) ต้องสูญเปล่า

คุณอาจได้อะไรๆ มากกว่าที่คิด






ด้วยรัก แม้ไม่สนิท

แพรวา



13 มิ.ย. 2556

ว่าด้วยความคลั่งไคล้



ช่วงสองสามวันมานี้

อาการเก่าที่นานๆ จะเป็นได้กำเริบขึ้นมา

คือ อาการคลั่งไคล้ใครบางคน

ต้องใช้คำว่า "คลั่งไคล้"

เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่าไม่มีคำไหนแทนค่าอาการนี้ได้อีกแล้ว



มันเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง

ซึ่งหลายๆ คนก็อาจเป็น

ยามเมื่อชอบใครหรืออะไร

ก็จะชอบ

แบบหัวปักหัวปำ

วันๆ ไม่ทำอะไร

นึกถึงแต่คนนั้น

โหยหาแต่คนนั้น

อาการนี้ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับบุคคลเท่านั้น

แต่รวมถึงอาหารการกิน

บทเพลง

และกิจกรรมในชีวิตด้วย



ข้าพเจ้ามีนิสัยไม่ดีเกี่ยวกับการกินคือ

ถ้าชอบกินอะไร ก็จะกินซ้ำๆ อย่างนั้น

จะไม่ค่อยกินอย่างอื่น

จนกระทั่งเบื่อไปเอง

และถ้าเบื่อแล้ว ก็จะไม่กินอีกเลย



สมัยเรียน ม.ปลาย

ข้าพเจ้ากินมาม่าขี้เมาปลาหมึกเกือบทุกวัน

คือถ้าได้ออกจากบ้าน

ไม่ได้กินข้าวที่บ้าน

แล้วต้องไปกินอาหารตามสั่ง

เมนูนี้คือเมนูเดียวที่ข้าพเจ้าปรารถนา

แต่เมื่อถึงคราวที่จะไม่กินอีกแล้ว

เบื่อแล้ว

ก็จะไม่กินอีกต่อไป



จนถึงทุกวันนี้

ข้าพเจ้าจำไม่ได้เสียแล้วว่าเคยกินเมนูนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่




ตอนเรียน มหาวิทยาลัย ช่วงปี 3 ถึงปี 4

ตลอด 2 ปีนั้น จนกระทั่งทุกวันนี้ (รวมก็ 4 ปีแล้วสินะ -*-)

เมนูอาหารตามสั่งของข้าพเจ้าคือ

"ข้าวกะเพราหมูสับเผ็ดๆ แห้งๆ ขอแตงกวาด้วย"

เมนูนี้ ยาวนานที่สุดแล้ว



กลับมาว่าด้วยเรื่องคน

ข้าพเจ้าไม่ได้ดูละครนัก

เพราะรู้สึกเสียดายเวลา

ถามว่าชอบไหม

ก็ชอบ

ถ้าดูจะติดไหม

ก็ติด

แต่แล้วเมื่อชอบ ทำไมจึงไม่ดู

ก็เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวแล้ว

ข้าพเจ้าไม่ชอบปล่อยให้ตัวเองอยู่กับการ เสียเวลา หรือ สิ่งไร้สาระ มากนัก



ข้าพเจ้าก็เหมือนคนอื่นๆ

ถ้าดูละครก็จะติดละคร

ถ้าเล่นเกม ก็ติดเกม

แต่ข้าพเจ้าไม่ติดละคร และไม่ติดเกม

เพราะปรารถนาจะใช้เวลาไปกับกิจกรรมอย่างอื่นที่ได้ประโยชน์มากกว่า



แม้บางวัน ที่ขี้เกียจเหลือเกิน

และนอนทั้งวัน

ข้าพเจ้ายังรำคาญตัวเอง

และรู้สึกว่า วันที่เปล่าประโยชน์นั้น มันน่ารังเกียจ




มันเป็นอย่างนั้นเอง

ด้วยนิสัยแต่ดั้งเดิม

มิใช่มาจากการปรุงแต่ง

มิใช่เกิดจากการพยายามให้เป็น




บางครั้ง ข้าพเจ้าก็อยากให้ตัวเองผ่อนคลาย

และใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยๆ บ้าง

แต่เมื่อลองทำจริงๆ

ไม่เกิน 2 วัน

ชีวิตมันก็น่าเบื่อหน่ายแล้ว

มันไม่ใช่วิถีทางแห่งการผ่อนคลายของข้าพเจ้า




ว่าจะเข้าเรื่องคน ออกทะเลไปเสียไกล 555

ว่าด้วยเรื่องคน

โดยมาก ข้าพเจ้าไม่ค่อยสนใจดารา

จะติดตามความเคลื่อนไหวของวงการมายานี้

ก็มีบ้างที่ไปยืนอ่านหนังสือพวกซุบซิบดารา หรือนิตยสารบันเทิงที่ร้านหนังสือ

อ่านที่ร้านจนจบนั่นแหละ

(ไม่เสียเงินซื้อเช่นกัน)

