26 ม.ค. 2555

ประภาส แปลว่า แสงสว่าง

เมื่อครั้งอยู่ในช่วงบ้าอ่านหนังสือ


สมัยเรียนมหาวิทยาลัย


มีความสุขมาก


วันๆ ไม่ต้องทำอะไร


นอกเหนือจากเรียนก็ไปหมกตัวอยู่ในห้องสมุด


แอร์เย็นๆ บรรยากาศเงียบๆ วิวสวยๆ (นั่งริมกระจก ชั้น 4 ชั้น 5)


มีหนังสือหลายๆ เล่มวางอยู่บนโต๊ะ


บางครั้งก็เลือกยากเหมือนกันว่าจะอ่านเล่มไหนก่อนดี


มันอยากอ่านไปหมด


อ่านแล้วก็ต้องอ่านให้จบเล่ม


ไม่งั้น ขึ้นเล่มใหม่ไม่ได้


.
.
บังเอิญได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่ง


ชื่อว่า..ตัวหนังสือคุยกัน


คนเขียนชื่อ ประภาส ชลศรานนท์


ตอนนั้นไม่รู้จักหรอก ประภาสที่ว่านี้คือใคร


มารู้ภายหลังว่าเป็นหนึ่งในผู้สรรค์สร้าง Workpoint


ที่รู้จักมากขึ้น เพราะติดใจในแนวความคิด


ก็เป็นธรรมดาที่จะอยากรู้เพิ่มเติมว่า


คนที่คิดและเขียนอะไรๆ ได้อย่างนั้น


เขามีประวัติความเป็นมาอย่างไร


ตัวหนังสือคุยกัน เป็นหนังสือถามตอบ


บรรดาแฟนคลับมีข้อสงสัยในชีวิต หรือปัญหาที่แก้ไม่ตก คิดไม่ได้


ก็ส่งจดหมาย (หรืออีเมลล์ หรือโพสต์ในหน้าเว็บก็ตามแต่) ไปถาม


คำถามไหนโดนๆ และคิดว่ามีประโยชน์แก่ผู้อื่น


ก็คัดมารวมเล่ม พิมพ์จำหน่าย


การรู้จักคุณประภาส ทำให้รู้จักหนังเก่า


เรื่อง the Shawshank Redemption


เก่าแล้วจริงๆ


เพราะตอนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้น ก็ล่วงเลยมาหลายปีมากแล้ว


นับจากวันที่หนังสือถูกตีพิมพ์จำหน่าย


ไปหาหนังมาดู   เริ่มจากค้นดูในห้องสมุด


มีเป็นวิดีโอ


ขลังมาก เพราะสมัยนั้น สื่อบันเทิงต่างๆ เขาทำมาเป็นวีซีดี ดีวีดีกันหมดแล้ว


ดูวิดีโอ เป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีซับไตเติ้ล


บอกตามตรงว่า ไม่อิน ไม่สนุก เพราะไม่รู้เรื่อง 555++


ลองไปร้านเช่าหนังใต้หอพัก


ปรากฏว่ามี ดีใจมาก


เป็นวีซีดี 2 แผ่น


หน้าปกเป็นรูปคนขาว กับคนดำ บรรยากาศฉากหลังในภาพ อึมๆ ครึมๆ


ความจริง แค่หน้าปก ก็ไม่ใช่แนวอย่างรุนแรงแล้ว


แต่ก็นะ เชื่อคุณประภาส



.
.



