30 ส.ค. 2555

น้ำครึ่งแก้ว

หมู่นี้ เมื่อได้อาบน้ำ หรือทำสิ่งใดๆ ที่มีโอกาสหรือพื้นที่ว่าง ให้ได้คิด

ข้าพเจ้าก็จะคิดนู่น คิดนี่ คิดนั่น คิดไปเรื่อย

หลายวันก่อน ก็คิด

จู่ๆ คำพูดที่ว่า

"จงเป็นน้ำครึ่งแก้ว" เพื่อจะได้มีพื้นที่สำหรับรับสิ่งใหม่ๆ

และมีน้ำของตนเอง ไว้แลกเปลี่ยนกับผู้อื่น

ถ้าเป็นน้ำเต็มแก้ว ก็จะเป็นมนุษย์ประเภท

กูยิ่งใหญ่แล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องมาสอน ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ กูไม่รับ กูจะล้น

หรือถ้าเป็นมนุษย์ว่างเปล่า ประเภทไม่มีอะไรในแก้วเลย

ก็จะดูโง่เขลา เบา โล่ง มึงไม่มีอะไรในหัวบ้างเลยหรือ

สรุปคือ เขาว่า เป็นน้ำครึ่งแก้วแหละ ดี



คำถามคือ แล้วอะไรคือการทำตนให้เป็นดั่งน้ำครึ่งแก้ว

อะไรคือทำตนเป็นน้ำเต็มแก้ว

หรืออะไรคือทำตนเป็นคนมีแต่แก้ว


แค่ไหน จึงจะเรียกได้ว่า เราอ่อนน้อม และพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ

เมื่อคนภายนอกมองว่าคนๆ นี้ เย่อหยิ่ง และอวดดี

ไม่เปิดรับอะไรจากใคร

ทำตัวล้นๆ


ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในคนที่บางเวลาก็เปิด บางเวลาก็ปิด

กับคนบางกลุ่มก็เปิด และกับคนบางกลุ่ม น้ำของพวกท่าน ก็เอาไว้ในแก้วของท่านนั่นแหละ

อย่าได้เติมให้คนอื่นเลย


ความจริง หลักน้ำครึ่งแก้ว เต็มแก้วอะไรนี่ ก็ดีอยู่หรอก

แต่จะดีที่สุด หากว่าไม่มีการนำเอาคำเหล่านี้ มาใช้กำหนดเป็นกฎเกณฑ์ในการมองคน


บางคนถูกตัดสินว่าเป็นพวกน้ำเต็มแก้ว

และถูกหมั่นไส้

เป็นไปได้ไหมว่า  พวกเขาอาจแค่ไม่อยากรับน้ำเน่า น้ำสกปรก จากผู้อื่น


บางคนถูกมองว่าเป็นพวกแก้วเปล่า โง่เขลา เบาปัญญา

ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง

เป็นไปได้ไหมว่า   พวกเขาอาจแกล้งเทน้ำตัวเองออก

เพื่อหลอกล่อให้คนอื่นๆ เทน้ำที่ดีกว่าใส่ในแก้วเขาให้เยอะๆ ก็ได้


และบางคน ได้รับการยกย่องว่าอ่อนน้อม ยอมรับความคิดผู้อื่น

ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นน้ำครึ่งแก้ว

แล้วยังไง

เป็นไปได้ไหมว่า

เหล่านั้นคือการเสแสร้งแกล้งทำ

และน้ำที่มีในแก้ว ก็อาจยังไม่ผ่านการบำบัด



คนคิดอาจตั้งหลักปรัชญาสวยหรู

นั่นไม่ใช่ประเด็น

เพราะผู้จะคิดคำเหล่านี้ได้ ก็คงต้องลึกซึ้งและมีมุมมองของตนเองเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว


ปัญหาคือคนฟัง

และนำไปใช้นี่แหละ

ฟังแบบผ่านๆ อ่านแบบผ่านๆ

เอาไปใช้แบบผิดๆ

โดยเฉพาะ การตัดสินผู้อื่นอย่างฉาบฉวย

และเชื่ออย่างฝังใจว่าตนเองคือน้ำครึ่งแก้ว

ผู้เดินตามรอยคำที่เขาว่ากันว่าดี

ส่วนคนอื่นเป็นน้ำล้น เป็นแก้วเปล่า

และทำท่าทางรังเกียจความโง่เขลา

อิจฉาความเก่งกาจและมั่นใจที่คนเหล่านั้นแสดงออกมา



เฮ้อ..







