30 มี.ค. 2557

จดจำช่วงเวลานี้เอาไว้...

ความเหนื่อย ความล้า การประดังประดาเข้ามาของปัญหามากมาย

เป็นเรื่องปกติของชีวิต

ชีวิตที่ไม่มีปัญหา ไม่มีอุปสรรค

ไม่มีความยากลำบาก ไม่มีความทุกข์

จะหาได้ที่ไหน

เมื่อมนุษย์เกิดมาบนโลกใบนี้

ต่างก็มาพร้อมกับความยากลำบากกันอยู่แล้ว

ทุกผู้ทุกคน

มากบ้างน้อยบ้าง นั่นว่ากันอีกที

และเราต่างก็มีปฏิกิริยาที่แสดงออกมายามเมื่อเจอปัญหาแตกต่างกันไป

นั่นก็เรื่องของใครของมันอีกเช่นกัน




เวลานี้ ข้าพเจ้าอาจเจอปัญหา

เจออุปสรรคมากมายดาหน้าเข้ามาให้จัดการ

มันอาจเป็นปัญหา หรือไม่เป็นปัญหา

อาจเป็นเพียงบททดสอบ

เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ต้องจัดการไป

ข้าพเจ้าอาจจริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่างมากเกินไป

จนเผลอไปยกระดับให้มัน

จากเรื่องธรรมดาๆ ก็กลายเป็นปัญหาระดับชีวิตได้

นั่นมันก็ยากเหมือนกัน

ที่จะมีสติรับรู้เท่าทันมันตลอดเวลา

ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา





ปัญหาที่กำลังเผชิญ 

อาจเป็นของข้าพเจ้าเอง หรือของคนอื่น

แต่ก็นั่นแหละ

เรียกว่าคนอื่นก็ไม่ได้อยู่ดี

คนที่ข้าพเจ้ารัก ไม่เคยถือว่าเป็นคนอื่น

มันเป็นความปกติมากๆ

ที่เมื่อรักใคร

ก็ต้องอยากปกป้องเขา

อยากทำให้เขามีความสุข

อยากฝ่าฟันปัญหาไปกับเขา

ร่วมสุข ร่วมทุกข์ ร่วมเรียงเคียงบ่า

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าพเจ้าจะยิ้ม จะมีความสุข

ยามเมื่อคนที่รักกำลังเผชิญกับความยุ่งยาก




กระนั้น บางครั้ง มันก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น

เพื่อไม่ให้ความหนักหนา ยิ่งหนา ยิ่งหนักมากขึ้น

ข้าพเจ้าอาจจำเป็นต้องเข้มแข็ง

อาจจำเป็นต้องทำเสียงใสๆ ต้องแสร้งหัวเราะบ้าง

ยามเมื่อคุยโทรศัพท์กับคนที่กำลังท้อแท้ กำลังเหงาอย่างร้ายกาจ

กำลังเศร้าอย่างเหลืออดเหลือทน

หากข้าพเจ้าเศร้าไปด้วย

ก็คงหมดกัน

แล้วเมื่อวางโทรศัพท์

จะวิ่งไปร้องไห้อย่างบ้าคลั่งในห้องน้ำ

หรือสะอึกสะอื้นตัวโยนเพียงลำพัง

นั่นก็ว่ากันอีกที

มันสิทธิของข้าพเจ้าเช่นเดียวกันที่จะอนุญาตให้ตัวเองระบายความคับแค้นออกมาบ้าง




ข้าพเจ้าเชื่อเลยว่า

ปัญหาใหญ่ๆ ที่มาทีละหนึ่ง

ไม่ยุ่งยากเท่าปัญหาไม่ใหญ่ที่กรูกันเข้ามาทีละหลายปัญหา

มันเป็นเรื่องความสามัคคีอย่างที่เราพูดกันอยู่เสมอ

สามัคคีคือพลัง

เมื่อปัญหามันสามัคคีกันมา

มันย่อมมีพลังมาก

ทำร้ายเราได้มาก

ทางเดียวที่จะสู้กับมันได้

คือค่อยๆ ทำลายมัน

ทีละนิดๆ 

ให้มันสลายไปทีละหน่อยๆ

เดี๋ยวมันก็หมดพลังไปเอง


แต่ปัญหาในการจัดการปัญหาเทือกนี้ก็คือ