เปิดดู ค่อยยังชั่ว มีซับไทยให้


แต่พระเจ้าช่วย


แผ่นเป็นรอย ดูได้แค่ครึ่งเรื่อง ที่เหลือก็นะ


โซเคนยังเอือม


ไปถามที่ร้านอีกที .. ร้านบอกมีแค่แผ่นเดียว


หึหึ


จึงต้องจำใจดู ทั้งที่กระตุกๆ สะดุดๆ อย่างนั้นแหละ


แต่ถึงอย่างไร


หนังที่ใช่ ก็ยังคงใช่


รู้สึกทันทีว่า ต้องหามาดูอีกทีในเวอร์ชั่นสำราญจิตกว่านี้ให้ได้


ไปตามหาที่ร้านแมงป่อง


โชคดีที่ช่วงนั้น เขาเอาหนังเอามา reproduce ใหม่


ทำ packaging สวยงาม เป็นที่น่าสะสม


ในบรรดาหนังเก่าที่เอามาขายใหม่นั้น มีเรื่องนี้อยู่ด้วย


แต่โชคคงไม่เข้าข้าง สาขาไหนก็หมด


รอผลิตใหม่ล็อตถัดไป


สุดท้าย ถัดมาอีกหลายเดือน ถึงได้มาจริงๆ


เป็นแผ่นสุดท้ายที่มีในร้าน


ดีใจมาก


และนั่น คือหนังเรื่องแรกและเรื่องเดียว


ที่กล้าบอกได้ว่าเป็นเรื่องโปรด


ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ


หนังแฝงปรัชญา ความคิด มุมมอง


และนำเสนอผ่านตัวละครที่มีความแตกต่างในปูมหลัง


ฉันอินไปกับทุกตัวละคร


สะเทือนใจในบางฉาก


ปลื้มใจไปกับผลของความอดทน


ทึ่งในสติปัญญา


และสมน้ำหน้าตัวละครที่มีจุดจบจากความชั่วของตัวเอง


อิสระ ... เป็นสิ่งที่หอมหวานเสมอ


แต่บางครั้ง บางคน ก็ไม่ได้ต้องการมัน


เมื่ออิสระ มาพร้อมกับความไม่ปลอดภัย


ไม่มั่นคงในสวัสดิภาพของชีวิตตัวเอง


.
.
.

ขอบคุณ คุณประภาส ผู้นำพาแสงสว่างมาสู่ปัญญาของฉัน


ไม่มาก ไม่น้อย แต่ค่อยๆ ใช้ได้ตลอดชีวิต
.
.
.
to be continue...

24 ม.ค. 2555

แสงสว่าง

เมื่อสมัยเป็นเด็ก

ฉันชอบอ่านหนังสือ

ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า

การอ่าน สยบความฟุ้งซ่านในความคิดได้

หลังสอบเสร็จ..เพื่อนๆ จะไปร้องคาราโอเกะ เล่นคาร์บั๊ม

เพราะเด็กห้องคิง เป็นพวกเก็บกด

จะเล่นอะไรแบบนี้ ก็หลังจากยกข้อสอบออกจากอก

ยกเกรดออกจากหัวแล้วเท่านั้น

แต่สำหรับฉัน เพื่อนๆ ชอบว่า "มันบ้า ปล่อยมันไป"

เพราะฉันชอบไปหมกตัวอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ

.
.
ความจริง ที่ไม่เคยบอกเพื่อน

หรือถึงบอกไป ก็ไม่มีใครใคร่จะเข้าใจ

.
.
ฉันไม่ชอบที่ที่เสียงดัง

ฉันไม่ชอบที่ที่คนเยอะ

ฉันไม่ชอบความวุ่นวาย

(แต่ในบางครั้ง ฉ้นก็ไปแหกปากในตู้คาราโอเกะ  เล่นคาร์บั๊มกับเพื่อนๆ บ้าง

ระบายสิ่งตกค้างในสมอง ที่ติดอยู่ตามซอกหลืบเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งต้องใช้ความรุนแรงในการสลัด สะบัดมันออกไป)

.
.
ฉันชอบกลิ่นหนังสือเก่าๆ

ชอบยืนอุดอู้ ก้มๆ เงยๆ อยู่ในซอกเล็กๆ ระหว่างชั้นวางหนังสือ

ชอบฟุบหลับโดยใช้ตัวอักษรแทนหมอนอ่อนนุ่ม

ฉันชอบ ด้วยเหตุผลแค่นั้นจริงๆ

และไม่เคยรู้สึกว่า การอ่านหนังสือ ทำให้ฉันฉลาดขึ้นแต่อย่างใด

เพราะที่หลงใหลและหยิบมาอ่าน ก็ใช่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน

สิ่งที่รู้มา เอาไปเป็นคะแนนเก็บเกรดก็ไม่ได้

แล้วไง..

ฉันไม่สนใจหรอก อยากอ่านก็อ่าน แค่นั้น
.
.
จนกระทั่งมาเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวทิยาลัย

สิ่งที่ชอบก็ยังเป็นเช่นเดิม

.
.
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน

กลุ่มที่สนิทๆ ก็ดันอยู่บ้าน มีฉันคนเดียวที่อยู่หอ

เหงานะ

แต่ครั้นจะไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง

วิ่งตามกระแสนิยม เพื่อทำตัวกลมกลืนกับเพื่อนๆ กลุ่มอื่นๆ ที่อยู่หอ

ก็ไม่ไหว
.
.
.
ฉันยังจำวันนั้นได้ชัดเจน

วันที่ฉันใส่กระโปรงสั้นและรองเท้าส้นสูงไปมหาวิทยาลัยครั้งแรก

ตอนเดินเข้าซุ้มคณะ

ฉันเป็นเป้าสายตา

มันหนักหน่วงมาก

และเขินมากเช่นกัน

ฉันดูกลมกลืนกับเพื่อนๆ ขึ้นมาบ้าง

แต่นั่น..มันแตกต่างกับตัวตนฉันโดยสิ้นเชิง

.
.
ก่อนหน้านั้น

ฉันใส่พรีซครึ่งแข้ง

รองเท้าผ้าใบ

ผมยาวๆ ปล่อยบ้าง มัดบ้าง

ถือหนังสือเป็นตั้งๆ

ดูเป็นตัวประหลาด

ในสายตาใครหลายๆ คน

แต่ฉันก็สบายใจ

ที่ได้เป็นตัวของตัวเอง
.
.
.
วันที่ฉันเปลี่ยน

มันเป็นความขัดแย้ง

อึดอัด หงุดหงิด น้อยเนื้อต่ำใจ

ทำไมในเวลาที่ฉันเป็นฉัน ถึงไม่มีใครมอง
.
.
วันนั้น หลากหลายคำถามประดังเข้ามา

"เคยใส่กางเกงขาสั้นบ้างไหมเนี่ย   ขาขาวมาก"

