เมื่อสมัยเป็นเด็ก
ฉันชอบอ่านหนังสือ
ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า
การอ่าน สยบความฟุ้งซ่านในความคิดได้
หลังสอบเสร็จ..เพื่อนๆ จะไปร้องคาราโอเกะ เล่นคาร์บั๊ม
เพราะเด็กห้องคิง เป็นพวกเก็บกด
จะเล่นอะไรแบบนี้ ก็หลังจากยกข้อสอบออกจากอก
ยกเกรดออกจากหัวแล้วเท่านั้น
แต่สำหรับฉัน เพื่อนๆ ชอบว่า "มันบ้า ปล่อยมันไป"
เพราะฉันชอบไปหมกตัวอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ
.
.
ความจริง ที่ไม่เคยบอกเพื่อน
หรือถึงบอกไป ก็ไม่มีใครใคร่จะเข้าใจ
.
.
ฉันไม่ชอบที่ที่เสียงดัง
ฉันไม่ชอบที่ที่คนเยอะ
ฉันไม่ชอบความวุ่นวาย
(แต่ในบางครั้ง ฉ้นก็ไปแหกปากในตู้คาราโอเกะ เล่นคาร์บั๊มกับเพื่อนๆ บ้าง
ระบายสิ่งตกค้างในสมอง ที่ติดอยู่ตามซอกหลืบเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งต้องใช้ความรุนแรงในการสลัด สะบัดมันออกไป)
.
.
ฉันชอบกลิ่นหนังสือเก่าๆ
ชอบยืนอุดอู้ ก้มๆ เงยๆ อยู่ในซอกเล็กๆ ระหว่างชั้นวางหนังสือ
ชอบฟุบหลับโดยใช้ตัวอักษรแทนหมอนอ่อนนุ่ม
ฉันชอบ ด้วยเหตุผลแค่นั้นจริงๆ
และไม่เคยรู้สึกว่า การอ่านหนังสือ ทำให้ฉันฉลาดขึ้นแต่อย่างใด
เพราะที่หลงใหลและหยิบมาอ่าน ก็ใช่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน
สิ่งที่รู้มา เอาไปเป็นคะแนนเก็บเกรดก็ไม่ได้
แล้วไง..
ฉันไม่สนใจหรอก อยากอ่านก็อ่าน แค่นั้น
.
.
จนกระทั่งมาเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวทิยาลัย
สิ่งที่ชอบก็ยังเป็นเช่นเดิม
.
.
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน
กลุ่มที่สนิทๆ ก็ดันอยู่บ้าน มีฉันคนเดียวที่อยู่หอ
เหงานะ
แต่ครั้นจะไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง
วิ่งตามกระแสนิยม เพื่อทำตัวกลมกลืนกับเพื่อนๆ กลุ่มอื่นๆ ที่อยู่หอ
ก็ไม่ไหว
.
.
.
ฉันยังจำวันนั้นได้ชัดเจน
วันที่ฉันใส่กระโปรงสั้นและรองเท้าส้นสูงไปมหาวิทยาลัยครั้งแรก
ตอนเดินเข้าซุ้มคณะ
ฉันเป็นเป้าสายตา
มันหนักหน่วงมาก
และเขินมากเช่นกัน
ฉันดูกลมกลืนกับเพื่อนๆ ขึ้นมาบ้าง
แต่นั่น..มันแตกต่างกับตัวตนฉันโดยสิ้นเชิง
.
.
ก่อนหน้านั้น
ฉันใส่พรีซครึ่งแข้ง
รองเท้าผ้าใบ
ผมยาวๆ ปล่อยบ้าง มัดบ้าง
ถือหนังสือเป็นตั้งๆ
ดูเป็นตัวประหลาด
ในสายตาใครหลายๆ คน
แต่ฉันก็สบายใจ
ที่ได้เป็นตัวของตัวเอง
.
.
.
วันที่ฉันเปลี่ยน
มันเป็นความขัดแย้ง
อึดอัด หงุดหงิด น้อยเนื้อต่ำใจ
ทำไมในเวลาที่ฉันเป็นฉัน ถึงไม่มีใครมอง
.
.
วันนั้น หลากหลายคำถามประดังเข้ามา
"เคยใส่กางเกงขาสั้นบ้างไหมเนี่ย ขาขาวมาก"
"ทำไมถึงไม่ได้เป็นลีด"
"ทำไมไม่แต่งอย่างนี้ตั้งนานแล้ว"
ฯลฯ
.
.
ฉันตอบว่า
"ไม่เคยค่ะ"
"ก็หนูเป็นเด็กโต้(วาที)แล้วนี่คะ"
"..."
.
.
ช่วงนั้น ฉันทำกิจกรรมที่คณะ
ทำทุกอย่าง ที่เขามีให้ทำ
ขึ้นเชียร์ ซ้อมโต้วาทีคณะ เป็นเด็กแกนนำเชียร์
(ซ้อมเชียร์นอกเวลา รุ่นพี่ปั้นให้เป็นสตาฟในปีถัดไป)
และอื่นๆ อีกมากมาย
.
.
