26 ก.ย. 2554

รัก

ใครจะพยายามแทรกกลางระหว่างเรา
รู้ไว้นะว่าเขาไม่มีวันเข้ามาได้

ฉันรู้ว่าเรารักกัน
รักกันมาก
เราจะผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคต่างๆไปด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของฉัน
ปัญหาของเธอ
หรือปัญหาของเรา

ฉันรู้ว่าฉันมีเธอ
และเธอก็คงรู้ว่าเธอจะมีฉัน
เราจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป


รัก

ผู้หญิงคนหนึ่ง

หญิงสาว..คนหนึ่ง
หอบข้าวของพะรุงพะรัง
เดินตากฝน
ในกระเป๋ามีร่ม
แต่ไม่กาง
อาจเพราะไม่มีมือว่างสำหรับกาง
หรือไม่อยากกาง ทั้งที่ถ้าจะกางก็ทำได้

เธอเบียดเข้าไปในรถไฟฟ้า
ช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน
และฝนตก
เป็นอะไรที่รุกันดีว่า
บนนั้น จะอัดกัน สุดๆ
อย่าให้เปรียบเลยว่าเหมือนอะไร
ทุกคนเห็นภาพกันดี

คนแน่น ของเยอะ และหนัก
แขนเป็นรอย รูปอะไรก็ไม่รู้ ดูไม่ออก
ไม่มีจินตนาการ รุแค่เป็นรอยแดงๆ
พาดไป ตวัดมา เต็มไปทั้ง 2 แขน

ขึ้นจากอโศก ไปสยาม
คนแน่นตลอดเส้นทาง
เพิ่งหายใจได้คล่อง
ก็ตอนถึงสถานีปลายทางและก้าวพ้นจากตัวรถแล้ว

ฝนยังคงตก
แม้ไม่หนัก แต่ก็ทำให้เปียกและรำคาญได้
โดยเฉพาะเมื่อวันนั้น ใส่ส้นสูง
ที่แม้ไม่สูงมาก
แต่ก็อาจทำให้ลื่นหัวฟาดนู่นนี่นั่น
อายชาวเมืองที่เดินผ่านไปมาได้

เดินผ่านดิจิตอลเกตเวย์
ที่จริง จำไม่ได้ ว่าควรจะต้องเดินไปทางไหน
อาศัยความเคยชิน
ที่มากับคนรักบ่อยๆ
เพราะที่ผ่านมา
เดินตามเค้าตลอด ไม่เคยมองหรือจำทางเลย
ครั้งนี้ ไม่มีเค้า เลยต้องพึ่งตัวเอง

ออกมาจากเกตเวย์ ยืนอึนสักพัก ว่าต้องไปทางไหน
เพราะยังไม่เห็นตึก
ที่เป็นจุดหมายปลายทาง
จำได้ว่าจะต้องผ่านร้านทาโกะยากิ
ร้านเสื้อผ้าที่มีลูกไม้เยอะๆ กระโปรงพลิ้วๆ
เลยเดินตรงไปอีก
ดีที่ร้านนั้น ยังไม่เปลี่ยนแนวแฟชั่นเสื้อผ้า

เดินออกมา เห็นแล้ว ตึกสีขาว
ด้านหน้ามีบริติช เคาน์ซิล
เดินไป เดินตรงไป เดินเข้าไป

ฝากถุงผ้าใหญ่ๆ
กับถุงกระดาษที่ต้องบอกพี่พนักงานว่า ระวังหน่อยนะคะ
เดี๋ยวถุงน้ำมะพร้าวแตก
และกระเป๋าอีก 1 ใบ
พี่พนักงานหันมาถาม
ใบนี้ด้วยหรอ
พยักหน้าตอบ
พี่เค้าย้ายของ
ไปช่องที่ใหญ่กว่าเดิม