"ทำไมถึงไม่ได้เป็นลีด"

"ทำไมไม่แต่งอย่างนี้ตั้งนานแล้ว"

ฯลฯ

.
.
ฉันตอบว่า

"ไม่เคยค่ะ"

"ก็หนูเป็นเด็กโต้(วาที)แล้วนี่คะ"

"..."

.
.
ช่วงนั้น ฉันทำกิจกรรมที่คณะ

ทำทุกอย่าง ที่เขามีให้ทำ

ขึ้นเชียร์ ซ้อมโต้วาทีคณะ เป็นเด็กแกนนำเชียร์

(ซ้อมเชียร์นอกเวลา รุ่นพี่ปั้นให้เป็นสตาฟในปีถัดไป)

และอื่นๆ อีกมากมาย
.
.
กิจกรรมทำให้ฉันมีเพื่อน

เพื่อนทำให้ฉันไม่เหงา

และการมีเพื่อน มีพี่นี่แหละ

ทำให้ฉันได้สัมผัสรสชาติใหม่ของชีวิต

ฉันกินเหล้า..ครั้งแรก

กินกันที่หอรุ่นพี่

แสงโสมผสมเป๊บซี่

3 แก้ว อ้วก

อ้วกแล้วเมา

เมาแล้วพูดไม่หยุด

นั่นเป็นวีรกรรมเปิดซิงการกินเหล้า

555++

.
.
.
ชีวิตอยู่ในวังวนสังคมตามกระแสครึ่งปี (คือ 1 เทอมนั่นเอง)

ซัมเมอร์ เพื่อนลงเรียนกัน

แต่ฉันคิดไว้แล้วว่าช่วงเวลานั้น ฉันจะใช้เพื่อทำอย่างอื่น

ฉันไม่มีวิชาที่ต้องซ่อม และไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบร้อนลงเรียนล่วงหน้า

เรียนไปตามเกณฑ์ เรื่อยๆ 4ปีละกัน

ฉันไปเชียงใหม่

อยู่กับน้า ทำงานพาร์ตไทม์ อ่านหนังสือ ขับมอเตอร์ไซด์เที่ยว

และไปอยู่วัด

ครั้งแรกคิดว่าจะไปแค่ 3 วัน

แต่พอไปแล้ว ไม่อยากออกมา

น้าโกรธมาก เพราะทิ้งงานที่รับไว้เป็นจ๊อบ 6 วัน ไปอยู่วัด

ความจริง มีคนทำแทนอยู่แล้ว พี่เจ้าของจ๊อบก็ไม่ได้ว่าอะไร

แต่น้าโกรธ เพราะไม่ทำงานหาตังค์

และลึกๆ คงกลัวว่าฉัน จะหลงไปไกล

เพราะวันที่น้าไปรับกลับมาจากวัด

แล้วไปบ้านยาย

ฉันพูดน้อย กินน้อยลงไปมาก

เขาคงเป็นห่วง
.
.
แต่ฉันก็ดื้อ

ไปอยู่วัดอีก 10 กว่าวัน

(นั่นทำให้น้า ไม่พูดกับฉันเป็นปี)

ออกมาจากวัด ก็ถึงกำหนดกลับกรุงเทพฯ พอดี
.
.
กลับมาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม (แต่ไม่เหมือนเดิม)

ไม่มีคำไซโคลใดใช้ได้ผลกับฉัน

ฉันไม่แตะเหล้า เบียร์ ของมึนเมา

ไม่กินอาหารราคาแพง

ไม่เที่ยว

(ความจริงก็ยังไม่เคยเที่ยวเลยสักครั้ง

เพื่อนชวน จนเลิกชวนกันไปเลย)
.
.
ฉันเปลี่ยนไป

เป็นคำถากถางจากเพื่อนและพี่หลายคน

ก็จริงที่ฉันไม่เหมือนเดิม

แต่ไม่จริงที่ฉันเปลี่ยนไป

ฉันแค่กลับมาสู่จุดที่ฉันควรยืนและอยากยืน

ฉันแค่เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธสังคมและความรู้สึกจอมปลอมเช่นนั้น

มันไม่ใช่ตัวตนฉัน

.
.
พระอาจารย์บอกฉันบ่อยๆ ว่า

"แพรวาต้องเข้มแข็งนะ ลูกศิษย์อาจารย์ต้องเข้มแข็งนะ"