รู้แล้วก็เท่านั้น

พูดคุยกับคนอื่นรู้เรื่องบ้างนิดๆ หน่อยๆ

แต่ก็ไม่ใช่จะได้ใส่ใจอะไรมากมาย

เพราะเรื่องของคนอื่น ที่เป็นคนอื่นจริงๆ

รู้ไปก็ใช่ว่าจะเกิดสารัตถะอันใดกับชีวิต




แต่บางครั้ง

ข้าพเจ้าก็มีอาการคลั่งไคล้ดาราบางคน

คือ ชอบมาก

โดยคนเหล่านั้นมักจะมีลักษณะร่วมกันคือ

จมูกโด่ง และไหล่กว้าง หุ่นเฟิร์ม

โดยที่กล้ามไม่ใหญ่เกินไปนัก

ช่วงเวลาที่ชอบ ก็จะนั่งดูรูปคนนั้นเกือบทั้งวัน

(เอามาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ใน Social network ด้วย)

ฟังเพลงที่คนนั้นร้อง (กรณีเป็นนักร้อง)

ดูละครที่คนนั้นแสดง (แต่ส่วนใหญ่ก็มักไม่ค่อยได้ดูอยู่ดี)

เป็นอย่างนี้สักช่วง



อย่างช่วงนี้

ข้าพเจ้าก็บ้า "เจมส์ มาร์"






ผู้ชายอะไร หน้าตาทะเล้น และเจ้าเล่ห์

แต่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ

จมูกแหลม คางแหลม ตาเล็กแหลม

เป็นลักษณะของคนไม่น่าไว้ใจ

แต่ก็เท่านั้น

ข้าพเจ้าเพียงชอบมอง

ชอบก็คือชอบ

ไม่มีเหตุผลอย่างอื่น

และความชอบของข้าพเจ้าก็จำกัดไว้เพียงภายในขอบเขตโลกของข้าพเจ้าเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อข้าพเจ้าชอบที่รูปร่างหน้าตา

อย่างอื่นก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงอีก

เพราะอย่างไรเสีย

ข้าพเจ้าก็เพียงนั่งดูรูปเขาไปวันๆ

ดูอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเขาก็เท่านั้น

หาได้อยากอยู่เคียงข้าง อยากสัมผัส

หรือผูกสัมพันธ์ด้วยแต่อย่างใด

เพราะเหตุเหล่านี้

อากาคลั่งไคล้ของข้าพเจ้า

จึงอยู่ไม่นาน



เพราะมันเป็นเพียงการหลงในรูป

ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกเหล่านี้

หาได้อยู่คงทนถาวร

เมื่อเขาเปลี่ยนไป เป็นแบบที่ข้าพเจ้าไม่ชอบเสียแล้ว

ความชอบของข้าพเจ้าก็จะหายไปเอง

หรือเมื่อเบื่อแล้ว

ข้าพเจ้าก็ลบรูปของเขา วิดีโอของเขาไปจากมือถือ ก็เท่านั้น



อาการนี้ มาเร็ว รุนแรง และจากไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย


เหมือนดาราคนอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเคยชื่นชอบ

ถึงตอนนี้

ก็หาได้ชอบอีกแล้ว




เหมือนการฟังเพลงบางเพลง

ช่วงที่ชอบก็ฟังเพลงนั้นทั้งวัน

และเมื่อฟังจนเบื่อ

ฟังจนเอียน

ในมือถือก็จะไม่มีเพลงนั้นอีกต่อไป



เว้นเสียแต่ว่า

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน

ข้าพเจ้าจะระลึกได้ว่า

เพลงนี้ เคยเป็นเพลงที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ

แล้วหวนกลับมาฟังอีกครั้ง



แต่จะเปรียบเทียบกับเพลง

ก็ดูจะไม่เหมือนกันทั้งหมด

เพราะบทเพลงที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ

มักจะมีความทรงจำบางอย่างอยู่ในเพลงนั้น

ทำให้เกิดเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงและดึงข้าพเจ้ากลับมาหามันได้อยู่บ้าง