เดินเข้าไปข้างใน
เลือกไปที่มุมหนังสือออกใหม่กับหนังสือรางวัล
มองหา...ใครบางคน
ไม่อยู่
เค้าอาจอยู่ที่มุมอื่น
ที่นี่ตั้งกว้าง
เดินไปเรื่อยๆ
เค้าอยู่ในนี้แหละ
เด๋วก้อเจอกันเอง
หรือไม่ก็ยืนจนร้านปิด
พอร้านปิด เราออกไปนอกร้าน ก็จะเจอกัน
เหลืออีกประมาณชั่วโมงครึ่ง ถึงจะปิด
ดูหนังสือไปก่อนแล้วกัน

ได้หนังสือที่จะซื้อมา 3 เล่ม
กฎหมาย 1 เล่ม
ภาษาอังกฤษกฎหมาย 1 เล่ม
แบบฝึกอ่านภาษาไทยของน้อง 1 เล่ม

เวลาผ่านไป
ได้ยินเสียงประกาศ
อีก 10 นาทีจะปิดบริการ

หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
โทรหาคนที่นัดไว้
เขารับ
เสียงดังมาก
เป็นเสียงผู้หญิง หลายๆคน
ไม่ได้ยินเสียงเค้า
เพราะเสียงเธอเหล่านั้น กลบหมด
ถามว่าเค้าอยู่ที่ไหน
"เอ่อ พี่อยู่ในที่ที่เสียงดังมาก"
"..."
คุยกันอีก 4-5 ประโยค
ก็วางโทรศัพท์

น้ำตาจะไหล
แต่ไม่ไหล

โกรธ
เสียใจ
ปวดใจ
เจ็บใจ

ไม่อยากให้มา
ไม่อยากเจอกัน
แล้วนัดมาทำไม

ให้เป็นยัยบ้าหอบฟาง
เดินงกๆเงิ่นๆ ตากฝนมาทำไม
ในเมื่อมีคนอื่นที่อยากอยู่ด้วยแล้ว
และไม่อยากให้ฉันมา
เธอจะบอกว่า.."เจอกันที่ศูนย์หนังสือฯ" ทำไม

ในหัวมีแต่คำถาม

กดโทรศัพท์
หาเพื่อน ที่เคยเรียนจุฬา
ถามว่า จากศูนย์หนังสือ มีที่ไหนนั่งได้ทั้งคืนบ้าง
ขอที่ที่ไม่ไกลนัก เพราะของหนักและฝนตก
เพื่อนบอกให้ไปแมค ชิดลม
เลยตัดสินใจ ไปแมค โรบินสัน แถวอโศก
อย่างน้อย ก็ใกล้ที่พัก
ใกล้เช้า จะได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ทัน
ถ้าไปชิดลม รถไฟฟ้าคงยังไม่เปิด ในเช้าวันถัดไป
ไม่อยากกลับห้อง
อยากไปที่ไหนสักที่
ไปให้พ้นๆ
ไปให้ไกลๆ
แต่ก็ได้แค่นั้น

ไปถึงโรบินสัน
เดินผ่านชั้นล่าง
เห็นถุงน่อง
นึกขึ้นได้ พรุ่งนี้ต้องใช้ และยังไม่มี
ให้พี่พนักงานเลือกให้ 1 คู่
จ่ายเงินเสร็จ ลงมาที่แมค

มาที่นี่เป็นครั้งที่สอง
เดินไปมุมที่เคยมาครั้งแรก
กับใครอีกคน
แต่วันนี้ มุมนั้นไม่ว่าง
และเค้าคนนั้น ไม่ได้อยู่ที่นี่

คนเยอะมาก
ทั้งไทยทั้งเทศ
มีมุมว่างที่มุมสุดของด้านใน
ฝั่งแมคคาเฟ่

โต๊ะข้างๆเป็นแขก
มองยังกับเราเป็นต่างชาติ แล้วเค้าเป็นเจ้าของประเทศ
ช่างเขา
เรานั่งของเรา