เราต้องไม่หมดพลังก่อนพวกมัน

นั่นแหละ

บททดสอบอันแท้จริง





ข้าพเจ้าจะจดจำช่วงเวลานี้เอาไว้

ช่วงชีวิตที่ข้าพเจ้าร้องไห้มากที่สุด

ช่วงเวลาที่รู้สึกสิ้นหวัง

และได้ทำความรู้จักกับความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า

รู้สึกเหยียดหยามตัวเอง

รู้สึกดูถูกและผิดหวังในตัวเองที่สุด



ข้าพเจ้าจะจดจำน้ำเสียงหนักใจของแม่

จดจำเสียงหงอยๆ ของน้อง

และจดจำการคุยโทรศัพท์กับพ่อ

ครั้งแรกที่พ่อพ่ายแพ้ต่อความเหงาอย่างสิ้นท่า

ข้าพเจ้าเข้าใจพ่อดี

พ่อไม่อ่อนแอหรอก

มันเป็นธรรมดา

เมื่อเราต้องอยู่เพียงลำพัง ในสถานที่ที่เคยมีคนคุ้นเคยอยู่ด้วยทุกวี่วัน

หัวใจคนหาใช่หินผา

ย่อมมีความอ่อนไหว

ข้าพเจ้าจะจดจำสถานการณ์เลวร้ายที่ครอบครัวของเรากำลังเผชิญในขณะนี้

เราอาจเคยพบเจอมันมาบ้าง

แต่ตอนนั้นเราผ่านมันมาได้

เพราะเรายังมีเรา

ต่างกับตอนนี้

ที่เราอาจยังมีเรา แต่ก็ช่างห่างไกลเหลือเกิน

ไกลจนความสั่นไหวของแต่ละคนแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน

ข้าพเจ้าจะจดจำ และเมื่อมันผ่านไป

และจะไม่มีวันให้มันกลับมาซ้ำรอยเดิมได้อีก




แน่นอน ข้าพเจ้าจะจดจำทุกแรงผลักดัน

ที่ทำให้ข้าพเจ้าสามารถปาดน้ำตาและเผชิญหน้ากับเรื่องราวเหล่านี้อยู่ได้

ทั้งแรงผลักที่มาจากกำลังใจ

และแรงผลักที่มาจากการซ้ำเติม ทับถม 

ทั้งการแบ่งปัน

ทั้งความเห็นแก่ตัว

ทั้งการโอบกอดอย่างอบอุ่น

และการเมินเฉยอย่างร้ายกาจ

ข้าพเจ้าจะไม่ลืม

มันอาจทำร้ายข้าพเจ้าได้

อาจทำให้ข้าพเจ้าอ่อนแอ สั่นไหว และเสียน้ำตาในตอนนี้

แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าผ่านพ้นความยุ่งยากทั้งหมดนี้ไปได้

ข้าพเจ้าสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า

มันจะไม่สามารถทำอะไรหัวใจข้าพเจ้าได้อีกต่อไป




บางครั้งเราต้องยอมถูกรังแก ถูกเหยียบย่ำบ้าง




มันไม่สำคัญหรอกว่าฟ้าจะสูงเพียงไหน

มันสำคัญที่เราต่ำต้อยเพียงใดต่างหาก


ใครสักคนกล่าวไว้





แพรวา ในวันปัญหารุม

30 มีนาคม 2557

วันสอบเนติฯ ขาสุดท้าย 

ยังเหลือวิ.แพ่งที่ต้องอ่านอีกสามร้อยหน้า หึๆ


11 มี.ค. 2557

อาสาสมัคร...ดำน้ำปลูกปะการัง จุดเริ่มต้นของหลายสิ่ง


กิจกรรมครั้งนี้ ข้าพเจ้าสมัครไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

และขอเลื่อนกับทางกลุ่มผู้จัดมาสองครั้ง

(กลุ่มผู้จัดระบุไว้ว่าถ้าแจ้งล่วงหน้า 3 วัน

จะสามารถขอย้ายไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่มในภายหลังได้)

ครั้งแรกกิจกรรมที่ข้าพเจ้าสมัครไป

(คือปลูกปะการังเหมือนกันนี่แหละ)

