เล่มนี้ พิมพ์ออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2546
และพิมพ์ครั้งที่ 3 ปี 2555
เมื่อเขากลายเป็นกระแสพลุแตกในฐานะคู่หมั้นของนางเอกทรงโต
ตั๊ก บงกช
แต่เรื่องนั้นเราอย่าไปใส่ใจเลย
กระแสก็คือกระแส
มาแล้วก็ไป ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรก็ย่อมได้
สิ่งที่น่าสนใจในตัวผู้ชายคนนี้
มีมากมาย
และสมควรได้รับความสนใจเกินกว่ากระแสเหล่านั้นเสียอีก
ชื่อหนังสือ "เพราะ บุญ ดั่งนี้ จึงมี ชัย"
ให้ความรู้สึกในทันทีว่า
หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้กำลังจะสื่อว่า
เศรษฐีคนนี้เป็นคนเก่งเลิศเลอ
แต่มีความดีอยู่ในตัว
จึงมีวันนี้ จึงมีชัยได้
ดูเข้ากัน ดูลงตัว
ทั้งรูปแบบที่เป็นการล้อกับชื่อของเขา "บุญชัย"
และเนื้อหาที่จับมานำเสนอที่ไปกันได้กับชื่อเรื่อง
ผู้เขียน ผู้เรียบเรียง คือ ดิษนีย์ นาคเจริญ ทำออกมาได้ดี
ลงตัว ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่ทะแม่งๆ
ส่วนเรื่องจะดูพรีเซ้นต์ ดูอวยกันหรือไม่
อันนี้ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของผู้อ่านแต่ละคนจะดีกว่า
ของแบบนี้ ต่างคนต่างมาตรฐาน
กระนั้น
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า
โปรยปกที่เขียนไว้ว่า
"จากคนขายประกัน สู่ผู้บริหารธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม" นั้น
ดูออกจะจงใจสื่อให้คนอ่านรู้สึกแวบแรกว่า
โอ้โห จากไม่มีอะไรเลย มาสู่มีอะไรมากมาย
เพิ่มอุปสรรค เพื่ออัพคุณค่า
ซึ่งความจริงแล้ว
การขายประกันของคุณบุญชัย
ไม่ใช่การขายแบบคนจนยาก ปากกัดตีนถีบ
ฝ่าฟันชีวิตอะไรขนาดนั้น
พ่อแม่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีอยู่แล้ว
เป็นการสอนลูกให้เรียนรู้การทำงานในชีวิตจริง
แต่ไม่ได้หมายความว่า
ถ้าคุณบุญชัยขายประกันไม่ได้
แล้วจะต้องอดตาย
บริบทชีวิตไม่ได้ข้นแค้นแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้น จะมาเขียนให้ดูเป็นสไตล์แบบเด็กขอทาน ทะยานไปเป็นคนรวยล้นฟ้านั้นไม่ได้
นอกจากนี้ ในเนื้อเรื่อง ยังมีหลายตอนที่สนับสนุนถ้อยคำนี้
คือ ไม่เพียงเริ่มจากศูนย์ แต่เป็นการติดลบ
คือ มีหนี้หลายหมื่นล้านที่ต้องแบกรับและฝ่าฟัน หลังจากสิ้นบุญคุณพ่อ
ด้วยอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น
โดยส่วนตัว
ข้าพเจ้าไม่คิดว่านั่นคือการติดลบ ที่ดูลำบากลำบนกว่าศูนย์
เพราะอย่าลืมว่า
โอเค คุณเป็นหนี้ก้อนโต
แต่ต้องพิจารณาด้วยว่า
หนี้นั้น ไม่ได้เกิดกับคนธรรมดา ตาสีตาสา
มันดูเยอะ
แต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายสำหรับคนที่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านหมุนเวียนอยู่ในชีวิต
เปรียบเทียบก็ประมาณว่า
คนที่หาเงินได้วันละสองร้อย แต่เป็นหนี้สองหมื่น
นั่นดูเยอะของเขา
แต่หนี้สองหมื่นสำหรับคนที่ทำเงินได้วันละสองพัน มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร
จะมองแค่จำนวนหนี้ไม่ได้
ต้องมองต้นทุน มองส่วนอื่นๆ ของเขาประกอบด้วย
และที่สำคัญ
ครอบครัวนี้ คุณบุญชัยนี้
ไม่ได้ปากกัดตีนถีบเพียงลำพัง
แต่มีเส้นสาย มีคนรู้จัก
ในแวดวงราชการ หน่วยงานต่างๆ มากมาย
เพราะฉะนั้น
การฝ่าฟันอุปสรรคและการพลิกฟื้นชีวิตขึ้นมาได้
ของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ
จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
แต่ถ้าไม่สามารถทำได้
นั่นแหละ คือการไม่ธรรมดายิ่งกว่า
คนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี
อยู่ในแวดวงธุรกิจมาแต่อ้อนแต่ออก
พ่อแม่ก็เป็นนักธุรกิจ
รู้จักมักคุ้นกับคนใหญ่คนโต คนนามสกุลดังๆ มากมาย (ที่เอ่ยมาเป็นพรวนในเล่ม)
คนที่ร่ำเรียนจบจากเมืองนอกเมืองนา
ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้สิ จึงจะน่าอาย
ข้าพเจ้าไพล่ไปนึกถึงคนที่เริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ และยังมีช่วงวิกฤตติดลบในชีวิตมากมาย
คือคุณตัน ภาสกรนที
ใครเคยได้อ่านประวัติของเขา
จะรู้เลยว่า คนๆ นี้ Born to be และเริ่มจากศูนย์
เริ่มจากความลำบากจริงๆ
และยังมีใครต่อใครอีกหลายคน
ในแวดวงธุรกิจของไทย
ที่เริ่มจากการไม่มีอะไรเลย
ไม่มีอะไรที่หมายถึง
ไม่มีใครสนับสนุน ไม่มีความรู้ทางธุรกิจ
ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการหยิบจับเงินจำนวนมหาศาล
กระนั้น ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าไม่ชื่นชม
ไม่ชื่นชอบคุณบุญชัย
คนที่จะรักษาสมบัติที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ และต่อยอดให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปได้นั้น
ไม่เป็นอนุชาตบุตร ก็ต้องเป็นอภิชาตบุตร
เขาก็เป็นคนดี มีบุญ มีกรรมในแบบของเขา
ผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาหลายครั้ง
ก็ไม่ตายสักครั้ง
บางครั้งด้วยบุญช่วยล้วนๆ
แต่บางครั้งก็ต้องยอมรับว่า
มีบุญอย่างเดียวไม่พอ
ต้องมีไหวพริบ มีปัญญาด้วย
จึงจะรอดมาได้อย่างนี้
รวมถึงแนวความคิดของเขา
ที่รักศิลปะ
และปรารถนาจะทำประโยชน์เพื่อสังคม
และลงมือทำจริงๆ
ไม่ใช่ทำแค่เอาหน้า ทำแบบ CSR เท่านั้น
เพราะถ้าจะเอาแค่หน้า เขาไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลย
ทุกสิ่งที่เขาทำ มันสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่า
เขาไม่ใช่นักธุรกิจที่เห็นแต่เงินทอง มองแต่ตัวเลข
เขามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ สมชื่อ "ใหญ่" จริงๆ
อนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่คุณบุญชัยฝักใฝ่ในธรรม
แต่ก็นะ
ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้
ยังไปวัดพระธรรมกายอยู่หรือไม่
ขอให้บุญคุ้มครอง
ด้วยรัก
แพรวา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น