5 มี.ค. 2557

One by One...Three Hundreds No.57 "นางเลอโฉม"








นางเลอโฉม 

ข้าพเจ้าอ่านหนังสือเล่มนี้กี่รอบไม่อาจจำได้

อ่านเพราะอยากอ่านหนึ่งรอบ

และอ่านเพราะต้องอ่านอีกหลายรอบ

ซึ่งแต่ละรอบนั้น

น่าแปลกที่มีก้อนความคิดผุดขึ้นไม่เหมือนกัน

ทั้งที่อ่านในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

หาใช่การทิ้งร้างไปเนิ่นนานแล้วหยิบจับมาปัดฝุ่น

หาใช่ข้าพเจ้าเติบโตขึ้นจนมองโลกเปลี่ยนไป

(ใครมันจะไปโตไว แก่ไวขนาดนั้น)


และยังมีหลายครั้งที่แอบงงด้วยว่า

ทำไมอ่านรอบแรก รอบสอง หรือรอบสามจึงไม่นึกสงสัยตรงนี้ ไม่เกิดคำถามตรงนั้น

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนักว่าจะมีหนังสือสักกี่เล่ม

ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ได้




ข้าพเจ้าชอบสำนวนการเขียนในเล่มนี้

มีอารมณ์ขัน เสียดสี แต่ซ่อนเร้นแอบแฝง

ให้ต้องนึกอยู่ตลอดเวลาว่า

ความฮาที่ปรากฏนั้น ฉาบหน้าสิ่งใดอยู่หรือไม่

อาจเพราะการรู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้เขียน

จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่า

มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

มันต้องสื่ออะไรมากกว่าที่เราเข้าใจ

(ซึ่งความจริงก็อาจไม่มีอะไรหรอก ตรูคิดไปเอง ฮ่าๆๆ)





โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าไม่คิดว่าฉากวาบหวามในหนังสือเล่มนี้

เป็นการสื่อหรือจงใจใช้ฉากอย่างว่าเป็นจุดขาย

ถ้าใครซื้อเพราะใคร่จะอ่านตัวหนังสือเช่นนั้นให้เต็มอิ่ม

คงต้องผิดหวัง

ซ้ำยังออกจะติดตลก อารมณ์ขันแซงหน้าอารมณ์อย่างว่าไปเสียอีก

เมื่อครั้งข้าพเจ้าอ่านงานชิ้นนี้เป็นครั้งแรก

เมื่อราวสองปีก่อน

ตอนนั้นยังไม่ออกมาเป็นรูปเล่ม 

ยังไม่เป็นหนังสือ

ยังเป็นต้นฉบับป่วยๆ อยู่

นอกจากความงุนงง (ว่าเขียนอะไรฟระ) แล้ว

สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าจำได้คือ

ตัวเอก คือ จีรา นินทาชายผู้หน้าตาดีที่สุดในสถาบันชายสำ

ซึ่งเธอได้คู่ด้วยในคาบการเรียนร่วมที่เพิ่งจบไปว่า

"เล็กสั้นไม่ขยันซอย แค่ขยับค่อยๆ ก็พุ่งปรี๊ด พุ่งปรี๊ด"

เฮ้ยยย...มันเหมือนเป็นคำขวัญโฆษณาอะไรสักอย่าง

ที่ติดปากติดหูอย่างรวดเร็ว

ธัชชัย ธัญญาวัลย น่าจะลองไปทำงานในวงการโฆษณานะ หึๆ




กระนั้น เมื่อได้กลับมาอ่านอีกหลายรอบในช่วงนี้

ซึ่งหนังสือได้พิมพ์ออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว

โถ่... นั่นเป็นเพียงน้ำจิ้มจริงๆ




ข้าพเจ้าปล่อยตัวเองให้ขบขันไปกับการสรรหาคำด่าทอ

ของหญิงข้างห้องจีรา

คือ คนบ้าอะไร ด่าได้วิจิตรพิสดารขนาดนั้น

เป็นตัวประกอบที่แลดูจะมีบทบาทตีคู่มากับจีราเลยทีเดียว

และบางจังหวะ 

ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า

ยัยผู้หญิงข้างห้องนั่นไม่มีตัวตนจริงๆ หรอก

เสียงด่าทอที่จีราได้ยิน

คือเสียงมโนจากก้นบึ้งของหัวใจตัวเองเสียมากกว่า

หล่อนคงอยากตะโกนด่าแฟนหนุ่มเช่นนั้น

แล้วอ้างเอาหญิงข้างห้องมาทำหน้าที่แทน

"ใช่สิ ฉันมันหน้าเหมือนปลาทูอวกาศ" 

"พ่อผู้ดีแปดสาแหรก จะไปดีแหกดีหันที่ไหนก็ไปเลยไป"

"คุณมันชั่วร้ายโดยดีเอ็นเอ..."