ชนกับงานครูอาสาปูทะเลย์

จึงต้องขอเลื่อนไปเป็นปลูกป่าชายเลน

และเมื่อจะไปปลูกป่าชายเลน

ก็เหลือบมาเห็นว่า 

เฮ้ย มีไปปลูกปะการัง (อีกแล้ว) อ่ะ

เลยขอเปลี่ยนชื่อมาฝังตัวในกิจกรรมครั้งนี้

(เพราะป่าชายเลนเคยไปบ้างแล้ว)

ซึ่งผู้จัดก็ใจดีมาก

เปลี่ยนให้โดยไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใดๆ

(กราบขออภัยในความยุ่งยากมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)


จึงได้มีชื่อในการไปร่วมปลูกปะการังครั้งนี้แล





จำได้ว่า เมื่อตอนอยู่ ม.4 

ข้าพเจ้าไปค่ายวิทยาศาสตร์ของโรงเรียน

มาแถวสัตหีบนี่แหละ

จำได้ว่ามาค้าง โดยมีทหารเป็นวิทยากร

และได้ดำน้ำดูปะการังครั้งแรก

ตอนนั้น กลัวแมงกะพรุนมาก

คือพอใส่หน้ากากแล้ว

เหมือนแมงกะพรุนมันลอยสะเปะสะปะมาใกล้มาก

ตกใจจนเกือบปล่อยมือจากเชือก

เอี้ยวตัวหลบ

ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า

เอิ่ม

ไอหน้ากากที่ใส่ๆ อยู่นั้น มันขยายด้วยนะแก

คือ ที่เห็นอยู่ใกล้ๆ นั่น

ความจริงมันอยู่โน่นนนนนนน!!!

จะตกใจหลบเป็นเดอะแม็ททริคส์ทำหอกอะไรยะ

(ครั้งนั้น พี่ทหารที่เป็นวิทยากรหลัก

และพาเด็กๆ ลงน้ำ

โดนแมงกะพรุนเข้าที่แก้มด้วย

บวมแดง น่ากลัวสุดๆ...แมงกะพรุนนะ ไม่ใช่พี่เค้า)




แต่ครั้งนี้

เราๆ (เหล่าอาสา) ได้ยินชื่อ "เม่นทะเล"

ตั้งแต่อยู่บนรถ

เพราะพี่อาสาที่มาถือไมค์อธิบายภารกิจและหลักการปฏิบัติคร่าวๆ

เอ่ยถึงไว้หลายดอก

บอกว่าอยากให้ได้ลงน้ำก่อนสิบเอ็ดโมง

เพราะถ้าช้าจากนั้นเกินไป

น้ำจะลง

และเราก็อาจได้ใกล้ชิดกับดงเม่นทะเลเกินไป

เมื่อวาน (วันเสาร์) รุ่นก่อนหน้าที่มา

โดนไปสามราย





ตอนแรกข้าพเจ้ายังไม่ตระหนกมากนัก

แต่เมื่อมาถึงสถานที่ นั่งฟังอาจารย์ประสาน แสงไพบูลย์

อธิบายจริงจัง

พร้อมโชว์ภาพเจ้าเม่น

และภาพขาของน้องคนหนึ่ง

ที่พรุนและเต็มไปด้วยรูสีดำ

อื้อหือ

มีการตบท้ายว่า

ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว




ข้าพเจ้าหันไปกระซิบกับน้องที่นั่งข้างกันตั้งแต่บนรถว่า

"พูดขนาดนี้ โชว์ภาพขนาดนี้ แล้วบอกเราไม่ต้องกลัว แหมๆ"