มอเตอร์ไซค์วิน

ช่วงนี้ พยายามปรับสมดุลชีวิต

ทั้งภายนอกและภายใน

เนื่องจากรู้สึกว่า ร่างกายอ่อนแอ โรคภัยรุมเร้า

และจิตใจก็มีอาการหม่นๆ มัวๆ บ่อยครั้ง

ต้องพัก และตั้งสติ เพื่อปรับจูนอาการต่างๆ ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร

ชีวิตมีหลายมิติ คน Gen Y เป็นมนุษย์ Multitasks

ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง หลายบทบาทหน้าที่ในเวลาเดียวกัน

จึงจำเป็นที่จะต้องจัดระเบียบ และทำตนให้แข็งแรงอยู่เสมอ


การนอนเร็วและตื่นเช้า เป็นสิ่งที่ดีกับร่างกายนะ

ในความคิดของข้าพเจ้า

ตื่นเช้า และออกจากห้องในตอนที่รถยังไม่เยอะ

จะมีโอกาสสูดออกซิเจนและความสดชื่นได้มากกว่า

ออกมาตอนรถติด หรือยานพาหนะวิ่งกันเยอะๆ


เมื่อก่อน ข้าพเจ้าไม่ใคร่นั่งมอเตอร์ไซค์วินเท่าใด

เพราะขับอันตราย ย้อนศรบ้าง ปืนฟุตปาธบ้าง ขับเร็วบ้าง

แถมเบาะนั่งก็เอียงได้โล่


แต่ขณะนี้ ความรังเกียจเหล่านั้น ก็ลดลงไปบ้าง

อย่างน้อย บางคันก็ไม่ปีนฟุตปาธ บางคันไม่ขับเร็ว

และบางคัน เบาะไม่เอียง

ที่สำคัญคือ ข้าพเจ้าชอบนั่งให้ลมเย็นๆ ปะทะหน้า

สดชื่นอย่างไรชอบกล

นึกถึงน้องหมา เวลายื่นหน้าออกมาจากรถ

ความรู้สึกน่าจะไม่ต่างกันมากนัก

ตอนนี้ก็เลยหยวนๆ สรรพสิ่งมีดีมีชั่วปะปนกันไป

มอเตอร์ไซค์วินก็เช่นกัน




23 ส.ค. 2555

อวัยวะ ว่าด้วยความเชื่อ ของใครของมัน

ประมาณสองปีมาแล้ว ที่ข้าพเจ้าแสดงความประสงค์

บริจาคอวัยวะ 

เพื่อต่ออายุให้แก่ผู้ป่วย ในยามที่ข้าพเจ้าตายจากไป

การบริจาคนี้ รวมถึงดวงตา และอวัยวะทุกส่วนที่สามารถใช้การได้

ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจนัก ว่าถึงวันนั้น ยังจะมีอะไรที่สามารถใช้ได้อยู่บ้าง