แต่ดารานี่

ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ เลย

ผ่านมาแล้วผ่านไป



เป็นความไม่แน่นอนของอารมณ์และจิตใจอย่างแท้จริง




แท้จริงแล้ว

ข้าพเจ้าก็รู้ว่าควรจะหักห้ามใจตนเอง

ไม่ให้จิตใจอ่อนไหวไปกับกิเลสเหล่านี้มากนัก

เพราะอาการเหล่านี้

จะว่าไป ก็อันตรายอยู่เหมือนกัน

หึๆ








10 มิ.ย. 2556

ช่วงเวลาแห่งเสรีภาพโดยแท้



ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่นชอบการฟังเพลงที่ไม่มีเสียงร้องของมนุษย์คนอื่น
ในบางเวลา
ข้าพเจ้าปรารถนาจะอยู่กับเสียงดนตรีอันบริสุทธิ์
มีเสียงเอื้อนเอ่ยเป็นทำนอง
เป็นเสียงที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือการดัดจริตมากเกินไปนัก
เวลาที่ท่วงทำนองเหล่านี้
ค่อยๆ แทรกซึม ค่อยๆ กระทบใจของเรา
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า
มันลึกซึ้ง
ละเอียดอ่อน
และนุ่มนวล
สัมผัสนั้นเบาบาง
แต่กลับมีน้ำหนักมหาศาล
น้ำหนักที่ทิ้งไว้ในใจ
ในขนาดเท่าที่เพลงประเภทอื่นๆ ไม่สามารถทำได้
แรงกระแทกของมันมีมากกว่าเสียงผู้คนที่เปล่งออกมา
มากกว่าเสียงร้อง ถ้อยคำใดๆ
เพลงเหล่านี้
มีเนื้อร้องในตัวเองแจ่มชัดอยู่แล้ว
โดยไม่ต้องมีคำอธิบายอะไร
มันน่าอัศจรรย์และน่าทึ่งยิ่งนัก
ที่เรารับรู้ความหมายของเพลงเหล่านี้ได้
สัมผัสอารมณ์ของท่วงทำนอง
รวมถึงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง
โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ
ไม่ต้องถามไถ่ถึงที่มา
หรือไม่ต้องแม้กระทั่งจะเอ่ยปากถามผู้เป็นเจ้าของบทเพลงเหล่านั้นว่า
เขาปรารถนาจะให้คนฟังรู้สึกเช่นไร
เพลงเหล่านี้ มีเสน่ห์ตรงที่
เราสามารถฟังแล้ว รู้สึกอะไร ยังไงก็ได้
บางคนฟังแล้วหดหู่ บางคนฟังแล้วสงบ เยือกเย็น
บางคนฟังแล้วอยากร้องไห้
หรือบางคน อาจฟังแล้วรู้สึกอยากโบยบินไปไหนสักแห่ง
ความทรงจำของแต่ละคน ย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ข้าพเจ้ารู้สึกเพียงว่า
ตัวเองมีอิสระอย่างแท้จริง
เมื่อได้ฝังอารมณ์ไว้กับทำนองเหล่านี้
เพลงเดียวกัน
ฟังต่างวัน
ต่างเวลา
ต่างอารมณ์
ความรู้สึกที่สัมผัสได้
ต่างกันราวกับไม่ใช่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ใช่ข้าพเจ้า
แต่ในขณะเดียวกัน
ข้าพเจ้าก็เป็นข้าพเจ้าที่สุด
ในเวลาอันสั้นนี้
ข้าพเจ้ารัก Kenny G
รัก เพราะเสียงโซปราโน่ของเขา
มอบอิสระให้แก่ข้าพเจ้า
ในเวลาที่ข้าพเจ้าถูกกักขังไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
ถ้าข้าพเจ้าจะมีวันหนึ่งที่ได้สวมชุดเจ้าสาวขาวบริสุทธิ์
หากไม่ใช่เสียงคลื่นกระทบฝั่ง
ในช่วงเวลาดังกล่าว ก็จะต้องมีเพียงเสียงโซปราโน่นุ่มนวลนี้เท่านั้น
ที่จะได้รับอนุญาตให้พลิ้วไหวและรื่นเริงอยู่ในวันเวลาที่แสนพิเศษของข้าพเจ้า



9 มิ.ย. 2556

คนของเธอ..ด้วยรักสุดหัวใจ


วันนี้ เป็นวันครบรอบสองปี

ความจริง ว่าจะไม่เขียนอะไร

เพราะก็ต้องบอกตามตรงด้วยความซื่อสัตย์ว่า

ข้าพเจ้าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับวันนี้มากนัก

เพราะได้ตื่นเต้นนำไปก่อนหน้านี้เมื่อหลายวันมาแล้ว

ฮ่าๆๆ



ถึงวันนี้จริงๆ

ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่างเปล่า

และหนำซ้ำ ยังแอบรำคาญ Facebook อีกด้วย

จะเตือนอะไรกันนักหนา

ครบรอบวันแต่งงานเนี่ย

กรูรู้แล้ว (เตือนมาเป็นอาทิตย์กันเรยทีเดียว)