หิวมาก
สั่งไก่มา 6 ชิ้น กับน้ำเปล่าอีก 1 ขวด
กินไปได้ 2 ชิ้น รุสึกว่าไม่อยากกินต่อ
รำคาญ
เบื่อ
น้ำมันเยิ้ม
เลี่ยน
เลยถือไปให้พนักงานใส่กล่องกลับบ้าน
ไม่รุว่าจะใส่ไปให้ใครกิน
แต่ก็คงดีกว่าทิ้งไว้ที่ร้าน
เสียดายของ เสียดายเงิน

กินเสร็จ หยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อขึ้นมา
ไม่มีสมาธิอ่าน
แต่ก็พยายามอ่าน
น้ำตาจะไหลอีก
แต่ไม่ไหลอีก
อาย
เลยฟุบลงที่โต๊ะ
สักพัก
มีผุชายเข้ามาถาม
"โทษนะครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ"
"..." มัวแต่งงๆ เลยไม่ได้ตอบ
"ผมนั่งมอง เห็นคุณเหมือนไม่สบาย เป็นอะไรรึเปล่า"

"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ แค่ง่วงๆเฉยๆ"
แล้วก็สนทนาอีกประมาณ 2-3 ประโยค เค้าก็จากไป

นั่งอยู่จนเกือบ 4 ทุ่ม
ง่วงมาก ปวดหัว ปวดตา
เบื่อ
ไม่รุจาปวดอะไรนักหนา
เสียงก็ดัง
คนก็เดินไปเดินมา โหวกเหวกโวยวาย
จะพูดเสียงดังอะไรนักหนา
อยู่ใกล้กันแค่นี้

ทนนั่งอยู่ได้อีกประมาณ 10 นาที
เลยตัดสินใจกลับห้อง

เปิดประตูห้องเข้าไป
น้องถาม
"อ้าว..."
แล้วก็ได้รุอะไรบางอย่าง
สมทบกับความคิดที่มีอยุ่เดิม
กลายเป็นอะไรที่น้ำเน่า
เหมือนในละคร

วันนั้น
เธอไม่ได้เจอกับคนที่นัดไว้
เหนื่อกาย
เพลียใจ
เจ็บข้อมือ เจ็บแขน เจ็บใจ

น้ำตาจะไหลอีกครั้ง
แต่ไม่ไหลอีกตามเคย
กลั้นใจบอกตัวเอง

"หลับไปซะ ฝันดีนะ แพรวา"

22 ก.ย. 2554

อยากกรี๊ด

กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
กรี๊ดดด!!
...

เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว

21 ก.ย. 2554

เหนื่อย

ช่วงนี้ เหนื่อย ๆ
เหนื่อยจริงจัง เหนื่อยเอาเป็นเอาตาย
ทั้งที่ไม่ตั้งใจจะเหนื่อย

เวลาเหนื่อย มักเกิดการคิดถึง
ซึ่งคนที่จะคิดถึง หรือเรื่องที่จะคิดถึง
มีไม่กี่คน ไม่กี่เรื่อง
เจ้าประจำก็จะเป็น แม่ มีขาจรบ้าง แต่ไม่เยอะ

ทุกครั้งที่อ่อนล้า ละเหี่ย เพลียใจ
ต้องคิดแม่..
บางทีแค่คิด บางทีคิดแล้วอยากได้ยินเสียง
ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็จะกดโทรศัพท์
แต่ความจริง การคุยกับแม่ ก็เป็นสิ่งที่ทำเกือบประจำอยู่แล้ว
เพียงแค่วันที่ไม่ธรรมดา มักจะมีเรื่องคุยมากกว่าปกติ

ตอนนี้..อยากได้ยินเสียงแม่
อยากคุยกับแม่
อยากกินอาหารฝีมือแม่
อยากนอนให้แม่เกาหลังให้
อยาก...