และแม้ความจริง อวัยวะยังสมารถใช้ได้

ก็ใช่ว่าข้าพเจ้าจะตายอย่างสวยงาม ให้อวัยวะยังสมบูรณ์

แต่กระนั้น ก็ยังดีที่ได้ลงทะเบียนไว้

อย่างน้อยก็ได้สร้างโอกาสให้แก่ตัวเอง


ข้าพเจ้าเชื่อในหลักศาสนา

เมื่อตายไป ก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้

เหลือเพียงกรรมดีกรรมชั่วเท่านั้น ที่จะติดตามเราไปยังภพหน้าชาติหน้า

ร่างกายแขนขาในชาตินี้ ก็หาได้เอาไปใช้ในชาติถัดไปแต่อย่างใด

ข้าพเจ้าจึงไม่ลังเล ที่จะอนุญาตให้สังขารอันข้าพเจ้าไม่ได้ใช้อีกต่อไป

ได้ส่งต่อไปทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นบ้าง


ความจริง ญาติๆ ของข้าพเจ้าไม่ใคร่เห็นด้วยนัก

พร่ำห้าม และบ่นอยู่เสมอ

ด้วยความเชื่อที่ว่า ชาติหน้าจะอวัยวะไม่ครบ

หรือแม้ข้าพเจ้าลงนามบริจาคไปแล้ว

ยายก็ยังบ่น บอกว่า ทำไมไม่รอให้อายุเยอะกว่านี้หน่อย

จะรีบไปทำไม

ความจริงก็คือ ท่านทั้งหลาย มองว่า การกระทำของข้าพเจ้าคล้ายๆ จะเป็นการแช่งตัวเอง



ข้าพเจ้าไม่อาจห้ามความคิดใคร และไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดใครด้วย

ข้าพเจ้าเพียงอธิบายเหตุผล ในส่วนของข้าพเจ้า ก็เท่านั้น



มีคนบอกข้าพเจ้าว่า

เค้าอยากจะบริจาคอวัยวะอยู่เหมือนกัน 

แต่เค้าไม่บริจาค เพราะถึงเราบริจาคไป ด้วยใจที่อยากให้ อยากทำบุญ

คนที่เอาไป ก็เอาไปขาย เอาเงินอยู่ดี


ข้าพเจ้ารับฟัง

แต่ความตั้งใจก็หาได้เปลี่ยนไป


ข้าพเจ้าเชื่อว่า ในเมื่อความตั้งใจ คือการบริจาค

เพื่อต่ออายุให้ใครสักคน ในกรณีที่อวัยวะเราสามารถทำได้

ก็เพียงแค่บริจาคไปเท่านั้น


ส่วนใครจะได้ไป ด้วยวิธีการอันใด มันก็เป็นเรื่องของการจัดสรร

ตามแก่กรรมใครกรรมมัน

อย่างน้อย ถ้าในยุคสมัยปัจจุบัน การได้มาซึ่งทรัพย์ใดๆ ล้วนต้องใช้เงิน

นั่นก็หมายความว่า คนที่จะมีสิทธิได้อวัยวะเพื่อต่ออายุ ก็คือคนมีเงิน

แล้วคนที่มีเงิน ในชาตินี้ หมายถึงอะไร

ก็หมายความว่าในชาติก่อนๆ เขาได้ทำทาน บริจาคทรัพย์ของตนเพื่อผู้อื่นมาก่อนเช่นกัน


ส่วนคนจน ที่ไม่มีเงิน ไม่มีโอกาสได้รับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ

ก็อาจหมายความว่า ชาติก่อนๆ เขาอาจตระหนี่ถี่เหนียว และไม่รู้จักการแบ่งปันให้ผู้อื่น ก็ย่อมได้