กร๊ากๆ



สำหรับข้าพเจ้า วันนี้เป็นวันธรรมดา

เพราะรู้อยู่แล้วว่า

เราต่างรักกันมาเนิ่นนาน

และจะรักกัน เดินด้วยกันไปอีกแสนไกล




แต่กระนั้น

วันนี้ก็ยังมีช่วงเวลาที่ได้นึกย้อนกลับไปทบทวนวันเวลาที่ผ่านมา

ตลอด 2 ปีนี้

ข้าพเจ้าทำอะไรที่ดี หรือไม่ดีกับคนรักไว้บ้าง

เราทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร

คืนดีกันได้ยังไง

เมื่อวันที่คบกันใหม่ๆ

ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าอย่างไร

กับความรักครั้งนี้

โอ๊ะ..เขียนไปเขียนมาก็เยอะนะเนี่ย ฮ่าๆ




เดิมที ข้าพเจ้าหวาดหวั่นกับรักครั้งนี้

กับคนรักคนนี้

เขาจะรักข้าพเจ้าจริงหรือเปล่า

มันเป็นความไม่แน่ใจ

และด้วยการเริ่มต้นความรักที่ค่อนข้างมึนๆ งงๆ

ไม่เหมือนที่ผ่านๆ มา


นี่เป็นเพลงแรกที่ข้าพเจ้ามอบให้เขาทางอีเมลล์

กลัวเธอผิดหวัง



เขาเป็นคนฉลาด

ฉลาดเกินไป เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้

(เท่าที่รู้จักในตอนนั้น)

น้องคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า

"พี่ตามเขาทันไหม"

ข้าพเจ้าตอบโดยไม่ต้องคิดเลย

(กรูจะเอาอะไรไปทันฟระ)




เรามีอะไรหลายอย่างคล้ายๆ กัน

มีความชอบอย่างเดียวกัน

มีเหตุการณ์ในชีวิตใกล้เคียงกัน

จนบางที ก็อดประหลาดใจไม่ได้




เมื่อแรกเริ่มที่เราได้พบกัน พูดคุยกันในฐานะพี่น้อง

คนรู้จักที่จะเรียกว่าสนิทก็ไม่ใช่

แต่ข้าพเจ้าก็คุยกับเขาได้เป็นชั่วโมงๆ

มีเรื่องคุยกันตลอดๆ

น่าแปลกที่ข้าพเจ้าไว้ใจเขาอย่างประหลาด



ตอนนั้น ความรักฉันท์หนุ่มสาวนี้

หาได้มีในความคิดข้าพเจ้าแต่อย่างใด

(ยังแอบสงสัยว่าแมนรึเปล่าด้วยซ้ำ เอิ้กๆ)



เขา ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจคำพูดที่ว่า

"คนที่ใช่ ในเวลาที่ใช่"

เรารู้จักกันมาพอสมควร

แต่เขาเพิ่งจะใช่ สำหรับข้าพเจ้า ก็เมื่อสองปีมานี้เอง ฮ่าๆๆ




ตลอดระยะเวลาสองปีมานี้

ข้าพเจ้าน้อยใจเขาหลายครั้ง

โกรธเขาหลายครั้ง

เหวี่ยงเขา พาลใส่เขา

บางครั้ง ก็พูดกับเขาด้วยถ้อยคำและท่าทางที่ร้ายกาจเหลือเกิน



ข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้ว่า

อนาคตในภายหน้าจะไม่เป็นเช่นนี้อีก

แต่คงจะพยายามเป็นให้น้อยลง

จะควบคุมสติตัวเองให้มากกว่านี้



น่าแปลกที่ข้าพเจ้าโกรธคนอื่นน้อยมาก

แต่กลับโกรธเขาได้อยู่เสมอๆ

แปลกที่ข้าพเจ้าพูดจาดีกับคนอื่น

แต่กลับพูดแย่ๆ กับเขา

ข้าพเจ้าเจ็บปวดทุกๆ ครั้งที่ทำเช่นนั้นกับเขา

แต่ก็ยากที่จะเข้าใจตัวเองว่า เช่นนั้นแล้ว จะทำไปทำไม

อารมณ์กับเหตุผล เป็นสิ่งที่เข้ากันได้ยากจริงๆ




เอาเถอะ

ข้าพเจ้าหาได้ปรารถนาที่จะพูดหรือนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นมากนัก

เพราะก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่า

เจ้าความรู้สึกแย่ๆ

เจ้าปีศาจเหล่านั้น

จะออกอาละวาดอีกเมื่อไหร่

ข้าพเจ้ากลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถควบคุมมันได้



หลายคนอาจมองข้าพเจ้าเป็นคนใจเย็น

หรือนิ่งๆ เฉยๆ กับหลายๆ สิ่ง

ยิ่งเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเขาเป็นทวีคูณ




ข้าพเจ้าเคยตั้งใจไว้ว่า

จะดูแลเขา

จะอยู่เคียงข้างเขา

จะทำเพื่อเขา

ข้าพเจ้าก็ทำได้นะ

ข้าพเจ้าอยากปกป้องเขา

ใช่..เขาปกป้องตัวเองได้

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็มักจะเจ็บแทนเขา

ยามที่มีใครมาทำร้ายหรือเอารัดเอาเปรียบเขา

เขาอาจอโหสิ ปล่อยคนเหล่านั้นไป

แต่เป็นข้าพเจ้าเสียเองที่เป็นเดือดเป็นร้อน

เขาเจ็บ ข้าพเจ้าก็เจ็บ

(นึกถึงเพลงนี้อีกเพลง เคยเขียนไว้ในบล็อกนี้แล้ว

แต่อยากระลึกถึงอีกครั้ง

คนอุ่นของเธอ)