กอดแม่

19 ก.ย. 2554

คนเคียงข้าง

เมื่อคืน เป็นครั้งแรกแห่งการตระหนักถึงความสำคัญ
ของการมีใครสักคนอย่างแท้จริง

เราไม่อาจอยู่เพียงลำพัง..ได้อย่างเข้มแข็ง
ไม่อาจกินข้าวเพียงลำพัง..ได้อย่างเอร็ดอร่อย
ไม่อาจเดินเพียงลำพัง..ได้โดยไม่เหงา
ไม่อาจเข้านอนเพียงลำพัง..ได้โดยฝันดี

อย่างน้อย เมื่อวันที่เราล้ม
เราก็ต้องการมือของใครสักคนมาประคับประคอง
หรือแม้จะเพียงแค่..ยืนอยู่ข้างๆ
คอยดูเราค่อยๆยืนขึ้นด้วยตัวเอง..ก็ได้

ยามที่เราอ่อนแอ เราย่อมต้องการความเข้มแข็ง
ต้องการกำลังใจ จากใครสักคน
เราอาจได้มาเอง โดยที่เขาคนนั้นไม่ได้ให้
เพียงแค่เรานึกถึงเขา
นั่นอาจเป็นการได้กำลังใจ โดยไม่ต้องรบกวนใคร
อย่างน้อย แค่มีใครสักคนให้ได้คิดถึง
แล้วยิ้มได้ หัวเราะได้ มีความสุขได้..ก็น่าจะพอ

ฉันยังเยาว์นัก ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย
บางครั้งก็หลอกตัวเองว่าเข้มแข็ง
แท้จริงแล้ว ..หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ตัวตนข้างใน ก็คงเป็นแต่เพียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ
ที่ไม่โตไปกว่าคนที่อยู่ข้างนอกสักเท่าไร

ฉันต้องการการประคับประคอง
บางครั้งก็อาจนำทางให้ฉันเดินตามบ้าง
แต่ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกนะ
เพราะฉันก็ยังโหยหา..เส้นทางของตัวเอง
ทางที่ฉันจะเดิน วิ่ง เขย่งก้าวกระโดด ตีลังการ ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยตัวเอง

ฉันดีใจที่มีเธอ
เธอผู้เป็นดั่งเสาหลักให้ฉันได้พักพิงในยามอ่อนล้า
เธอผู้เป็นดั่งเข็มทิศเล็กๆที่ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเพื่อรอเวลาที่จะได้บอกทางในยามที่ฉันต้องการ
เธอผู้จูงมือให้ฉันข้ามผ่านอุปสรรคทั้งเล็กและมหึมา
เธอ...ผู้ที่ฉันรัก

ขอบคุณที่มอบความรักให้แก่กัน
...


ธัชชัย ธัญญาวัลย
ผู้เป็น คนรัก เพื่อน พี่ เสมือนพ่อ เสาหลัก บ.ก.ส่วนตัว ครู  และ..เกือบทุกอย่างในชีวิต

13 ก.ย. 2554

จะรู้ไปทำไม

หลายครั้ง ที่นึกโกรธตัวเอง
จะสงสัยไปทำไม จะอยากรู้ไปทำไม...จะค้นหาคำตอบ
ไปเพื่ออะไร

บางครั้ง สงสัยอะไรเล็กๆ
แต่พอขุดคุ้ยหาคำตอบ
สิ่งที่ได้..กลับไม่เล็ก

หลายครั้ง รุสึกแย่ ที่มีอะไรมาทำให้ค้างคาใจ
ทำให้สงสัย ทำให้ต้องครุ่นคิด

บางครั้ง เมื่อพบคำตอบและทางออกของการขบคิด
กลับกลายเป็นว่า..ปลายทางแห่งความสงสัยนั้น
มืดมนและสับสน หนาวเหน็บ เสียยิ่งกว่า..
ต้นทาง

หลายครั้ง อดสงสัยไม่ได้ว่า
...
จะดิ้นรนหาคำตอบไปทำไม
จะรู้ไปทำไม??