เราไม่อาจมองแค่เพียงชาตินี้ แล้วตัดสินว่าอะไรยุติธรรม หรือไม่ยุติธรรม

ในเมื่อข้าพเจ้าเชื่อในกฎแห่งกรรม

ข้าพเจ้าก็ย่อมเคารพในการตัดสินโดยผลแห่งการกระทำ

ผู้ที่จะได้อวัยวะไป ย่อมได้รับการคัดสรรมาแล้ว

ว่าสมควรอยู่ต่อไป

ก็เท่านั้น



ทุกสิ่งทุกอย่าง มีหนทางความเป็นไปของตัวเอง

กรรมใครกรรมมัน

เพราะมีสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งจึงมี



16 ส.ค. 2555

ในวันที่ป่วยทั้งกายและใจ


ข้าพเจ้าค่อนข้างชินชากับการป่วยกาย

เพราะตั้งแต่เกิดมา ก็จำได้ว่ามีความเจ็บป่วยมาเยี่ยมอยู่เสมอมิได้ห่างหาย

ไม่เป็นโรคอย่างหนึ่ง ก็ต้องมีอาการอีกอย่างหนึ่งมาให้ได้สัมผัส

จึงมิได้มีความหวั่นเกรงในโรคภัยไข้เจ็บใดๆ นัก

เป็นแล้วก็หาย

หรือเป็นแล้วไม่หาย อย่างมากก็แค่ตายไปเสีย

ป่วยตาย ดีกว่าตายห่าหายโตง ตายเพราะอุบัติเหตุแบบกะทันหันหรือถูกใครเขาฆ่าตาย

แต่กระนั้น ถ้าจะต้องตายเพราะโรคภัยใดๆ จริงๆ

ก็ขอให้รีบๆตาย อย่าได้เรื้อรังให้สิ้นเปลืองเงินทองญาติพี่น้องไปเกินสมควรเลย



ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง และฝนตกบ่อย

คนรอบข้าง พากันป่วย

ข้าพเจ้าก็เริ่มจะป่วย

อาจเพราะช่วงนี้นอนน้อย พักผ่อนน้อย ทำนู่นนี่นั่นเยอะไปหน่อย

แต่ก็ช่างมัน


หากแต่บางครั้ง

ก็ได้เรียนรู้ว่า

ยามที่ป่วยกาย ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกทุกข์ท้อ เท่ากับยามป่วยใจ

เมื่อป่วยใจ

มันเหนื่อย มันหน่าย มันท้อ

เมื่อต้องรู้สึกแย่ เครียด กดดัน หรือเผชิญกับสภาวะอารมณ์อันไม่พึงประสงค์บ่อยๆ

มันบั่นทอนความแข็งแรงของจิตวิญญาณ


ข้าพเจ้าอาจหวั่นไหวไปเอง อาจอ่อนแอไปเอง

แต่นั่นก็เป็นตัวข้าพเจ้า

เพราะข้าพเจ้าอ่อนแอกับเรื่องบางเรื่อง

หวั่นไหวกับเรื่องบางเรื่อง

มีเรื่องให้สะเทือนอารมณ์เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป

และข้าพเจ้าก็ไม่ปรารถนาจะทำให้ใจตัวเองชินชากับเรื่องเหล่านั้น

เพราะมันยาก

ยากกว่าการหลบเลี่ยงไม่พบเจอ

ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะไม่พบ ไม่เจอ เรื่องใดๆ ที่จะกระทบความรู้สึกตัวเอง



ข้าพเจ้ามีบางเวลาที่เข้มแข็ง

และมีบางเวลาที่อ่อนแอ


ข้าพเจ้ามีคนที่รัก คนที่ห่วง คนที่แคร์

ซึ่งเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นเพราะคนเหล่านั้น หรือเกิดกับคนเหล่านั้น

ย่อมกระทบใจได้มากเป็นพิเศษ

มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์

ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่อาจหลุดพ้นและข้ามผ่านไปได้



เวลานี้

ข้าพเจ้าเพียงอยากอยู่เงียบๆ

นั่งมองสายฝนกระหน่ำซัดเพียงลำพัง

เจ็บปวดเพียงลำพัง

8 ส.ค. 2555

ว่าด้วยเรื่องของคน

จำได้ว่า สมัยเด็กๆ หรือแม้จนกระทั่งตอนนี้ ที่ไม่เด็กเท่าไหร่แล้ว

เวลาญาติผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่จะผูกข้อมือ ให้พร

มักจะต้องบอกว่า

"ให้ได้เรียนสูงๆ ได้ทำงานดีๆ เป็นเจ้าคนนายคน"