บางที ข้าพเจ้าก็เบื่อจริตของตัวเอง

ที่หมกมุ่นและขังตัวเองอยู่ในความคิดฟุ้งซ่านบ้าๆ บอๆ

และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่ชีวิต

ข้าพเจ้าชิงชังตัวเอง

ที่ไม่อาจสลัดสิ่งรบกวนจิตใจต่างๆ นานา

ที่จะทำลายหรือบั่นทอนความสัมพันธ์ของข้าพเจ้าและเขา




ข้าพเจ้าดีใจเหลือเกิน

ที่เขาไม่เบื่อข้าพเจ้า เหมือนที่ข้าพเจ้าเบื่อตัวเอง

ข้าพเจ้าโชคดีเหลือเกิน

ที่คนรักไม่ชิงชังความงี่เง่าของข้าพเจ้า

เหมือนที่ข้าพเจ้าชิงชังตัวเอง




ขอบคุณที่เข้าใจ

และมีความรักให้ข้าพเจ้าเสมอมา

ขอบคุณอีกครั้งที่ยังรั้ง

ยังเดินตามข้าพเจ้าอย่างมั่นคง

ในวันที่ข้าพเจ้าวิ่งหนีเขาด้วยความไร้เดียงสาและโง่บรมเหลือเกิน



ข้าพเจ้าอาจอยู่ได้ หากไม่มีเขา

แต่มันคงไม่ใช่การอยู่อย่างมีความสุขหรืออบอุ่นเช่นนี้แน่นอน

ข้าพเจ้าไม่อาจทนต่อความเคว้งคว้างในเส้นทางเดินของชีวิต

แม้เพียงเช่นทุกวันนี้

ที่เราต้องอยู่ไกลัน

ยังไม่มีสักวัน ที่ข้าพเจ้าไม่คิดถึงเขา



ช่วงหนึ่งที่ข้าพเจ้าฟังเพลงนี้เกือบทั้งวัน

และคิดถึงเขา ผู้อยู่ห่างไกลเกือบทุกนาที


ชีวิตที่ขาดเธอ

(เคยลงใน Entry เก่าๆ แล้วเช่นกัน)




นึกย้อนกลับไป

กว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้ก็มีเรื่องตลกอยู่พอสมควร

ข้าพเจ้าเคยโกรธเขา

ด้วยเพราะ

ข้าพเจ้าเป็นคนกินกับข้าวทีละอย่าง

(นิสัยประหลาดของตัวเอง)

กินอย่างนี้เสร็จ จึงจะกินอย่างต่อไป

ถ้าอิ่มก่อนจะถึงอย่างสุดท้าย ก็ช่างมัน (อดกินไป)

หรือถ้าอย่างที่ยังกินไม่ถึงมันหมดก่อน

ก็อดไป (ช่างมัน ฮ่าๆ)

ข้าพเจ้าไม่เคยโกรธที่ไม่ได้กินอะไร หรือกินไม่ทันใคร

แต่ข้าพเจ้าดันโกรธเขา

ที่รู้ทั้งรู้ว่าข้าพเจ้ากินกับข้าวทีละอย่าง

กลับไม่เหลืออย่างที่ข้าพเจ้าอยากกิน (และยังกินไปไม่ถึง) ไว้ให้

(กินคนเดียวหมดเรย -*-)

เพราะยำปลาหมึก ฮ่าๆๆ




หรืออีกครั้ง

ที่เราไปร้องคาราโอเกะ

เราเลือกเพลงกันรัวๆ

เพลงที่เขาเลือก กับเพลงที่ข้าพเจ้าเลือก ค่อนข้างจะไปด้วยกันไม่ได้

ระหว่างที่คนหนึ่งร้อง

อีกคนจึงเลือกเพลงไป

ระหว่างเขาร้อง ข้าพเจ้าเลือกเพลงไว้ 3-4 เพลง

พอถึงคิวข้าพเจ้าร้อง เขาก็เลือกเพลง

หมดเพลงที่เลือก ข้าพเจ้าส่งไมค์ให้เขา

และไม่ได้จับไมค์อีกเลย

เพราะเขาเลือกเพลงไว้รัวๆ จริงๆ (น่าจะเกิน 10 เพลง)

เป็นเพลงของเขาติดกันจนกระทั่งหมดชั่วโมงคาราโอเกะครั้งนั้น

และข้าพเจ้าก็หงุดหงิดเกินกว่าจะต่อเวลา

(แม่ม เลือกเพลงกะไม่ให้คนอื่นได้ร้องเลยใช่มะ)

