24 ม.ค. 2555

แสงสว่าง

เมื่อสมัยเป็นเด็ก

ฉันชอบอ่านหนังสือ

ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า

การอ่าน สยบความฟุ้งซ่านในความคิดได้

หลังสอบเสร็จ..เพื่อนๆ จะไปร้องคาราโอเกะ เล่นคาร์บั๊ม

เพราะเด็กห้องคิง เป็นพวกเก็บกด

จะเล่นอะไรแบบนี้ ก็หลังจากยกข้อสอบออกจากอก

ยกเกรดออกจากหัวแล้วเท่านั้น

แต่สำหรับฉัน เพื่อนๆ ชอบว่า "มันบ้า ปล่อยมันไป"

เพราะฉันชอบไปหมกตัวอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ

.
.
ความจริง ที่ไม่เคยบอกเพื่อน

หรือถึงบอกไป ก็ไม่มีใครใคร่จะเข้าใจ

.
.
ฉันไม่ชอบที่ที่เสียงดัง

ฉันไม่ชอบที่ที่คนเยอะ

ฉันไม่ชอบความวุ่นวาย

(แต่ในบางครั้ง ฉ้นก็ไปแหกปากในตู้คาราโอเกะ  เล่นคาร์บั๊มกับเพื่อนๆ บ้าง

ระบายสิ่งตกค้างในสมอง ที่ติดอยู่ตามซอกหลืบเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งต้องใช้ความรุนแรงในการสลัด สะบัดมันออกไป)

.
.
ฉันชอบกลิ่นหนังสือเก่าๆ

ชอบยืนอุดอู้ ก้มๆ เงยๆ อยู่ในซอกเล็กๆ ระหว่างชั้นวางหนังสือ

ชอบฟุบหลับโดยใช้ตัวอักษรแทนหมอนอ่อนนุ่ม

ฉันชอบ ด้วยเหตุผลแค่นั้นจริงๆ

และไม่เคยรู้สึกว่า การอ่านหนังสือ ทำให้ฉันฉลาดขึ้นแต่อย่างใด

เพราะที่หลงใหลและหยิบมาอ่าน ก็ใช่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน

สิ่งที่รู้มา เอาไปเป็นคะแนนเก็บเกรดก็ไม่ได้

แล้วไง..

ฉันไม่สนใจหรอก อยากอ่านก็อ่าน แค่นั้น
.
.
จนกระทั่งมาเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวทิยาลัย

สิ่งที่ชอบก็ยังเป็นเช่นเดิม

.
.
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน

กลุ่มที่สนิทๆ ก็ดันอยู่บ้าน มีฉันคนเดียวที่อยู่หอ

เหงานะ

แต่ครั้นจะไปเปลี่ยนแปลงตัวเอง

วิ่งตามกระแสนิยม เพื่อทำตัวกลมกลืนกับเพื่อนๆ กลุ่มอื่นๆ ที่อยู่หอ

ก็ไม่ไหว
.
.
.
ฉันยังจำวันนั้นได้ชัดเจน

วันที่ฉันใส่กระโปรงสั้นและรองเท้าส้นสูงไปมหาวิทยาลัยครั้งแรก

ตอนเดินเข้าซุ้มคณะ

ฉันเป็นเป้าสายตา

มันหนักหน่วงมาก

และเขินมากเช่นกัน

ฉันดูกลมกลืนกับเพื่อนๆ ขึ้นมาบ้าง

แต่นั่น..มันแตกต่างกับตัวตนฉันโดยสิ้นเชิง

.
.
ก่อนหน้านั้น

ฉันใส่พรีซครึ่งแข้ง

รองเท้าผ้าใบ

ผมยาวๆ ปล่อยบ้าง มัดบ้าง

ถือหนังสือเป็นตั้งๆ

ดูเป็นตัวประหลาด

ในสายตาใครหลายๆ คน

แต่ฉันก็สบายใจ

ที่ได้เป็นตัวของตัวเอง
.
.
.
วันที่ฉันเปลี่ยน

มันเป็นความขัดแย้ง

อึดอัด หงุดหงิด น้อยเนื้อต่ำใจ

ทำไมในเวลาที่ฉันเป็นฉัน ถึงไม่มีใครมอง
.
.
วันนั้น หลากหลายคำถามประดังเข้ามา

"เคยใส่กางเกงขาสั้นบ้างไหมเนี่ย   ขาขาวมาก"

"ทำไมถึงไม่ได้เป็นลีด"

"ทำไมไม่แต่งอย่างนี้ตั้งนานแล้ว"

ฯลฯ

.
.
ฉันตอบว่า

"ไม่เคยค่ะ"

"ก็หนูเป็นเด็กโต้(วาที)แล้วนี่คะ"

"..."