พระอาจารย์อำนวยศิลป์ แห่งวัดร่ำเปิง ตโปทาราม

พระวิปัสสนาจารย์รูปแรกในชีวิตของฉัน

.
.
ฉันตาสว่างขึ้นมาได้ เพราะคำเตือนนั้น จริงๆ
.
.
ย้อนไปถึงตอนที่บอกกับพ่อครั้งแรกว่าจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ

พ่อบอกว่า

"อย่าไปเลย  เอาตัวไม่รอดหรอก"

สำหรับฉัน มันเป็นคำสบประมาทอย่างรุนแรง
.
.
.
สุดท้าย ก็ต้องยอมรับว่า

มันเกือบเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ล้มลุกคลุกคลาน ร้องไห้อยู่หลายหน

โทรกลับบ้านหาแม่ทีไร

ก็ไม่กล้าแสดงความอ่อนแอให้แม่รู้

ไม่กล้าบอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

แม่ก็ไม่เคยเซ้าซี้ถาม

แม่รู้ว่าลูกแม่เป็นอะไร

แต่ลูกจะเล่าหรือไม่เล่าก็ได้

แม่บอกแค่ว่า

"เข้มแข็งนะลูก  ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว ลูกแม่ทำได้"

.
.
.
ช่วงที่ฉันตัดสินใจเลิกกับแฟนอย่างเด็ดขาด

ไม่มีใครปลอบใจฉันได้ดีเท่าหนังสือ

ฉันกลับมาหาเพื่อนรักเก่า

เพื่อนที่ไม่เคยทำร้าย ไม่เคยหลอกลวง หักหลัง หรือหวังผลอันใด

ฉันอ่านหนังสือแทบตลอดเวลา

อ่านจนหลับ  ตื่นจากหลับก็อ่านต่อ

อ่านจนได้เป็นสุดยอดนัดอ่านของ ม.กรุงเทพ

ได้เงิน 500 กับแฟลชไดร์ฟ 4 Gb อีก 1 อัน
.
.
นอกจากนั้น

ฉันได้รู้จัก

แสงสว่าง

ที่มีค่าอย่างยิ่ง

(เครื่องแบบเรียบร้อย + ติ้งคณะ)





รุ่นพี่

เมื่อสักครู่

เข้าไปดูบล็อกของใครคนหนึ่ง

ซึ่งอยู่ดีๆ ก็นึกถึงขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ความจริง เป็นเช่นนี้บ่อยเหมือนกัน

ไม่ค่อยได้นึกถึงพี่คนนี้สักเท่าไหร่

แต่เมื่อได้นึกถึงทีไร จะต้องได้เข้าไปเยี่ยมชมพื้นที่ของเขา

ชมนู่นี่นั่น เนิ่นนาน
.
.
.
พี่เขาโตขึ้นมาก

เก่งขึ้นมาก

และก้าวหน้าขึ้นมาก

แน่นอน คนเราก็ต้องเดินไปข้างหน้าอยู่แล้ว

โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงไฟฝันลุกโชน

ไม่เจอกันไม่ถึงปี

เจออีกที อาจงงๆ และมึนๆ กับความเปลี่ยนแปลง
.
.
.
หน้าตาไม่เปลี่ยน

แนวความคิด และกลิ่นอายตัวตนไม่เปลี่ยน

ยังมีมุมมองที่ส่องโลกในวิถีทางเช่นเดิม

สัมผัสได้เช่นนั้น
.
.
.
ความจริง เราอายุห่างกันแค่ประมาณ 1 ปี

ฉันอยู่ ม.1  เขาอยู่ ม.2

ไล่ๆกันขึ้นมาเช่นนั้น ตามระบบการศึกษา
.
.
.
เราไม่สนิทกันหรอก แค่รู้จักกันเท่านั้น
.
.
.
ตอนที่เรียนมัธยม ฉันออกจะค่อนไปทางไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ด้วย

ทั้งๆที่เรื่องราวของเขาก็คือเรื่องราวของเขา

ชีวิตเขา ก็คือชีวิตเขา

ไม่ได้มีเส้นตัดผ่านมายังชีวิตฉันเลยสักนิด
.
.
เขาเป็นคนดังของโรงเรียน

รุ่นน้องผู้หญิงกรี๊ดเขาพอสมควร

อาร์ตมาตั้งแต่เด็กๆ

วาดรูปสวย

ทำตัวเท่ บางคนจึงว่า เขาขี้เก๊ก

.
.
เมื่อตอนเรียน ม.ต้น

หลังเลิกเรียน ฉันมักได้เดินตามหลังเขา ออกไปขึ้นรถประจำทางกลับบ้านบ่อยๆ

อื้ม..เราขึ้นรถสายเดียวกัน

บ้านเขาถึงก่อนบ้านฉันแป๊บเดียว

.
.
ฉันชอบมอง เขาเดินกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง

ใครๆก็ว่า เขาเป็นแฟนกัน

ฉันก็คิดเช่นนั้น

แต่ความจริงเป็นยังไง ไม่อาจรู้ได้

มันเรื่องของเขา

แล้ววันหนึ่ง

ภาพนั้นก็หายไป

.
.
ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันอีกนั่นแหละ

แต่กลับอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้

ความหม่นหมอง ข้องใจ เกิดขึ้นโดยรู้ตัวแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
.
.
.
เราคุยกันครั้งแรก ผ่านทาง hi5

