แล้วพระเจ้า.. ก็นำเอาความหวานของเกสรดอกไม้ นำเอาความแปรปรวนของกระแสลม นำเอาความปราดเปรียวของกวาง นำเอาความดุร้ายของเสือโคร่ง นำเอาความลึกลับของทะเลมารวมกัน แล้วพระองค์กล่าวว่า.. ....จงเป็นผู้หญิง!!
9 มิ.ย. 2556
บันทึกเล็กๆ หมายเลข 4..มนุษย์เงินเดือนเต็มสูบ
หลายวันก่อน
ได้อ่านบทความที่พี่คนหนึ่งแชร์มาใน Facebook
เป็นเรื่องที่ว่าด้วยการจัดการปัญหา
อันเกี่ยวกับบุคลากรภายในองค์กร
กล่าวคือ
เค้าบอกว่า
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า
คน Gen Y จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน (ออฟฟิศ) มากขึ้น
แล้วภายในออฟฟิศจะมีช่องว่างระหว่าง Gen
(ไม่อยากใช้คำว่าระหว่างวัย กลัวกระทบใจใครหลายคน ฮ่าๆๆ)
คือ
คนในยุค Baby Boom, Gen X และ Gen Y
(อันนี้ยังไม่รวม Gen ใหม่ๆ ที่เริ่มมีขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้วในปัจจุบันนี้)
จะต้องใช้ชีวิต และทำงานร่วมกันภายในองค์กร
ซึ่งก็อย่างที่ทราบ ว่าคนเหล่านี้
เกิดในช่วงสภาพแวดล้อมทางสังคมที่แตกต่างกัน
และค่อนข้างมีลักษณะความคิด การมองโลก การใช้ชีวิตที่ต่างกัน
จนสามารถจัดจำแนกได้อย่างคร่าวๆ
แต่ค่อนข้างชัดเจนว่า
คนแต่ละ Gen เหล่านี้ มีคุณสมบัติและลักษณะนิสัยกันอย่างไรบ้าง
(เอ๊ะ วันนี้ดูเกริ่นเป็นการเป็นงาน เอิ้กๆ)
ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงลักษณะของคนแต่ละ Gen ในที่นี้ละกัน
ข้อมูลพวกนั้น มีให้ค้นคว้าอยู่แล้วในโลกไซเบอร์
หรือแม้พิมพ์ออกมาเป็นเปเปอร์ เป็นงานวิชาการ ไม่วิชาการ
ก็น่าจะเกลื่อนกลาดดาษดื่นพอสมควร
ใครที่ยังสงสัยว่าแต่ละ Gen คืออะไร
นิสัยยังไง
แล้วตัวเราเป็น Gen ไหน
ก็โปรดไขว่คว้าหาข้อมูลเอาเองเถิด
งานเขียนชิ้นที่ได้อ่านนี้
เป็นเรื่องที่เน้นไปถึงบทบาทของผู้นำองค์กร
ว่าต่อจากนี้ไป
จะต้องจัดการกับคนในองค์กรของตัวเองอย่างไร
จึงจะขจัดปัญหาช่องว่างระหว่างความคิดเหล่านี้ได้
ข้าพเจ้าอ่านอย่างคร่าวๆ
เอาข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างที่กำลังจะมีขึ้นอย่างชัดเจน
แต่เรื่องการจัดการและวิธีที่ปรากฏในบทความนี้
ไม่ค่อยมีผลโดยตรงกับตัวข้าพเจ้าเท่าไหร่
นอกจากพอจะเป็นไกด์ได้ว่า
ต่อไป..(ถ้ายังคงเป็นลูกจ้างอยู่) นายจ้างควรจะปฏิบัติกับเราอย่างไร
และเราจะถูกปฏิบัติเช่นไร
เพื่อจะได้รับมือได้บ้าง
ส่วนในปัจจุบัน
ต่อให้ไม่มีบทความนี้
ข้าพเจ้าก็ค่อนข้างเข้าใจในความแตกต่างของคนแต่ละ Generation
และสิ่งที่เกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากความต่างนั้นพอสมควร
ด้วยเพราะการทำงานทั้งสองที่
เริ่มจากที่แรก เป็นองค์กรใหญ่
(ถือว่าใหญ่มาก สำหรับองค์กรธุรกิจประเภท Law Firm นี้)
และข้าพเจ้าก็ได้เข้าทำงานในแผนกที่ใหญ่และมีหน่วยประชากรเยอะที่สุดของบริษัทด้วย
ทว่า
นอกจากน้องๆ นักศึกษาฝึกงานที่มาชั่วครั้งชั่วคราว
ข้าพเจ้าก็ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันเลย
ส่วนใหญ่เป็นวัยสามสิบขึ้น
และข้าพเจ้าก็ไม่สามารถคุยกับใครได้อย่างสนิทใจ
หมายถึง คุยกันรู้เรื่อง
คุยเรื่องเดียวกัน ประมาณนั้น
ช่วงสัปดาห์แรก ข้าพเจ้าแอบตกใจหลายครั้ง
เพราะจะมีพี่บางคน มายืนเม๊าท์กันที่โต๊ะข้างๆ ข้าพเจ้า