.
.
ช่วงนั้น ฉันทำกิจกรรมที่คณะ

ทำทุกอย่าง ที่เขามีให้ทำ

ขึ้นเชียร์ ซ้อมโต้วาทีคณะ เป็นเด็กแกนนำเชียร์

(ซ้อมเชียร์นอกเวลา รุ่นพี่ปั้นให้เป็นสตาฟในปีถัดไป)

และอื่นๆ อีกมากมาย
.
.
กิจกรรมทำให้ฉันมีเพื่อน

เพื่อนทำให้ฉันไม่เหงา

และการมีเพื่อน มีพี่นี่แหละ

ทำให้ฉันได้สัมผัสรสชาติใหม่ของชีวิต

ฉันกินเหล้า..ครั้งแรก

กินกันที่หอรุ่นพี่

แสงโสมผสมเป๊บซี่

3 แก้ว อ้วก

อ้วกแล้วเมา

เมาแล้วพูดไม่หยุด

นั่นเป็นวีรกรรมเปิดซิงการกินเหล้า

555++

.
.
.
ชีวิตอยู่ในวังวนสังคมตามกระแสครึ่งปี (คือ 1 เทอมนั่นเอง)

ซัมเมอร์ เพื่อนลงเรียนกัน

แต่ฉันคิดไว้แล้วว่าช่วงเวลานั้น ฉันจะใช้เพื่อทำอย่างอื่น

ฉันไม่มีวิชาที่ต้องซ่อม และไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบร้อนลงเรียนล่วงหน้า

เรียนไปตามเกณฑ์ เรื่อยๆ 4ปีละกัน

ฉันไปเชียงใหม่

อยู่กับน้า ทำงานพาร์ตไทม์ อ่านหนังสือ ขับมอเตอร์ไซด์เที่ยว

และไปอยู่วัด

ครั้งแรกคิดว่าจะไปแค่ 3 วัน

แต่พอไปแล้ว ไม่อยากออกมา

น้าโกรธมาก เพราะทิ้งงานที่รับไว้เป็นจ๊อบ 6 วัน ไปอยู่วัด

ความจริง มีคนทำแทนอยู่แล้ว พี่เจ้าของจ๊อบก็ไม่ได้ว่าอะไร

แต่น้าโกรธ เพราะไม่ทำงานหาตังค์

และลึกๆ คงกลัวว่าฉัน จะหลงไปไกล

เพราะวันที่น้าไปรับกลับมาจากวัด

แล้วไปบ้านยาย

ฉันพูดน้อย กินน้อยลงไปมาก

เขาคงเป็นห่วง
.
.
แต่ฉันก็ดื้อ

ไปอยู่วัดอีก 10 กว่าวัน

(นั่นทำให้น้า ไม่พูดกับฉันเป็นปี)

ออกมาจากวัด ก็ถึงกำหนดกลับกรุงเทพฯ พอดี
.
.
กลับมาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม (แต่ไม่เหมือนเดิม)

ไม่มีคำไซโคลใดใช้ได้ผลกับฉัน

ฉันไม่แตะเหล้า เบียร์ ของมึนเมา

ไม่กินอาหารราคาแพง

ไม่เที่ยว

(ความจริงก็ยังไม่เคยเที่ยวเลยสักครั้ง

เพื่อนชวน จนเลิกชวนกันไปเลย)
.
.
ฉันเปลี่ยนไป

เป็นคำถากถางจากเพื่อนและพี่หลายคน

ก็จริงที่ฉันไม่เหมือนเดิม

แต่ไม่จริงที่ฉันเปลี่ยนไป

ฉันแค่กลับมาสู่จุดที่ฉันควรยืนและอยากยืน

ฉันแค่เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธสังคมและความรู้สึกจอมปลอมเช่นนั้น

มันไม่ใช่ตัวตนฉัน

.
.
พระอาจารย์บอกฉันบ่อยๆ ว่า

"แพรวาต้องเข้มแข็งนะ ลูกศิษย์อาจารย์ต้องเข้มแข็งนะ"

พระอาจารย์อำนวยศิลป์ แห่งวัดร่ำเปิง ตโปทาราม

พระวิปัสสนาจารย์รูปแรกในชีวิตของฉัน

.
.
ฉันตาสว่างขึ้นมาได้ เพราะคำเตือนนั้น จริงๆ
.
.
ย้อนไปถึงตอนที่บอกกับพ่อครั้งแรกว่าจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ

พ่อบอกว่า

"อย่าไปเลย  เอาตัวไม่รอดหรอก"

สำหรับฉัน มันเป็นคำสบประมาทอย่างรุนแรง
.
.
.
สุดท้าย ก็ต้องยอมรับว่า

มันเกือบเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ล้มลุกคลุกคลาน ร้องไห้อยู่หลายหน

โทรกลับบ้านหาแม่ทีไร

ก็ไม่กล้าแสดงความอ่อนแอให้แม่รู้

ไม่กล้าบอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

แม่ก็ไม่เคยเซ้าซี้ถาม

แม่รู้ว่าลูกแม่เป็นอะไร

แต่ลูกจะเล่าหรือไม่เล่าก็ได้

แม่บอกแค่ว่า

"เข้มแข็งนะลูก  ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว ลูกแม่ทำได้"

.
.
.
ช่วงที่ฉันตัดสินใจเลิกกับแฟนอย่างเด็ดขาด

ไม่มีใครปลอบใจฉันได้ดีเท่าหนังสือ

ฉันกลับมาหาเพื่อนรักเก่า

เพื่อนที่ไม่เคยทำร้าย ไม่เคยหลอกลวง หักหลัง หรือหวังผลอันใด

ฉันอ่านหนังสือแทบตลอดเวลา

อ่านจนหลับ  ตื่นจากหลับก็อ่านต่อ

อ่านจนได้เป็นสุดยอดนัดอ่านของ ม.กรุงเทพ

ได้เงิน 500 กับแฟลชไดร์ฟ 4 Gb อีก 1 อัน
.
.
นอกจากนั้น

ฉันได้รู้จัก

แสงสว่าง

ที่มีค่าอย่างยิ่ง

(เครื่องแบบเรียบร้อย + ติ้งคณะ)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น