ตอนนั้น พี่เขาอยู่ปี 4
.
.
.
ไปๆมาๆ จับพลัดจับผลู

เขากลายมาเป็นครูสอนฉันวาดรูป

รูปแรกในชีวิต ที่ตั้งใจวาด

(ไม่นับการวาดตามมีตามเกิดเพื่อเอาคะแนนในวิชาศิลปะนะ)

เป็นรูปนุ่ม วาดจากรูปถ่าย

ฉันเตรียมกระดาษและดินสอไปเอง

แต่ที่ลงมือวาดจริง กลับใช้เป็นกระดาษ และดินสอของพี่เค้า (ซะงั้น)

วาดเสร็จ ให้นุ่ม..เป็นของขวัญปีใหม่

.
.

.
.
.
หลังจากนั้น ก็เหมือนกึ่งๆคุย กึ่งๆหาย

แล้วรู้ข่าวอีกที ก็ตอนพี่เขาจับได้ใบแดง ไปเป็นทหาร

.
.
ไปนั่งที่ร้านฮาจิบัง พี่เขากินหมี่เย็น

กินไป คุยไป
.
.
บอกกับพี่เขาว่า จะเขียนจดหมายไปหา

แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง

สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งไป
.
.
ได้รับจดหมายจากพี่เขา

ดีใจมาก แต่ก็แอบเสียใจ

ที่เราไม่ได้ส่งให้เขา

คิดอยู่นาน...สุดท้ายก็ไม่ได้ส่ง ฮ่าๆ

จนถึงทุกวันนี้ กล่องนั้น ยังอยู่เช่นเดิม
.
.
.
เคยไปยืนอ่านหนังสือของพี่เขา ที่วางแผงแล้ว

กำแพงความรัก

อ่านแล้ว ก็ดี

แต่ไม่ค่อยอิน และไม่มีแนวความคิดใหม่ๆเกิดขึ้นในหัว

จึงไม่ได้ซื้อ

ถึงกระนั้น ก็ยังคงไปยืนเปิดในอีกหลายๆครั้งต่อมาที่ไปพบตามร้านหนังสือ

จะช่วยซื้อดีไหม

ถ้าใช้คำว่าช่วยซื้อ คนสร้างคงไม่ค่อยภูมิใจเท่าไหร่กระมัง

รอเล่มอื่น ที่โดนใจเราจริงๆ ค่อยว่ากัน
.
.
.
เข้าไปดูในบล็อก ทำให้รู้ว่า

ปกมูราคามิ เซ็ท 3 เล่ม

Pinball 1973-A Wild Sheep Chase-Hear the Wind Sing

เป็นฝีมือพี่เขาเอง

น่าปลื้มใจแทนเหมือนกันนะ
.
.
ถ้าไม่บอกและยืนยันด้วยตัวเอง

คงไม่เชื่อว่า เขาคนนี้..ตาบอดสี

ความจริง ศิลปินผู้โด่งดังหลายคน

กำเนิดมาด้วยความไม่ครบในบางส่วน

แต่ก็นั่นแหละ เขาเหล่านั้น

มักจะมีส่วนอื่น เกินออกมา เป็นสิ่งทดแทนอยู่เสมอ
.
.
เป็นกำลังใจ และเฝ้าดู..อยู่ห่างๆ

.
.
ศรัทธา แสงทอน





ปล.เบอร์โทรศัพท์บ้านพี่เขากับบ้านฉัน ต่างกันแค่เลขเดียว

เลขท้าย 3 ตัว - 123 และ 133

23 ม.ค. 2555

Between

สิ่งหนึ่งตั้งอยู่โดยตัวมันเอง


ดี..ร้าย..แย่..เยี่ยม..ก็ดูที่ตัวมัน


แต่เมื่อมีอีกสิ่งหนึ่งมาเป็นข้อเปรียบเทียบ


ที่ดี อาจไม่ดี


ที่ร้าย อาจไม่ร้าย


ที่แย่ อาจไม่แย่


ที่เยี่ยม อาจไม่เยี่ยม
.
.
สถานที่หนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง เคยเกิดขึ้น


เมื่อเกิดซ้ำ แต่มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลง


ย่อมเป็นข้อเปรียบเทียบ ระหว่างสิ่งที่เกิดก่อนซึ่งอยู่ในความทรงจำ


กับสิ่งที่เกิดในภายหลัง ที่กำลังเผชิญ
.
.
.