ในช่วงพักเที่ยงและราวๆ ประมาณเกือบห้าโมงเย็น
(ใกล้เลิกงาน)
คุยกันประมาณว่า
คนนั้นมันไม่น่าทำอย่างนั้น
คนนี้มันทำอย่างนี้ได้ยังไง
หรือหลายครั้ง
ก็คุยกันราวกับเกิดเรื่องราวอะไรสักอย่างขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์
ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจเมื่อเวลาผ่านไปสักพักว่า
เรื่องราวเหล่านั้น
อารมณ์จริงจังคอขาดบาดตายเหล่านั้น
"ละคร"
หึๆ -*-
สภาพบรรยากาศในการทำงานที่สัมผัสได้จากเพื่อนร่วมงานนั้น
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ความทะเยอทะยานหรือไฟฝันของพวกเขาเหล่านั้น
แทบจะมอดดับไปหรือไม่ก็เหลือเพียงไออุ่นๆ กับเศษถ่านชื้นๆ เท่านั้น
มันเป็นการทำงานเลี้ยงชีพอย่างแท้จริง
หาได้ทำอย่างมีความสุขหรือรื่นรมย์กับเนื้องาน
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก
จึงได้เริ่มมีเพื่อนในวัยเดียวกันเข้ามาทำงานในลักษณะของการเป็นพนักงานประจำ
แต่กระนั้น
กว่าข้าพเจ้าจะเริ่มเข้ากลุ่มได้บ้าง
ก็เลย 4 เดือนไปแล้ว
(เป็นที่ตัวข้าพเจ้าเองด้วย ที่ไม่ประสงค์จะให้ชีวิตมีความเกี่ยวพันวุ่นวายกับใครๆ มากนัก)
จากนั้นมา จึงได้ไปกินข้าวกับกลุ่มบ้าง
ไม่ไปบ้าง ตามแต่สภาพอารมณ์
ดูคล้ายจะมีกลุ่มมีก้อน
แต่ก็ละม้ายจะมีโลกส่วนตัวสูง
ชอบอยู่อย่างสันโดษ
ถึงกระนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ เหล่านั้น
ก็ยังดำเนินไปได้ด้วยดี
สนิทบ้าง ไม่สนิทบ้าง
จนกระทั่งช่วงหลังๆ ก่อนการจากที่แห่งนั้นมา
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนจริงๆ
การไปทำงานของข้าพเจ้า
เริ่มมีเพื่อนเป็นแรงดึงดูด
การกินข้าวเที่ยง เป็นไปด้วยความผ่อนคลาย
ได้พูดคุย ได้หัวเราะ สนุกสนาน
เพราะในกลุ่มช่วงหลังๆ นี้
เป็นเพื่อนในวัยเดียวกันเกือบทั้งสิ้น
จะมีพี่ๆ ก็ห่างกันไม่กี่ปี
ยังคุยกันรู้เรื่อง
พูดภาษาเดียวกัน
ถ้าจะมีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าเสียดาย สำหรับการตัดสินใจออกจากที่นั่น
ก็คงเป็นเสียงหัวเราะในระหว่างวัน
ที่ได้จากเพื่อนๆ กลุ่มนี้นี่เอง
สำหรับที่แห่งใหม่นี้
เป็นออฟฟิศเล็กๆ
ในแผนกที่ข้าพเจ้าทำ
มีเพื่อนร่วมงานราวๆ 10 กว่าคน
(เยอะที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับแผนกอื่น)
และช่องว่างระหว่างวัย
ก็ดูเป็นสิ่งสามัญ
นอกจากน้องอีก 1 คนที่เริ่มทำงานพร้อมกัน
ก็ไม่มีใครอายุอยู่ในหลักเลข 2 อีกแล้ว
เรื่องความแตกต่างทางความคิดหรือการใช้ชีวิต
เป็นเรื่องธรรมดา
จากสถานการณ์ที่ได้พบมา
ข้าพเจ้ายังไม่เคยคิดว่า
ความแตกต่างระหว่างรุ่นหรือ Generation นี้
จะก่อให้เกิดปัญหาในการทำงาน
เพราะถึงแม้จะรุ่นเดียวกัน
วัยเดียวกัน
ก็ยังคงต้องมีความแตกต่างกันในหลายๆ เรื่อง
เพียงแค่อาจแลดูน้อยกว่า ก็เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว
ความแตกต่าง ยังคงมีอยู่ทุกอณูของการใช้ชีวิต
ทุกสถานที่
ทุกผู้ทุกคน
ข้าพเจ้าอาจไม่คุยกับใคร
ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าเกลียดชังใคร
ข้าพเจ้าอาจไม่คิดเหมือนใครคนหนึ่ง
ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้ารังเกียจและผลักไสความคิดของคนๆ นั้น