กิจกรรมทำให้ฉันมีเพื่อน
เพื่อนทำให้ฉันไม่เหงา
และการมีเพื่อน มีพี่นี่แหละ
ทำให้ฉันได้สัมผัสรสชาติใหม่ของชีวิต
ฉันกินเหล้า..ครั้งแรก
กินกันที่หอรุ่นพี่
แสงโสมผสมเป๊บซี่
3 แก้ว อ้วก
อ้วกแล้วเมา
เมาแล้วพูดไม่หยุด
นั่นเป็นวีรกรรมเปิดซิงการกินเหล้า
555++
.
.
.
ชีวิตอยู่ในวังวนสังคมตามกระแสครึ่งปี (คือ 1 เทอมนั่นเอง)
ซัมเมอร์ เพื่อนลงเรียนกัน
แต่ฉันคิดไว้แล้วว่าช่วงเวลานั้น ฉันจะใช้เพื่อทำอย่างอื่น
ฉันไม่มีวิชาที่ต้องซ่อม และไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบร้อนลงเรียนล่วงหน้า
เรียนไปตามเกณฑ์ เรื่อยๆ 4ปีละกัน
ฉันไปเชียงใหม่
อยู่กับน้า ทำงานพาร์ตไทม์ อ่านหนังสือ ขับมอเตอร์ไซด์เที่ยว
และไปอยู่วัด
ครั้งแรกคิดว่าจะไปแค่ 3 วัน
แต่พอไปแล้ว ไม่อยากออกมา
น้าโกรธมาก เพราะทิ้งงานที่รับไว้เป็นจ๊อบ 6 วัน ไปอยู่วัด
ความจริง มีคนทำแทนอยู่แล้ว พี่เจ้าของจ๊อบก็ไม่ได้ว่าอะไร
แต่น้าโกรธ เพราะไม่ทำงานหาตังค์
และลึกๆ คงกลัวว่าฉัน จะหลงไปไกล
เพราะวันที่น้าไปรับกลับมาจากวัด
แล้วไปบ้านยาย
ฉันพูดน้อย กินน้อยลงไปมาก
เขาคงเป็นห่วง
.
.
แต่ฉันก็ดื้อ
ไปอยู่วัดอีก 10 กว่าวัน
(นั่นทำให้น้า ไม่พูดกับฉันเป็นปี)
ออกมาจากวัด ก็ถึงกำหนดกลับกรุงเทพฯ พอดี
.
.
กลับมาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม (แต่ไม่เหมือนเดิม)
ไม่มีคำไซโคลใดใช้ได้ผลกับฉัน
ฉันไม่แตะเหล้า เบียร์ ของมึนเมา
ไม่กินอาหารราคาแพง
ไม่เที่ยว
(ความจริงก็ยังไม่เคยเที่ยวเลยสักครั้ง
เพื่อนชวน จนเลิกชวนกันไปเลย)
.
.
ฉันเปลี่ยนไป
เป็นคำถากถางจากเพื่อนและพี่หลายคน
ก็จริงที่ฉันไม่เหมือนเดิม
แต่ไม่จริงที่ฉันเปลี่ยนไป
ฉันแค่กลับมาสู่จุดที่ฉันควรยืนและอยากยืน
ฉันแค่เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธสังคมและความรู้สึกจอมปลอมเช่นนั้น
มันไม่ใช่ตัวตนฉัน
.
.
พระอาจารย์บอกฉันบ่อยๆ ว่า
"แพรวาต้องเข้มแข็งนะ ลูกศิษย์อาจารย์ต้องเข้มแข็งนะ"
พระอาจารย์อำนวยศิลป์ แห่งวัดร่ำเปิง ตโปทาราม
พระวิปัสสนาจารย์รูปแรกในชีวิตของฉัน
.
.
ฉันตาสว่างขึ้นมาได้ เพราะคำเตือนนั้น จริงๆ
.
.
ย้อนไปถึงตอนที่บอกกับพ่อครั้งแรกว่าจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ
พ่อบอกว่า
"อย่าไปเลย เอาตัวไม่รอดหรอก"
สำหรับฉัน มันเป็นคำสบประมาทอย่างรุนแรง
.
.
.
สุดท้าย ก็ต้องยอมรับว่า
มันเกือบเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ล้มลุกคลุกคลาน ร้องไห้อยู่หลายหน
โทรกลับบ้านหาแม่ทีไร
ก็ไม่กล้าแสดงความอ่อนแอให้แม่รู้
ไม่กล้าบอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แม่ก็ไม่เคยเซ้าซี้ถาม
แม่รู้ว่าลูกแม่เป็นอะไร
แต่ลูกจะเล่าหรือไม่เล่าก็ได้
แม่บอกแค่ว่า
"เข้มแข็งนะลูก ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว ลูกแม่ทำได้"
.
.
.
ช่วงที่ฉันตัดสินใจเลิกกับแฟนอย่างเด็ดขาด
ไม่มีใครปลอบใจฉันได้ดีเท่าหนังสือ
ฉันกลับมาหาเพื่อนรักเก่า
เพื่อนที่ไม่เคยทำร้าย ไม่เคยหลอกลวง หักหลัง หรือหวังผลอันใด
ฉันอ่านหนังสือแทบตลอดเวลา
อ่านจนหลับ ตื่นจากหลับก็อ่านต่อ
อ่านจนได้เป็นสุดยอดนัดอ่านของ ม.กรุงเทพ
ได้เงิน 500 กับแฟลชไดร์ฟ 4 Gb อีก 1 อัน
.
.
นอกจากนั้น
ฉันได้รู้จัก
แสงสว่าง
ที่มีค่าอย่างยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น