ถ้าครั้งแรกทำไว้ดี


ครั้งหลังทำไม่ดีเท่าครั้งแรก


อะไรจะเกิดขึ้น


แล้วถ้าครั้งหลัง ดีว่าครั้งแรกล่ะ?
.
.
.
แท้แล้ว


เมื่อพิจารณาดีๆ อย่างถี่ถ้วน


จะพบว่า


ทั้งสองสิ่ง..ทั้งสองครั้ง ตั้งอยู่โดยตัวมันเอง


ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย


เพราะรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่เป็นสาระสำคัญ


นั้นไม่เหมือนกัน


.
.
.
แตกต่าง..ใช่ว่าต่ำต้อยกว่า


มาก่อน..ใช่ว่าดีที่สุด


แต่ละสิ่ง ผ่านเข้ามา..ตามจังหวะและช่วงเวลาของมัน


อย่าเอามันมาผสม ปนเป เปรียบเปรย หรือเทียบเคียงกันเลย
.
.
.
ให้มันอยู่แยกกันอย่างอิสระเถิด


ปล. เมื่อวานไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว

เดินขึ้นเขา ชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ

กับพี่อาร์ตี้

เหนื่อยมาก

แต่ก็ดี ได้สัมผัสต้นไม้ ได้ฟังเสียงน้ำตก

เอาออกซิเจนเข้าร่างกาย

เอาเหงื่อออกไปบ้าง

เผื่อจะแข็งแรงกับเขาสักที
.
.
.

คิดถึงตอนขึ้นเขาคิชฌกูฏ

ความลำบาก หยาดเหงื่อ อาการเมื่อยล้า

ทำให้เห็นจิตใจคน

ที่จริง เคยได้ยินว่า

เขาคิชฌกูฏนั้น ถ้าคู่รักขึ้นด้วยกัน จะทำให้รักกันยืนยาว

หลักตรรกะก็ง่ายๆ

ได้เห็นน้ำใจกันนั่นเอง

หมายความว่า..ไม่รักกันแนบแน่นยิ่งขึ้น

ก็ระหองระแหง  เลิกกันไปเลย

ไปพบความลำบาก เพื่อเค้นหาเบื้องลึกของจิตใจกันดูบ้าง

สนุกดีเหมือนกัน


แพรวา

18 ม.ค. 2555

หนูจะไปเป็นเกษตรกรอาร์ติสต์

หนูเบื่อออฟฟิศ  ออฟฟิศทำหนูปวดหลัง ปวดไหล่ เป็นไข้ ปวดหัว

ออฟฟิศแคบๆ กักขังจินตนาการ

ออฟฟิศกลมๆ เดินวนไปวนมา อากาศไม่ระบายถ่ายเท

ออฟฟิศเย็นๆ ทำหนูป่วยไข้

หนูไม่อยากอยู่ในออฟฟิศ
.
.
.
แล้วจะไปอยู่ไหน?

แล้วจะไปทำอะไร?
.
.
หนูอยากเดินทาง เที่ยวชมธรรมชาติ

ดูนก ชมไม้ กินผัก กินผลพืช

นั่งล้อมวงกินข้าว ผักสดผักลวกจิ้มน้ำพริก

วิ่งตากแดด ปีนต้นไม้ ปั่นจักรยาน

.
.
.
โตขึ้นหนูจะเป็นเกษตรกร

หนูจะช่วยตาใส่น้ำลำไย ช่วยยายมัดผักไปขายที่ตลาด

หนูจะไปเป็นสาวเชียงใหม่

เหมือนที่ยายเคยหัดให้ร้องเพลง

"ข้าเจ้าเป็นสาวเจียงใหม่ แหมบ่เต้าใดก่อจะเป็นสาวแล้ว"