9 ก.ย. 2554

เลดี้ รีดผ้า

ตั้งแต่จำความได้ และรู้ประสีประสา
ก็ตั้งใจไว้ว่า จะไม่บอร์น ทู บี ศรีภรรยา
ที่เป็นอารมณ์แบบว่า แม่ศรีเรือน
ทำอาหาร ทำงานบ้าน ผลิตลูก

เพราะที่อยากเป็นก็คือ working woman
อยากเป็นผู้หญิงที่ยืนได้ด้วยตัวเอง
โดยไม่เอาชีวิตไปผูกติดกับความอยู่รอดของผู้ชาย

ที่ผ่านมา ก็เป็นอย่างที่อยากเป็น เสมอ
ยังคงชัดเจนในจุดยืนของตัวเอง

แต่ตอนนี้ ไม่แน่ใจว่า มีอะไรที่เปลี่ยนไปหรือไม่
การกระทำเปลี่ยน เพราะความคิดเปลี่ยน
หรือเปลี่ยนแค่การกระทำ โดยที่ความคิดยังคงเดิม

อันนั้น ไว้นั่งขบคิดด้วยตัวเองอีกที
รู้แค่ว่าตอนนี้
ต้องรีดผ้า ล้างจาน กวาดห้อง ถูห้อง
ก็เรียกรวมๆว่า ทำงานบ้านนั่นแหละ
ขาดแต่เพียง ไม่ต้องทำอาหาร
เพราะทำไม่ได้เรื่อง
ทำที แทบกลืนไม่ลง

หลายวันก่อน  รีดผ้า..
ความคิด ที่เคยมี ก็วนเวียนเข้ามาขบเคี้ยวเล่นอีกเช่นเคย
รีดผ้า ทำให้รู้สึกได้หลายอารมณ์

บางครั้ง..หงุดหงิด เพราะกว่าจะรีดเสร็จ ก็กินเวลาไปสักพักใหญ่
ซึ่งเวลาส่วนนั้น ควรจะเป็นเวลาอ่านหนังสือ หรือพักผ่อน

บางครั้ง .. ค่อนข้างหงุดหงิด ด้วยเหตุผลเดียวกับข้อแรก
แต่อารมณ์บูดน้อยกว่า เพราะมีอย่างอื่นให้ทำไปด้วย
เช่น ..ดูละคร

และบางครั้ง..ก็ไม่หงุดหงิด เพราะคิดว่า..เรากำลังรีด..เสื้อผ้าของใคร

เมื่อคิดถึงคนใส่ มันก็จะไม่ค่อยรู้สึกแย่

จำได้ว่า ครั้งแรกๆของการรีดผ้า
เป็นการรีดด้วยหัวใจ
อยากให้คนๆนั้น ใส่เสื้อผ้าที่ดูสะอาดเรียบร้อย

อันที่จริง ก็มีแค่เหตุผลนี้เพียงข้อเดียว
ที่ทำให้ฉัน ถือเตารีดได้เป็นเวลานานๆ

ต่อให้หงุดหงิดแค่ไหน ก็ยังคงรีด..ต่อไป

แล้วก้อดคิดไม่ได้
ถ้าวันไหน เสื้อผ้าที่รีด..ยับ (กว่าที่เคย)
หรือรีดแล้วไหม้ รีดแล้วใส่อีกไม่ได้
ไม่ตั้งใจรีด  ..หรือแม้กระทั่ง ไม่รีด

จะหมายความว่าอะไร?

...

I am an Office Syndrome, aren't you?

วันนี้..ได้รับเมล Congratulation เรื่อง passed probation
ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร เพราะรู้ได้สักพักแล้วว่าผ่าน

แต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิด
กลับกลายเป็น
"นี่เราต้องนั่งทำงานอย่างนี้แบบ permanent ซะแล้วหรือ"
ทั้งที่เพิ่งผ่านมาแค่ประมาณ 4 เดือน
แต่ก็ต้องเริ่มหาข้อมูลเรื่อง อาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อต่างๆ