การพยายามทำความเข้าใจในความแตกต่าง
เป็นหนึ่งหนทางที่จะให้ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นน้อยลง
การเข้าใจกัน จะทำให้เราสามารถหาหนทางกึ่งกลางระหว่างสองเส้นทางนั้นได้
แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า
การเข้าใจใครสักคนหรือหลายคน
ที่มีความแตกต่างกันมากเกินไป
มันยาก
และการทำเช่นนั้น มันเหนื่อย
การที่เราจะเข้าใจเขา เราอาจหลอกตัวเองว่าเราทำได้
แต่การจะทำให้เขาเข้าใจเราบ้าง
หากทำไม่ได้ เราจะกลายเป็นผู้อ่อนล้า และเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นเสียเอง
สุดท้ายก็กลายเป็นบาดหมาง ชิงชัง
ทุกวันนี้
ข้าพเจ้าไม่พยายามทำความเข้าใจใคร
ข้าพเจ้าเพียงสังเกตผู้คนรอบข้างในบางเวลา
ดูความเคลื่อนไหว ดูว่าเขาเป็นเช่นไรบ้าง
ก็เท่านั้น
สิ่งที่ข้าพเจ้าทำเพื่อให้เกิดสันติสุขแก่ตัวเอง
ในสถานที่แห่งความแตกต่างที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือ
คิดเสียว่า เขาเป็นคนในครอบครัวของข้าพเจ้า
ในครอบครัว
เรามีความรักให้กันเสมอ
แม้เราจะแตกต่าง แม้เราจะไม่เข้าใจกัน
แต่เรา ไม่มีทางจะเกลียดกัน
พ่อ แม่ เป็นคนรุ่นหนึ่ง
ปู่ย่า ตายาย เป็นคนอีกรุ่นหนึ่ง
ทุกคนมองโลกไม่เหมือนกัน
เกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
แม้เราจะอยู่ด้วยกัน
ใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน
กินกับข้าวอย่างเดียวกัน
มีลักษณะนิสัยบางอย่างคล้ายกัน
แต่อย่างไรก็ตาม
ช่องว่างระหว่างวัย ก็เป็นสิ่งสามัญประจำบ้านอยู่ดี
ที่ทำงานจะไปต่างอะไร
เรามีนโยบายองค์กรเป็นจุดร่วม
มีลักษณะการทำงานไปในแนวทางเดียวกัน
แต่เราก็ยังคงมีความแตกต่างกัน
ข้าพเจ้าอาจไม่เข้าใจใครๆ
เหมือนที่ข้าพเจ้าอาจไม่เข้าใจพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย
ในบางเรื่อง บางการตัดสินใจ
ข้าพเจ้าอาจไม่ชอบใจนิสัยบางอย่างของพี่น้องบางคน
อาจรังเกียจการกระทำของสมาชิกสักคนในครอบครัว
แต่ข้าพเจ้าก็รักพวกเขา
และเราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อยู่ดี
ข้าพเจ้ามีหน้าที่
ก็เพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ข้าพเจ้าอาจต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น
ข้าพเจ้าก็เพียงทำในส่วนของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด
คนอื่นจะทำดีหรือไม่
อยู่ที่ตัวเขา
และหากการทำไม่ดีของเขา
อาจกระทบข้าพเจ้า
ก็ถือเป็นการลับคมปัญญา
ว่าจะสามารถพลิกแพลง หลีบหลีก หรือแก้ไขปัญหาอันไร้สาระเหล่านั้นได้หรือไม่
ถ้าหลบไม่ได้ แก้ไม่ได้ แล้วสุดท้ายข้าพเจ้าต้องเดือดร้อน
ก็ถือเสียว่า ข้าพเจ้ายังเด็กและโง่เง่า ไร้เดียงสาเกินไป
แต่อย่างน้อย
ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า
ตัวเองจะเติบโตขึ้น
คนเราจะแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ครั้งที่ล้มลงอยู่แล้วนี่นา
การเดินท่าไหน วิ่งอย่างไรที่จะทำให้เราหกล้มหัวเข่าแตก เป็นแผล เจ็บตัว
เราย่อมไม่วิ่ง ไม่เดิน ในลักษณาการเช่นนั้นอีก
ถือเป็นการฝึกตนกันไป
ชีวิตมันสั้น อย่ามอบความเกลียดแก่กันมากนักเลย
ด้วยรัก แม้ไม่สนิท
แพรวา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น