หนูจะเป็นสาวแล้ว ไปเป็นสาวอยู่เมืองเหนือ ลูกหลานแม่ปิง

หนูเบื่อกรุงเทพฯ เบื่อความแออัด เบื่อความคับแคบ

หนูเกลียดความเห็นแก่ตัว รังเกียจความละโมบโลภมาก

ที่นี่มันส่งกลิ่นรุนแรงเหลือเกิน

ขอกลั้นหายใจจนตายดีกว่าสูดเข้าไปในกายตนเอง
.
.
หนูจะไปเป็นอาร์ติสต์

อาร์ติสต์ผู้มีอิสระในหัวใจ

โลดแล่นไปตราบเท่าที่กำลังยังมี

หนูไม่อยากถูกกักขัง ไม่อยากอยู่ในกรง

ไม่อยากอยู่ในกรอบ ใครสร้างมันขึ้นมาก็เข้าไปอยู่เองเถิด

ทำไมต้องเรียนสูงๆ ทำไมต้องทำงานดีๆ ทำไมต้องมีเงินเยอะๆ

ทำไมห้ามท้องก่อนแต่ง

ทำไมต้องทำงานจนหัวหงอกแล้วค่อยเกษียณ

ทำไมต้องรอให้สังขารใกล้แตกดับและค่อยระงับความโลภความอยาก

ทำไมต้องรอให้แก่แล้วจึงเข้าวัด

จะอยู่จนแก่รึเปล่ายังไม่รู้

ทำไมต้องกำหนดกฎเกณฑ์แบบแผนชีวิตที่จัดว่าดี

ดีไม่ดีอยู่ที่ไหน ใครตัดสิน

หนูไม่ยอม หนูไม่ยอม หนูไม่ยอม

.
.
หนูจะไปเป็นเกษตรกร

หนูจะไปเป็นอาร์ติสต์

หนูจะโบยบิน

หนูเป็นสาวแล้ว

หนูจะเลือกชีวิตของหนูเอง

.
.
.

เด็กหญิงแพรวา มั่นพลศรี

อายุ 22 ปี 3 เดือน 5 วัน

17 ม.ค. 2555

รูปบุญ

บังเอิญอย่างไรไม่ทราบ

ได้ถือขันใส่เหรียญโปรยทานให้นาค

อาจเพราะตั้งใจพับเหรียญกระมัง

ปลื้มมาก^^

นาคเดินสำรวมและสงบ

แอบอธิษฐาน...ขอให้พี่เอฟตั้งใจปฏิบัติ

สาธุ

ที่ใส่แว่น เดินอยู่ข้างหน้า

คือคุณพ่อของพี่เอฟ

อารมณ์ขันเหลือรับประทาน

หันมาหาเราบ่อยมาก

หยิบ...มายมิ้นท์ในขัน..เดินไป กินไป ตลอด 3 รอบ

หุหุ


อนุโมทนา

ขอคุณพระคุ้มครอง ให้หลวงพี่มีใจแน่วแน่

เห็นทางสว่างแห่งปัญญาด้วยเถิด



ปล. เจ้าตัวน้อยที่กอดคออยู่ ชื่อเป็นต่อ

ลูกพี่ตั้มกับพี่อี๊ด

บ้านนี้เค้าน่ารัก พ่อฮา แม่ฮา ลูกฮากว่า

เป็นต่อกำลังจะ 4 ขวบในอี 2-3 เดือนข้างหน้า

ตัวไม่หนักมาก

แต่อุ้มนานๆก็เมื่อยได้เหมือนกัน

ชอบมาให้อุ้ม อุ้ม อุ้ม อุ้ม

ที่ออฟฟิศชอบแซวว่าเราเป็นคนโปรดของเป็นต่อเค้าล่ะ

ฮ่าๆๆ




 แพรวา

 ร่วมงานเมื่อ 14 มกราคม 2555

งานบุญ..อยู่ที่ใจ (ต่อ)

เดินทางถึงปราจีนบุรีตอน 5 โมงเย็น

ไม่ต้องเสียเวลาและสตางค์หาโรงแรม

พี่เอฟให้นอนบนห้องติดแอร์ที่เพิ่งทำใหม่

นอนกับพี่มด แฟนพี่เอฟนั่นแหละ

.
.
.
แต่ปรากฏว่า ห้องนั้น กลายเป็นที่นอนของคนเมาไปซะ

พี่เอฟ ซึ่งตอนนั้น เป็นนาคเอฟ

เลยยั้วะเล็กน้อยถึงปานกลาง

"คนเมาน่ะ นอนที่ไหนก็ได้"

ความจริง ตั้งแต่รุจักกันมา ยังไม่เคยเห็นพี่เอฟ

แสดงท่าทีเช่นนั้นเลย คงยั้วะจริง

.
.
ยุงเยอะมาก และไม่ได้เกรงกลัวต่อซอฟเฟลที่ฉีดๆกันเลย

เฮ้อ

สรุปว่า แทบไม่ได้นอน

.
.
.
ขบวนแห่นาคตั้งตอนประมาณ 8 โมงเช้า

บ้านกับวัด อยู่เยื้องกันนิดเดียว

เราก็รอตั้งแถว ญาติๆทั้งหลายของนาคก็พากันจับจองถือบริขาร

กับทั้งบริวารทั้งหลาย

ใครๆก็อยากได้บุญ

และด้วยอะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ได้

จู่ๆ คุณป้าก็เรียกเราไปถือขันที่ใส่เหรียญโปรยทาน

พี่พีซเลยแซว

ทำอะไรมา ได้ถืออันนั้นเลยนะ ^^

แอบปลื้ม


.
.
แห่นาค 3 รอบ ใช้เวลาเกือบชั่วโมง

เข้าทำพิธีในโบสถ์

น่าปลื้มปีติจริงๆ

งานบุญ..อยู่ที่ใจ

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

เดินสายไปต่างจังหวัด

ศุกร์ที่ 13 มกราคม ออกเดินทางตอนบ่ายโมง

มุ่งหน้าไปยังบุรีรัมย์

จุดหมายปลายทางอยู่ที่ โรงเรียนบ้านสระสี่เหลี่ยม

เดินทางโดยรถพี่พีซ แพรวานั่งหน้า นุ่มนั่งหลัง

แผนการเดินทางของเราคือ

ไปร่วมกิจกรรมงานวันเด็กที่ติลลิกีจัดในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม

เนื่องด้วยวาระ..วันเด็กแห่งชาติ

จากนั้นเดินทางจากบุรีรัมย์ไปปราจีนบุรี

เพื่อร่วมมุทิตาและอนุโมทนางานบวชพี่เอฟ

ชายหนุ่มร่างเล็กที่เคยกล่าวถึงเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม

.
.
.
ขาไป กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์

พี่พีซบ่นใหญ่เลย

เพราะตุ๊กตาไม่ทำหน้าที่

เอาแต่พับเหรียญโปรยทานตลอดการเดินทาง 5 ชั่วโมง

หยุดพับได้ก็เมื่อเกือบ 6 โมงเย็น

ด้วยเหตุเพราะ พระอาทิตย์ตกดิน มองไม่เห็น

นุ่มก็ยังไม่สนิท ไม่ค่อยได้คุย

เป็นอันว่า พี่พีซขับรถ ให้สองสาวนั่ง 555

เปิดคอนเสิร์ตพี่บี้ ดูไป พับไป เพลินดี

ถึงบุรีรัมย์ แวะอาบน้ำที่ C&C resort

จัดไม่ดี  อาหารการกินไม่พร้อม (หมายถึงไม่อิ่ม)

ห้องที่จองสำหรับอาบน้ำก็มีสภาพราวกับเป็นห้องพักคนงาน

ซิงค์ล้างหน้าเขรอะไปด้วยสนิม

ชักโครกกดไม่ลง  โทรทัศน์ต้องใส่ password จึงจะดูได้

ซึ่งไม่มีใครทราบว่า password นั้นคืออะไร

สุดท้ายจึงไม่ได้ดู

แอร์เปิดไม่ได้

พยายามเปิดดู เหมือนจะเปิดได้ในที่สุด

แต่พอได้ยินเสียงติ๊ดขึ้นมาเท่านั้น

ไฟโอเวอร์  ดับกันทั้งหมด

เฮ้อ .. นุ่มผู้น่าสงสาร อาบน้ำท่ามกลางความมืด 555

.
.
.
ออกเดินทางจากรีสอร์ท เข้าไปยังตัวโรงเรียน

เพื่อเตรียมสถานที่และของขวัญวันเด็ก

ทางเข้ามืดมาก ถนนเป็นหิน และลูกรัง

รถพี่พีซเปลี่ยนสีกันเลยทีเดียว

ถึงโรงเรียนประมาณ 3 ทุ่ม

อากาศยังไม่เย็น

จัดของด้วยความวุ่นวายปานกลาง

แต่ก็แล้วเสร็จเมื่อ 4 ทุ่ม

แยกย้ายกันนอน

ตกดึก อากาศเย็นมาก

ความจริงนอนหลับ

แต่ตื่นมากลางดึก ประมาณตี 3 เกือบตี4

ด้วยเหตุที่ว่า

คางคกกระโดดหยองๆอยู่มุมห้อง

ห่างจากหัวนอนไม่ถึง 1 ฟุต

จึงต้องจัดการพาเขาออกไป

จากนั้น ก็หลับไม่ลงอีกเลย

สรุปว่าคืนนั้น ได้นอน ราวๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น

ตื่นเช้ามาจัดสถานที่ เด็กๆมาถึงโรงเรียนกันตั้งแต่ยังไม่ 7 โมง

แฟชั่นกางเกงยีนกับกระโปรงลูกไม้บานๆ

ดูแล้วสดใสน่ารักไปอีกแบบ

คิดถึงตัวเองในวัยเด็ก

ไม่เคยได้ใส่กระโปรงแบบนั้นเลย

อยากใส่ แต่แม่ไม่เคยซื้อให้

กลัวลูกสาวไปนั่งลอด

แม้โตมาขนาดนี้ กางเกงขาสั้นบอกสวย อยากให้ใส่

แต่พอประโปรง แม้ไม่สั้น ก็บอกว่า อย่าใส่เลยลูก

เหอๆ

คิดถึงแม่ คิดถึงน้อง

กิจกรรมดำเนินไป เสร็จสิ้นตอนใกล้เที่ยงพอดี

กินก๋วยเตี๋ยวที่ชาวบ้านทำ

อร่อยมาก

ออกเดินทางตอนเที่ยง

ไปบ้านพี่เอฟ