เพราะตอนนี้ ปวดมาก
ตั้งแต่หัว จรด เท้า
กดตรงไหนก็ตาม ไม่มีที่ไม่ปวด ไม่มีที่ไม่เจ็บ
เค้าว่ากันว่า อาการนี้คือโรค ออฟฟิศซินโดรม

เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อหรือออกกำลังน้อยเกินไป
ทำอะไรเดิมๆ เป็นเวลานานๆ
หลายคนคงรู้ดี

หลายวันมานี้ ปวดตา ปวดคอ ปวดหลัง
นอนหลับ ตื่นมา ก็ยังคงปวดอยู่
บั่นทอนพลังชีวิตมากพอสมควร

สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ
พยายามขยับ เปลี่ยนอิริยาบถ บ่อยๆ
จิบน้ำเยอะๆ และพักสายตาบ้าง

ไม่อยากเป็นมากไปกว่านี้
เพราะ..รำคาญ
รำคาญที่ไม่สามารถทำอะไรๆได้ตามที่ใจต้องการ
เนื่องมาจากร่างกายไม่อำนวย

นี่อาจเป็นการลงโทษ

เพราะการไม่ใส่ใจและเมินเฉย
ต่อสัญญาณอะไรบางอย่าง
ที่หลายสิ่งหรือหลายคนกำลังบอก
อาจจะรับรู้ แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่สำคัญ
ปลอบ หรือ หลอกตัวเองว่า..ไม่เป็นไร

สุดท้าย เมื่อเป็นอะไรขึ้นมา
ก็ได้แต่เจ็บปวด

...

2 ก.ย. 2554

อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

หลายวันก่อน ได้ยินข่าวว่ารุ่นน้องที่คณะ
ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
เป็นรุ่นน้องปี 1
เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้
ก็ได้ยินข่าวรุ่นน้องเสียชีวิต
น่าจะปี 3
สะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก

ความจริง ชีวิตฉันตอนนี้ แทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับที่นั่นเลย
ไม่ได้เข้าไป ไม่ได้คุยกับใคร แต่ก็ยังคงนึกถึง..เสมอ

ฉันห่างจากพวกเขาหลายปี
และไม่มีโอกาสได้ทำความรุจัก
หรือแนะนำตัวว่าเป็นรุ่นพี่
แต่ถึงกระนั้น มันก็มีเส้นใยบางๆ
เกี่ยวพันให้ฉันอยากรับรู้ความเป็นไปของพวกเขา
และเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ก็อดที่จะเศร้าใจไม่ได้
รุ่นน้องเราตาย...


มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด
และยากที่จะยอมเอาตัวเองเข้าไปทำเหมือนไม่รับรู้ความรุสึกเหล่านั้น
ยังมีความรักของเพื่อน พี่ น้อง เหลือให้ฉันคนนี้บ้างไหม
คำถามที่คาใจ แต่ไม่เคยได้ถามใครออกมา

อาจเพราะข้อเปรียบเทียบ
ระหว่างเพื่อนสมัยมัธยม กับเพื่อนที่นี่
เพื่อนสมัยมัธยม..
แกจะเป็นยังไงก็ช่าง แกเป็นเพื่อนฉัน ฉันเป็นเพื่อนแก
เพื่อนที่นี่..ไม่เหมือนเพื่อนมัธยม

หรืออาจมีบ้างที่เหมือน แต่ฉันสัมผัสไม่ได้

ฉันเลือกทางเดินชีวิตใหม่
การเปลี่ยนแปลงที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
แล้วพวกเขาเหล่านั้น ก็ไปจากชีวิตฉัน
โดยไม่มีคำถามใดๆ เพื่อเข้าใจฉันอย่างแท้จริง
ไม่มีโอกาสให้ฉันได้พูด..ถึงความรู้สึก..ในหัวใจ

เราใช้เวลาด้วยกันมา 4 ปี
วันเวลาเหล่านั้น ยังอยู่ในความทรงจำ
และน่าเสียดายที่มันหายไปอย่างรวดเร็วสำหรับเพื่อนๆเหล่านั้น