ฮ่าๆๆ





และเมื่อถึงเวลาลงน้ำจริงๆ

เหมือนว่าข้าพเจ้าจะมีปัญหากับเจ้าหน้ากากเหลือเกิน

คือ มันหลวมไป

น้ำจึงเข้ามาขังตรงจมูก

แสบมาก 

ปรับแล้วปรับอีกอยู่นาน

ก็ยังไม่ได้

สุดท้ายก็ช่างมัน

ความจริงมันก็ได้แหละ

แค่แสบๆ หน่อยเท่านั้น




แต่ก็นั่นเอง

แพรวาเอ๋ย แพรว้าาา

แสบนิดๆ พอทนได้

แต่แสบนานๆ นี่สิ เกินจะทน





กระนั้น ด้วยความเป็นสาวอึดอยู่บ้าง

ก็สาวเชือก ดูปะการัง ดูปลาไปเรื่อยๆ

มันก็เพลินๆ ดี

สักพักเท่านั้นแหละ

ผ่านดงเม่นทะลจ้า




ขางี้เกร็งขึ้นมาในบัดดล

มันอยู่ใกล้มาก

ตัวดำๆ 

ขนแหลมปรี๊ดดดด

ยาวด้วย

มีจุดสีขาวสองจุด

ประหนึ่งดวงตาปีศาจที่จ้องมองมา

เหอๆ

ทำไมอาจารย์ประสานบอกไม่ต้องกลัวฟระ T^T




จังหวะที่ต้องผ่านดงเม่นมากๆ

ข้าพเจ้ามือยาวสุดๆ

สาวได้สาวเอา

ด้วยความรวดเร็ว

แต่ก็ต้องรักษาระยะห่างจากคนหน้าไว้

ไม่เช่นนั้นคงได้สัมผัสปลาตีน

หึๆ




จังหวะหนึ่ง ผิวน้ำ ใกล้ๆ เชือกก็ปรากฏสิ่งแปลกปลอมสีขาวๆ ยาวๆ

มองแวบแรกข้าพเจ้าแอบตกใจ

มองไปมองมา 

อ้าว เข็มขัดใครฟระ

ตอนแรกก็ว่าจะปล่อยไป

เพราะไม่คิดว่าจะเป็นของอาสาคนใดในที่นี้

คงเป็นขยะไปแล้วมากกว่า

กระนั้น

ต่อมสำนึกดีที่ยังพอมีอยู่บ้างก็ร้องเตือนขึ้นว่า

อ้าวเฮ้ย

ยิ่งเป็นขยะยิ่งต้องเก็บเลย 

เก็บไปทิ้งดิวะ

(แหม่ นางเอกมาก)

แต่ความดีมีหรือจะทำได้ง่าย

ไอ้ดำสกัดดาวรุ่งทันที

โหววว แกเอาตัวให้รอดก่อนเถอะ

แค่สาวเชือกไปให้พ้นจากดงเม่นก็จะรอดแหล่ไม่รอดแหล่ละ

ยังจะเอาภาระมาใส่มืออีก

หาเรื่องจริงๆ



แน่นอน 

ไอ้ดำแพ้ราบคาบ

ข้าพเจ้าคว้าเข็มขัดไม่มีหัวมาไว้ในมือขวา

สาวเชือกไปเรื่อยๆ

และตอนนั้น

แสบจมูกมาก





สักพัก

พี่ทีมงานอาสานักดำน้ำ

ก็ทักขึ้น

"อ้าว เอาอะไรติดมือมาด้วย"

ข้าพเจ้าก็ยื่นให้

เขาถามว่าของใคร

ข้าพเจ้าโบกมือบ๊ายบาย ไม่รู้จ้า





และเมื่อมีโอกาสอันดี ขอพักหน่อยละกัน

ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นจากน้ำ 

ถอดท่อออกจากปาก

บอกพี่เขาว่า แสบมาก 

(ทำไงดีคะ แบบว่า จะมะไหวแร้ววว

กรรมของคนไม่มีดั้งรึป่าวนะ น้ำขังเต็มจมูกเลย T^T)




พี่ผู้ชายก็หูดีสุดๆ

"อะไรนะครับ สวยมาก"

-*-

ขุ่นพี่คระ

แสบมว้ากคร่า แสบมว้ากกก

พี่เขาแอบขำ

ยิ้มๆ 

แล้วช่วยจัดแจง จับหน้ากากให้ข้าพเจ้า

พร้อมบอกเสียงอบอุ่นว่า

"อย่าเอาขาลงนะ"

(คือ พี่ไม่ต้องบอก หนูก็เกร็งจะตาย

ไม่กล้าเอาลงอยู่แล้วค่ะ

เม่นทะเลเป็นดง เป็นหมู่บ้าน เป็นอาณาจักรขนาดน้าน)



แอบอายนะ น้ำมูกคงเยิ้มน่าดู ฮ่าๆๆ

แล้วก็ถามข้าพเจ้า

"ไหวไหม ขึ้นเรือไหม"

(มีเรือท้องกระจกไว้รับคนที่ไม่ไหว หรือมีโรคประจำตัว)

แหม่ ใครจะไปยอม

"ไม่เป็นไรค่ะ ไหวค่ะ"