ตอนนี้ มานั่งนึกดู

ให้ได้เรียนสูงๆ ไปทำไม

ให้ได้ทำงานดีๆ ไปทำไม

ให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน ไปทำไม


ข้าพเจ้าอยากขอเพียง

ให้ได้มีความสุขกายสุขใจ

ไร้คนเบียดเบียน

อาจเรียนไม่สูง

อาจไม่มีงานดีๆ ทำ

อาจไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคน

ก็ไม่เป็นไร


หรือถ้าจะบอกว่า

ก็การเรียนสูงๆ ทำงานดีๆ และเป็นเจ้าคนนายคน

จะนำมาซึ่งความสุขกายสบายใจ

ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะกล้าพูดได้เต็มปากว่าเห็นด้วย


การเรียนสูงๆ มันเหนื่อย

การดิ้นรนให้ได้ทำงานดีๆ มันเหนื่อย

การเป็นเจ้าคนนายคน มันก็เหนื่อย


ทั้งเหนื่อยกาย และยังต้องเหนื่อยใจ

เครียด

กดดัน

วิตกกังวล

ทำยังไงจะสอบผ่าน

ทำยังไงจะได้เลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน

ทำยังไงลูกน้องที่เราเป็นเจ้าเขานั้น จะเชื่อฟังและทำอะไรๆได้ดั่งใจเรา

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์

ข้าพเจ้าไม่สามารถเห็นความสุขจากการดิ้นรนไขว่คว้า

อันหาที่สุดไม่ได้ของภาระหน้าที่เหล่านี้



แต่ที่นึกหนักใจที่สุด

ก็คงเป็นข้อสุดท้าย

เพราะการเป็นเจ้าคนนายคน

ไม่ได้มีแค่ตัวเราอีกต่อไป

แต่จะมีใครคนอื่นๆ มาเพิ่มเติม

มาผูกติด มาห้อยตาม

ให้เราต้องโอบอุ้ม ดูแล

เขาทำดี ก็ดีไป

เขาทำไม่ดีนี่สิ

แย่เลย



คน

คือต้นเหตุของปัญหา

ดั่งเขาว่า

มากคนก็มากความ


ทำอย่างไรเราจึงจะดำรงตนได้ดี

เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์มากคน

แต่ไม่ปรารถนาให้มากความ

เราต้องควบคุม

ต้องมองสถานการณ์

ต้องอ่านใจ

ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

ต้องสื่อสารกันให้รู้เรื่อง


ที่กล่าวมานั้น

ยากทุกข้อ


เพราะใจคน มันลึก

ยากนักที่เราจะเดาและหยั่งรู้ความคิดใครได้อย่างถ่องแท้


บางทีเขา อือ ออ

แต่สุดท้ายก็มา เอ๊ะ มา โอ๊ะ ในภายหลัง

เราก็ต้องมีหน้าที่ไปทำให้เขาอ๋ออย่างจริงจัง

ซึ่งการทำให้คนเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ

มันก็ยากอีกนั่นแหละ

คนเรามีวุฒิภาวะและสติปัญญาไม่เท่ากัน

บางคนพูดครั้งเดียวรู้เรื่อง

บางคนก็ไม่


คนอย่างหลังนี่

ถ้าได้เจอเข้าจริงๆ

เหนื่อยนัก

เป็นคนประเภทที่พร้อมจะดูดพลังจากผู้คนรอบข้างได้อย่างดี

เป็นคนที่ทำให้ใครๆ เอือมระอา

เหนื่อยงานตัวเอง

ยังต้องมาเหนื่อยกับคนประเภทนี้

เหนื่อยซ้ำเหนื่อยซ้อน


เฮ้อ


วันนี้เอ่ยคำว่า ยาก และ เหนื่อย

มากเกินไปแล้วกระมัง

พักก่อนแล้วกัน

เดี๋ยวจะเหนื่อยมากขึ้น และการทำให้หายเหนื่อยจะยาก..มากขึ้น



แด่..เพื่อนร่วมงานที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอยากหายไปจากที่แห่งนี้ในเร็ววัน