ครั้งนั้น ข้าพเจ้าโกรธ

แต่เขาขำจะเป็นจะตาย

ขำสาเหตุที่ข้าพเจ้าโกรธ

"โกรธเพราะไม่ได้ร้องคาราโอเกะ"

หึๆ



อนิจจา

ความรักนี่หนา

นึกย้อนไปแล้ว ฮาจริงๆ

โกรธไปได้ เอิ้กๆ



ป.ล. เรามีเพลงของเราหลายเพลง

ข้าพเจ้ามีเพลงของข้าพเจ้าที่ฟังแล้วคิดถึงเขา อีกหลายเพลง




บันทึกเล็กๆ หมายเลข 4..มนุษย์เงินเดือนเต็มสูบ


หลายวันก่อน

ได้อ่านบทความที่พี่คนหนึ่งแชร์มาใน Facebook

เป็นเรื่องที่ว่าด้วยการจัดการปัญหา

อันเกี่ยวกับบุคลากรภายในองค์กร

กล่าวคือ

เค้าบอกว่า

อีกไม่กี่ปีข้างหน้า

คน Gen Y จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน (ออฟฟิศ) มากขึ้น

แล้วภายในออฟฟิศจะมีช่องว่างระหว่าง Gen

(ไม่อยากใช้คำว่าระหว่างวัย กลัวกระทบใจใครหลายคน ฮ่าๆๆ)

คือ

คนในยุค Baby Boom, Gen X และ Gen Y

(อันนี้ยังไม่รวม Gen ใหม่ๆ ที่เริ่มมีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้วในปัจจุบันนี้)

จะต้องใช้ชีวิต และทำงานร่วมกันภายในองค์กร

ซึ่งก็อย่างที่ทราบ ว่าคนเหล่านี้

เกิดในช่วงสภาพแวดล้อมทางสังคมที่แตกต่างกัน

และค่อนข้างมีลักษณะความคิด การมองโลก การใช้ชีวิตที่ต่างกัน

จนสามารถจัดจำแนกได้อย่างคร่าวๆ

แต่ค่อนข้างชัดเจนว่า

คนแต่ละ Gen เหล่านี้ มีคุณสมบัติและลักษณะนิสัยกันอย่างไรบ้าง

(เอ๊ะ วันนี้ดูเกริ่นเป็นการเป็นงาน เอิ้กๆ)




ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงลักษณะของคนแต่ละ Gen ในที่นี้ละกัน

ข้อมูลพวกนั้น มีให้ค้นคว้าอยู่แล้วในโลกไซเบอร์

หรือแม้พิมพ์ออกมาเป็นเปเปอร์ เป็นงานวิชาการ ไม่วิชาการ

ก็น่าจะเกลื่อนกลาดดาษดื่นพอสมควร

ใครที่ยังสงสัยว่าแต่ละ Gen คืออะไร

นิสัยยังไง

แล้วตัวเราเป็น Gen ไหน

ก็โปรดไขว่คว้าหาข้อมูลเอาเองเถิด




งานเขียนชิ้นที่ได้อ่านนี้

เป็นเรื่องที่เน้นไปถึงบทบาทของผู้นำองค์กร

ว่าต่อจากนี้ไป

จะต้องจัดการกับคนในองค์กรของตัวเองอย่างไร

จึงจะขจัดปัญหาช่องว่างระหว่างความคิดเหล่านี้ได้




ข้าพเจ้าอ่านอย่างคร่าวๆ

เอาข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างที่กำลังจะมีขึ้นอย่างชัดเจน

แต่เรื่องการจัดการและวิธีที่ปรากฏในบทความนี้

ไม่ค่อยมีผลโดยตรงกับตัวข้าพเจ้าเท่าไหร่

นอกจากพอจะเป็นไกด์ได้ว่า

ต่อไป..(ถ้ายังคงเป็นลูกจ้างอยู่) นายจ้างควรจะปฏิบัติกับเราอย่างไร

และเราจะถูกปฏิบัติเช่นไร

เพื่อจะได้รับมือได้บ้าง





ส่วนในปัจจุบัน

ต่อให้ไม่มีบทความนี้

ข้าพเจ้าก็ค่อนข้างเข้าใจในความแตกต่างของคนแต่ละ Generation

และสิ่งที่เกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากความต่างนั้นพอสมควร




ด้วยเพราะการทำงานทั้งสองที่



เริ่มจากที่แรก เป็นองค์กรใหญ่

(ถือว่าใหญ่มาก สำหรับองค์กรธุรกิจประเภท Law Firm นี้)