(หึๆ ทำปากดีไปงั้น กลัวเสียฟอร์ม ความจริงขึ้นเรือก็ดีนะ เอิ้กๆ)




ฉากนี้ข้าพเจ้าแอบเพ้อไปไกล

แหม่ 

ถ้าเป็นพระเอกหล่อคมเข้ม

ช่วยนางเอกน้ำมูกเยิ้ม

คลื่นซัดร่างบางไปปะทะอกหนาของเขา

ตาสบตา

อร๊ายยย พอๆๆ

นั่นมันในจินตนาการ ในนิยายน้ำเน่าย่ะ




จัดแจงใส่หน้ากาก เอาปากคาบท่อเสร็จก็ไปต่อ

คราวนี้สบายขึ้นนิดหน่อย

จนถึงแพอย่างปลอดภัย

ไร้อาการน่าวิตกใดๆ





ปลูกปะการังเรียบร้อย

ด้วยความคล่องแคล่ว

เพราะตั้งใจฟังพี่คนนั้น (เออ คนที่ช่วยเมื่อกี๊นั่นแหละ)

แล้วก็ทำตามอย่างเคร่งครัด

เป๊ะๆ

ออกมาสมบูรณ์ ปะการังไม่หักคามือ และไม่โคลงไปเคลงมา





มีคนมาขอความช่วยเหลือด้วยนะ

เห็นหน้าอย่างนี้น่ะ

ฮ่าๆๆ

หญิงสาวสองคนมาถามว่า 

"อย่างนี้ถูกไหมคะ"

ข้าพเจ้าก็สาธิตให้ดู

ตามแบบต้นฉบับเด๊ะๆ

ทำมือกดไลค์ นิ้วโป้งอยู่ระหว่างน็อต บลาๆๆ





จากนั้น เมื่อพี่ๆ ทีมดำน้ำลึกเอาปะการังลงไปใต้น้ำแล้วเรียบร้อย

ภารกิจเสร็จสิ้น

เราก็กลับ

บางส่วนมาเรือ กลับเรือ

บางส่วนมาเอง กลับเรือ

บางส่วนมาเอง กลับเอง





แน่นอน บ้าบิ่น (แบบไม่เจียมสังขาร) อย่างข้าพเจ้า

ก็กลับเองสิคร๊า

"เธอลืมไปรึเปล่า...ลืมอะไรไปรึเปล่า"

ขากลับ น้ำลงแล้วจ้า

เม่นทะเลยิ่งใกล้ หัวใจยิ่งสั่น

มิหนำซ้ำ




ไม่ได้กลับแบบเกาะเชือกกลับด้วย

เห็นคนอื่นเขากระโดดน้ำตู้มต้าม 

เราก็เอามั่ง มีชูชีพอยู่ จะไปกลัวอะไร

(แพรวาว่ายน้ำไม่เป็นนะเออ)

แรกๆ ก็เหมือนจะดี

สกิลว่ายน้ำง่อยๆ ที่ติดตัวมาตั้งแต่การเรียนว่ายน้ำเมื่อตอน ม.1 กับ ม.4

พอจะถูๆ ไถๆ ไปได้บ้าง

ดูปะการังแถวนั้น

เพลินๆ

สักพักเท่านั้นแหละ

เฮ้ย เขาไปทางไหนกันหมดฟระ

เงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น

อื้อหือ แนวเชือกอยู่โน่นนนนน





ข้าพเจ้าพยายามแหวกแขน ตีขา พาตัวเองกลับเข้ากลุ่ม

และเมื่อไปได้สักระยะ

อุแม่!!!