ฉันกันตัวเองออกมาจากที่นั่น
เป็นการเลือกของฉันเอง
เพราะฉันอ่อนแอเกินกว่าจะเข้าไปยืนในจุดนั้น
ที่ซึ่งไม่อาจรุได้เลยว่า ยังมีไว้เพื่อฉันอีกต่อไปหรือเปล่า

เรื่องราวปากต่อปาก ที่ไม่ได้มาจากปากฉัน ผู้เป็นต้นเรื่อง
ตอนนี้ เป็นอย่างไร ฉันก็ไม่อาจรุได้
และคงไม่ถามใคร เพราะไม่มีประโยชน์
แค่นี้ก็บอบช้ำมากพอแล้ว
อาจเป็นอีกหนึ่งแผลในใจ
ที่เกิดขึ้นเพราะคำว่า มิตรภาพ

เจ็บปวดที่เพื่อนรัก ..เดินจากเราไปดื้อๆ
เวลาที่ผ่านมาไม่มีความหมายอะไร
ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจกัน หรือหยุดคิดสักนิด
ถึงตัวตนที่แท้จริง
วันแรกเจอกัน เห็๋นหน้ากันยังไง
ก็คงรุจักกันอย่างนั้น
ไม่ได้เห็นใจกันโดยแท้จริง

อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าฉันตายจากไป
จะมีคำไว้อาลัยจากเพื่อนๆที่นี่บ้างหรือไม่
หรือแม้กระทั่ง ถ้าฉันตาย
จะมีใครที่นั่นรุไหม ว่าฉันตาย

แต่ก็เอาเถอะ ความน้อยใจไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
มีเพื่อนหลายคนที่นั่นยังคงบอกว่ารักฉัน
คิดถึงฉัน ถามหาฉัน อยากเจอฉัน

ก็ได้แต่หวังว่า คำเหล่านั้น ออกมาจากใจจริง

สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้ ก็มีเพียง
รับรู้ข่าวคราวความเป็นไปของที่นั่นผ่านทางเฟสบุ๊ค
ใครทำอะไร ที่ไหน ยังไง
ดีที่อย่างน้อย ก็มีคนแอดฉันเข้ากลุ่มในหน้าเพจของคณะ
ไม่อย่างนั้น ฉันคงถูกตัดออกจากวงโคจรของที่นั่น
อย่างแท้จริง

รักและคิดถึง
แต่คงไม่อาจเข้าไปเพื่อพบหน้า
ฉันไม่เข้มแข็งพอ
ที่จะเห็นคนที่เรารัก..ไม่ได้รักเรา

ขอยืนอย่างห่างๆ ณ จุดนี้ก็แล้วกัน

1 ก.ย. 2554

หลุดโลก

ช่วงนี้ อะไรๆก็ดูขวางหูขวางตา
อาจเพราะหงุดหงิด
อยากทำอะไรแล้วไม่ได้ทำ
บ่อยๆเข้า ก็เลยติดเป็นอารมณ์ ที่ไม่ดี

อยากอ่านหนังสือ ..ได้อ่านบ้าง ไม่ได้อ่านบ้าง
โทษใครไม่ได้ เพราะบริหารเวลาไม่ดีเอง
แต่จะให้ทำยังไง
แพลนไว้อย่างดี
สุดท้ายก็..ปวดตา ปวดหัว งานเยอะ เหนื่อย..เฮ้อ

อยากอ่านหนังสือ
เพราะรุสึกว่าหนังสือคือสิ่งที่ใช้ควบคุมอารมณ์ได้ดีที่สุด
เมื่อใช้เวลากับมันแล้ว มีความสุข
บางที ไม่มีเพื่อน แต่มีหนังสือ ก็ไม่เหงา
ไม่มีแฟน แต่มีหนังสือ ก็อยู่ได้