และข้าพเจ้าก็ได้เข้าทำงานในแผนกที่ใหญ่และมีหน่วยประชากรเยอะที่สุดของบริษัทด้วย

ทว่า

นอกจากน้องๆ นักศึกษาฝึกงานที่มาชั่วครั้งชั่วคราว

ข้าพเจ้าก็ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันเลย

ส่วนใหญ่เป็นวัยสามสิบขึ้น

และข้าพเจ้าก็ไม่สามารถคุยกับใครได้อย่างสนิทใจ

หมายถึง คุยกันรู้เรื่อง

คุยเรื่องเดียวกัน ประมาณนั้น



ช่วงสัปดาห์แรก ข้าพเจ้าแอบตกใจหลายครั้ง

เพราะจะมีพี่บางคน มายืนเม๊าท์กันที่โต๊ะข้างๆ ข้าพเจ้า

ในช่วงพักเที่ยงและราวๆ ประมาณเกือบห้าโมงเย็น

(ใกล้เลิกงาน)

คุยกันประมาณว่า

คนนั้นมันไม่น่าทำอย่างนั้น

คนนี้มันทำอย่างนี้ได้ยังไง

หรือหลายครั้ง

ก็คุยกันราวกับเกิดเรื่องราวอะไรสักอย่างขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์

ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจเมื่อเวลาผ่านไปสักพักว่า

เรื่องราวเหล่านั้น

อารมณ์จริงจังคอขาดบาดตายเหล่านั้น

"ละคร"

หึๆ -*-





สภาพบรรยากาศในการทำงานที่สัมผัสได้จากเพื่อนร่วมงานนั้น

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า

ความทะเยอทะยานหรือไฟฝันของพวกเขาเหล่านั้น

แทบจะมอดดับไปหรือไม่ก็เหลือเพียงไออุ่นๆ กับเศษถ่านชื้นๆ เท่านั้น

มันเป็นการทำงานเลี้ยงชีพอย่างแท้จริง

หาได้ทำอย่างมีความสุขหรือรื่นรมย์กับเนื้องาน




เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก

จึงได้เริ่มมีเพื่อนในวัยเดียวกันเข้ามาทำงานในลักษณะของการเป็นพนักงานประจำ

แต่กระนั้น

กว่าข้าพเจ้าจะเริ่มเข้ากลุ่มได้บ้าง

ก็เลย 4 เดือนไปแล้ว

(เป็นที่ตัวข้าพเจ้าเองด้วย ที่ไม่ประสงค์จะให้ชีวิตมีความเกี่ยวพันวุ่นวายกับใครๆ มากนัก)




จากนั้นมา จึงได้ไปกินข้าวกับกลุ่มบ้าง

ไม่ไปบ้าง ตามแต่สภาพอารมณ์

ดูคล้ายจะมีกลุ่มมีก้อน

แต่ก็ละม้ายจะมีโลกส่วนตัวสูง

ชอบอยู่อย่างสันโดษ

ถึงกระนั้น

ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ เหล่านั้น

ก็ยังดำเนินไปได้ด้วยดี

สนิทบ้าง ไม่สนิทบ้าง




จนกระทั่งช่วงหลังๆ  ก่อนการจากที่แห่งนั้นมา

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนจริงๆ

การไปทำงานของข้าพเจ้า

เริ่มมีเพื่อนเป็นแรงดึงดูด

การกินข้าวเที่ยง เป็นไปด้วยความผ่อนคลาย

ได้พูดคุย ได้หัวเราะ สนุกสนาน

เพราะในกลุ่มช่วงหลังๆ นี้

เป็นเพื่อนในวัยเดียวกันเกือบทั้งสิ้น

จะมีพี่ๆ ก็ห่างกันไม่กี่ปี

ยังคุยกันรู้เรื่อง

พูดภาษาเดียวกัน

ถ้าจะมีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าเสียดาย สำหรับการตัดสินใจออกจากที่นั่น

ก็คงเป็นเสียงหัวเราะในระหว่างวัน

ที่ได้จากเพื่อนๆ กลุ่มนี้นี่เอง




สำหรับที่แห่งใหม่นี้

เป็นออฟฟิศเล็กๆ

ในแผนกที่ข้าพเจ้าทำ

มีเพื่อนร่วมงานราวๆ 10 กว่าคน

(เยอะที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับแผนกอื่น)

และช่องว่างระหว่างวัย

ก็ดูเป็นสิ่งสามัญ

นอกจากน้องอีก 1 คนที่เริ่มทำงานพร้อมกัน

ก็ไม่มีใครอายุอยู่ในหลักเลข 2 อีกแล้ว

เรื่องความแตกต่างทางความคิดหรือการใช้ชีวิต

เป็นเรื่องธรรมดา





จากสถานการณ์ที่ได้พบมา

ข้าพเจ้ายังไม่เคยคิดว่า

ความแตกต่างระหว่างรุ่นหรือ Generation นี้

จะก่อให้เกิดปัญหาในการทำงาน

เพราะถึงแม้จะรุ่นเดียวกัน

วัยเดียวกัน

ก็ยังคงต้องมีความแตกต่างกันในหลายๆ เรื่อง

เพียงแค่อาจแลดูน้อยกว่า ก็เท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว

ความแตกต่าง ยังคงมีอยู่ทุกอณูของการใช้ชีวิต

ทุกสถานที่

ทุกผู้ทุกคน




ข้าพเจ้าอาจไม่คุยกับใคร

ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าเกลียดชังใคร

ข้าพเจ้าอาจไม่คิดเหมือนใครคนหนึ่ง

ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้ารังเกียจและผลักไสความคิดของคนๆ นั้น

การพยายามทำความเข้าใจในความแตกต่าง

เป็นหนึ่งหนทางที่จะให้ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นน้อยลง

การเข้าใจกัน จะทำให้เราสามารถหาหนทางกึ่งกลางระหว่างสองเส้นทางนั้นได้

แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า

การเข้าใจใครสักคนหรือหลายคน

ที่มีความแตกต่างกันมากเกินไป

มันยาก

และการทำเช่นนั้น มันเหนื่อย

การที่เราจะเข้าใจเขา เราอาจหลอกตัวเองว่าเราทำได้

แต่การจะทำให้เขาเข้าใจเราบ้าง

หากทำไม่ได้ เราจะกลายเป็นผู้อ่อนล้า และเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นเสียเอง

สุดท้ายก็กลายเป็นบาดหมาง ชิงชัง




ทุกวันนี้

ข้าพเจ้าไม่พยายามทำความเข้าใจใคร

ข้าพเจ้าเพียงสังเกตผู้คนรอบข้างในบางเวลา

ดูความเคลื่อนไหว ดูว่าเขาเป็นเช่นไรบ้าง

ก็เท่านั้น




สิ่งที่ข้าพเจ้าทำเพื่อให้เกิดสันติสุขแก่ตัวเอง

ในสถานที่แห่งความแตกต่างที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือ

คิดเสียว่า เขาเป็นคนในครอบครัวของข้าพเจ้า



ในครอบครัว

เรามีความรักให้กันเสมอ

แม้เราจะแตกต่าง แม้เราจะไม่เข้าใจกัน

แต่เรา ไม่มีทางจะเกลียดกัน

พ่อ แม่ เป็นคนรุ่นหนึ่ง

ปู่ย่า ตายาย เป็นคนอีกรุ่นหนึ่ง

ทุกคนมองโลกไม่เหมือนกัน

เกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

แม้เราจะอยู่ด้วยกัน

ใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน

กินกับข้าวอย่างเดียวกัน

มีลักษณะนิสัยบางอย่างคล้ายกัน

แต่อย่างไรก็ตาม

ช่องว่างระหว่างวัย ก็เป็นสิ่งสามัญประจำบ้านอยู่ดี



ที่ทำงานจะไปต่างอะไร

เรามีนโยบายองค์กรเป็นจุดร่วม

มีลักษณะการทำงานไปในแนวทางเดียวกัน

แต่เราก็ยังคงมีความแตกต่างกัน



ข้าพเจ้าอาจไม่เข้าใจใครๆ

เหมือนที่ข้าพเจ้าอาจไม่เข้าใจพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย

ในบางเรื่อง บางการตัดสินใจ

ข้าพเจ้าอาจไม่ชอบใจนิสัยบางอย่างของพี่น้องบางคน

อาจรังเกียจการกระทำของสมาชิกสักคนในครอบครัว

แต่ข้าพเจ้าก็รักพวกเขา

และเราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อยู่ดี



ข้าพเจ้ามีหน้าที่

ก็เพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

ข้าพเจ้าอาจต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น

ข้าพเจ้าก็เพียงทำในส่วนของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด




คนอื่นจะทำดีหรือไม่

อยู่ที่ตัวเขา

และหากการทำไม่ดีของเขา

อาจกระทบข้าพเจ้า

ก็ถือเป็นการลับคมปัญญา

ว่าจะสามารถพลิกแพลง หลีบหลีก หรือแก้ไขปัญหาอันไร้สาระเหล่านั้นได้หรือไม่

ถ้าหลบไม่ได้ แก้ไม่ได้ แล้วสุดท้ายข้าพเจ้าต้องเดือดร้อน

ก็ถือเสียว่า ข้าพเจ้ายังเด็กและโง่เง่า ไร้เดียงสาเกินไป

แต่อย่างน้อย

ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า

ตัวเองจะเติบโตขึ้น

คนเราจะแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ครั้งที่ล้มลงอยู่แล้วนี่นา

การเดินท่าไหน วิ่งอย่างไรที่จะทำให้เราหกล้มหัวเข่าแตก เป็นแผล เจ็บตัว

เราย่อมไม่วิ่ง ไม่เดิน ในลักษณาการเช่นนั้นอีก

ถือเป็นการฝึกตนกันไป







ชีวิตมันสั้น อย่ามอบความเกลียดแก่กันมากนักเลย






ด้วยรัก แม้ไม่สนิท

แพรวา