ผ่านดงเม่นทะเลแบบไม่มีตัวช่วย

ไม่มีเชือก

ไม่มีใคร

มีแต่ตัวกูของกูนี่แล

ข้าพเจ้าตะกายน้ำ

ด้วยท่าที่ไม่สามารถหาคำนิยามได้

เม่นก็อยู่อย่างใกล้

กลัวก็กลัว

ตะกุยตะกายไปเรื่อยๆ

ก็ไปเจอการจราจรติดขัด

คือ หน้าก็คน ข้างก็คน

มือก็ไม่กล้าตะกาย

ขาก็ไม่กล้าตี

ข้างล่างแม่มก็เม่นเต็มไปหมด



ให้ทายว่าทำไง



แผ่เมตตาลูกเดียวเลยจ้า



เรามาดี อย่ามีเวรมีกรรมกันเลย


น่าน เป็นทางออกที่ดีมากสินะ หึๆ




เมื่อผ่านช่วงชุลมุนมาได้ การจราจรเริ่มคลี่คลาย

ข้าพเจ้าก็ตะกุยน้ำต่อ

ตอนนั้น เริ่มเหนื่อยแล้ว

ไม่มีแรง

ขาก็เหมือนจะจมลงๆ

(ความจริงมันจะไม่จมหรอก เพราะมีชูชีพ 

แต่ระดับการจมของขานี่ เราต้องจัดการเองไง

เหนืออาณาเขตการอุ้มชูของชูชีพ 

คือ มันชูแค่ชีพ ไม่ให้เราตาย แต่ไม่ชูขา ไม่ให้โดนเม่นไง เหอๆ)



เมื่อขาจะจมลง ก็เกร็งขึ้นมา

เพราะกลัวมาก

เออ

เกิดมาเคยกลัวอะไรขนาดนี้รึเปล่า

วินาทีนั้นตอบได้เลยว่าไม่

จริงๆ

กลัวงูที่เลื้อยผ่าน

กลัวงูที่เลื้อยเข้ามาในห้องน้ำเมื่อตอนเด็กๆ

กลัวแมงกะพรุน

ก็ยังกลัวแค่ชั่วครู่ชั่วคราว และแวบเดียวเท่านั้น

ก็รอดมาได้

แต่นี่

จะรอดไปได้ยังไงฟระ

อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม

สบสายตากันปิ๊งๆ

รุสึกดงมันกว้างใหญ่ไพศาลอะไรเยี่ยงนี้

ขณะหนึ่ง อยากชูมือขอความช่วยเหลือมาก

แต่ก็นะ

ใครจะมาช่วยได้

สุดท้ายจึงต้องตะเกียกตะกาย

รวบรวมพลัง

และสติ

แหวกน้ำด้วยท่าที่อาจารย์ประสานสอนไว้ก่อนลง

ผ่านดงเม่นไปได้อย่างฉิวเฉียด

เจอพี่อาสานักดำน้ำที่อยู่ประจำจุด คอยดูแล

ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

"ไปจับเชือกเลยน้อง"

นั่นแหละที่หนูรอคอย แต่ประเด็นคือ

"เชือกอยู่ไหนคะพี่"




นั่นเอง พี่อาสาจึงต้องดึงแขนข้าพเจ้าไปส่งที่เชือก 

ฮ่าๆๆ

กระนั้น มิได้หมายความว่าเจอเชือกแล้วจะปลอดภัย

เรายังต้องผ่านดงเม่น

ในระยะใกล้ ในระดับน้ำที่ลงแล้ว

ข้าพเจ้าสาวเร็วกว่าขาไปหลายเท่า

มือยาวสุดๆ

หึๆ

ขึ้นจากน้ำมาได้

ขาสั่นเลยจ้า

ไม่แน่ใจว่าสั่นเพราะใช้งานหนัก

หรือสั่นกลัว สั่นสู้กันแน่

เอิ้กๆ





แต่ก็สนุกดีนะ

ตื่นเต้นดี

ฮ่าๆๆ


ป.ล. ไปครั้งนี้ ได้พล็อตนิยายมาหนึ่งเรื่อง

ตื่นเต้นมากอะไรมาก หุๆ





พาหนะที่ใช้ขนเหล่าอาสาจากจุดลงน้ำมาที่อาบน้ำจ้า





อาบน้ำเสร็จเราก็กลับขึ้นไปอีกรอบ 

(คืออาจารย์จะไปขนคนลงมา เราก็เกาะล้อขึ้นไปด้วยเรย อิอิ)

ไปถ่ายรูปซะหน่อย แหะๆ




ได้มาแค่นี้แหละ แง้ๆ



แถมท้าย เผื่อใครไม่เคยเห็นหน้าตาเจ้าเม่นทะเล 

(แหลมได้ใจ แหลมกว่าเม่นบก แหลมกว่าเม่นคุณฮิบาริอีกนะเออ -_-")



(ภาพจาก http://www.biogang.net/biodiversity_view.php?menu=biodiversity&uid=1001&id=7542)










ด้วยรัก

แพรวา