ดีหน่อยที่ช่วงนี้ มีทั้งหนังสือ ทั้งเพื่อน ทั้งแฟน
ก็ลั้ลลากันไป

เมื่อก่อน ใครๆก็บอกว่าฉันแปลก
สมัยมัธยม วันสุดท้ายของการสอบ
ไม่ว่าจะกลางภาค ปลายภาค
นักเรียนจะไปปล่อยผี
คาราโอเกะบ้าง กินข้าวในห้าง เดินจับกลุ่ม เหล่สาว มองหนุ่ม
ถ้าเป็นกลุ่มของฉัน ตอน ม.ต้น
ผู้หญิงล้วน 7 คน..เราจะไปเล่น..คาร์บั๊ม
เล่นมันทั้งชุดนักเรียนนั่นแหละ
มันส์หยด..อย่าบอกใคร
เหมือนเด็กเนิร์ดได้ปลดปล่อย..และแสดงให้โลกรู้ว่า
ฉันไม่เนิร์ดนะยะ

แต่หลายครั้ง ฉันไม่ได้ไป
ในขณะที่เพื่อนๆจับกลุ่มพูดถึงคำตอบของข้อสอบ
พลางฟอร์มทีมเพื่อนัดแนะว่าจะไปไหน ทำอะไร
ฉันเลือกที่จะปลีกวิเวก
ไปหอสมุดแห่งชาติ
เพื่อนๆเป็นอันรู้กันว่า
นั่นเป็นวิธีคลายเครียดของฉัน

ผิดใจกับพ่อ ทะเลาะกับเพื่อน งอนกับแฟน สอบได้คะแนนไม่ดี ก็จะเข้าห้องสมุด

ความจริง อ่านในห้องสมุดที่โรงเรียนก็ได้
แต่ไปหอสมุดแห่งชาติดีกว่า เพราะเงียบกว่า บรรยากาศขลังกว่า
กลิ่นของหนังสือเก่าๆ รุนแรงกว่า ฉันชอบมากกว่า

ฉันชอบอ่านหนังสือ
เพราะทุกครั้งที่จิตใจไม่ปกติ ฟุ้งซ่าน โกรธ โมโห เสียใจ น้อยใจ
หนังสือจะเป็นเพื่อนปรับทุกข์ที่ดีที่สุด
เมื่อสายตาเราโลมไล้ไปตามตัวอักษร
หัวสมองและความคิดจดจ่ออยู่กับความหมายและสารที่ผู้เขียนต้องการสื่อ
ความสงบเกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านหายไป
เมื่ออ่านหนังสือจบ ก็หมดอารมณ์แย่ๆพอดี
หัวจะโล่ง คิดอะไรก็ออก แก้ปัญหาก็ทำได้ไม่ยาก
นั่นเป็นผลโดยตรงจากการอ่านหนังสือ

แต่บางครั้ง ก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง
แบบที่ทำให้ฉันอึนๆมึนๆงงๆไปหลายวัน
หนังสือบางเล่ม ดูดและกลืนตัวตนเรา
ถ้อยคำและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะอ่าน
ยังคงวนไปเวียนมาทั้งๆที่อ่านจบไปนานแล้ว
ประมาณว่า อิน และ อารมณ์ค้าง
บางทีฉันก็ชอบ แต่ส่วนใหญ่จะไม่
เพราะเมื่อไหร่ที่ได้หลุดเข้าไปในโลกของตัวหนังสือ
ฉันจะไม่อยากกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ความสุขในโลกนั้น มันเป็นอะไรที่โลกนี้เทียบไม่ได้
เหมือนเราล่องลอย และสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา
โลกที่มีแค่ตัวหนังสือ และฉัน..เพียงผู้เดียว

บางครั้งฉันก็พอใจกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่มีความสุข
บางครั้งหนังสือก็ทำให้ฉันไม่ต้องการใคร
บางครั้งฉันก็หลง...ฉันกำลังยืนในโลกของหนังสือ หรือโลกแห่งความเป็นจริง
และจะเสียใจทุกครั้งที่เตือนตัวเองได้ว่า นี่คือโลก..จริงๆ