อืม เลือกไม่ถูกจริงๆ ว่าจะเจ็บจี๊ดหรือฮาแตกดี




เสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือ

ตัวละครทุกตัวมีชีวิต

และดูสมจริง 

มีลักษณะธรรมชาติตรงตามที่ควรจะเป็นจริงๆ

เพราะฉะนั้น จึงทำให้เราร่วมอิน

ร่วมหัวเราะ ปลดปล่อยจินตนาการของตัวเอง

ให้เข้าไปสู่โลกที่ไม่มีจริงนั้นได้

ทั้งจีรา แพรดาว แรมกานต์ 

ทุกคนมีบุคลิกของตัวเองอย่างเด่นชัด

ฉากฮาก็ฮา ฉากสยิวก็สยิว 

หรือฉากเศร้าก็เศร้า




โดยเฉพาะฉากในห้องเรียน

ตัวละครแต่ละตัว เรียนรู้ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างที่สุด

จีราที่ไม่แยแสต่อการเรียนภาคปฏิบัติ 

จนอาจารย์ส่ายหน้า

เป็นภาพคอนทราสต์ตัดกับเพื่อนรักอย่างแพรดาว

ที่อาจารย์ถึงกับต้องเอ่ยปากว่า

"อ้าว! แม่นี่ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าร้องให้มันเว่อร์นัก 

ไม่มีผู้ชายหน้าไหนในโลกต้องการความตอแหลเสแสร้งหรอกนะ"

อืมมมม....

กระนั้น สองสาวนี้เทียบไม่ได้กับแรมกานต์เลยแม้แต่น้อย

แต่จะไม่ขอเอ่ยถึงแรมกานต์ในที่นี้แล้วกัน 

ขี้เกียจพิมพ์ ฮ่าๆๆ




ข้าพเจ้าสารภาพตามตรงว่า

คงไม่กล้าพอจะถือหนังสือเล่มนี้ขึ้นไปอ่านบนรถไฟฟ้า

หรือในที่สาธารณะ

อืม...หน้าปกนั่นแค่ส่วนหนึ่ง

แต่ที่กังวลคือ

กลัวจะไปนั่งขำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนคนเขาหันมามอง

บางทีข้าพเจ้าอาจเส้นตื้นเกินไป

(เฮ้ย นี่มันนางเลอโฉมนะ มะใช่ขายหัวเราะ หึๆ)




ว่ากันถึงประเด็นอื่นๆ บ้าง

โลกในยุคที่โสเภณีเป็นอาชีพที่ใครต่อใครใฝ่ฝันอย่างนั้นหรือ

ความจริง ถ้าเป็นในช่วงเวลานี้

ข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าแนวความคิดนี้มีความใหม่ในระดับที่หลุดโลกแต่อย่างใด

ก็จะไปหลุดอะไร

โลกปัจจุบันมีเรื่องคาวโลกีย์เช่นว่านี้อยู่เต็มไปหมด

แค่จะเปิดเผย จะหยิบขึ้นมาเล่าขานหรือไม่ก็เท่านั้น

"นางเลอโฉม" เป็นแนวความคิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งผู้เขียน หยิบมาต่อเติมจินตนาการ

ใส่ทั้งข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในอดีต ปัจจุบัน และอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

และปรุงแต่งด้วยความเพ้อฝันตามสไตล์ของเขา

เพื่อให้รสชาติกลมกล่อม จัดจ้าน ให้นัวๆ มัวๆ แซบๆ ในแบบของเขาก็เท่านั้น



เพราะฉะนั้น วิทยาลัยโสเภณีในเรื่องนี้

ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

อะไรๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน

เกอิชาเราก็มีมาแล้ว

ที่ต้องเทรน ต้องติวเข้ม ผ่านการแก่งแย่งชิงดี

มีการประมูลเพื่อเปิดบริสุทธิ์

หรือโรงเรียนสอนการแสดงเป็นดาราเอวี

ก็เห็นกันหนาตาขึ้นทุกวัน

หรือกระทั่งในสมัยพุทธกาล

ก็ยังมีโสเภณีที่ทำหน้าที่รับรองแขกระดับสูง

มีหมู่บ้านโสเภณีในหลายประเทศ

หรือกระทั่งในปัจจุบันที่โสเภณีคืออาชีพซึ่งสามารถทำเงินได้อย่างล้นหลาม

เพียงแค่ยังไม่อาจเป็นที่ยอมรับในสังคมได้เท่านั้น

(ยอมรับไม่ได้ แต่เลี้ยงชีพได้นะเออ)

นี่ว่ากันเฉพาะที่เป็นโสเภณีชั้นสูง

ที่หน้าตาดี ที่มีระดับ

ไม่นับที่ยืนอยู่ตามรายทาง ตามเสาไฟฟ้าหรือตู้โทรศัพท์อย่างนั้น

เพราะนางเลอโฉมของธัชชัย

คือหญิงงามผู้สูงส่ง มีหน้าที่จรรโลงโลกียสุข

ดับกามกระหายให้คลายบรรเทา

หรือถึงขั้นเป็นผู้ประทานสันติสุขให้แก่โลกเลยทีเดียว

(ประเด็นนี้ทำให้ข้าพเจ้าไพล่ไปนึกถึงเรื่องการมีโสเภณี จะช่วยลดอัตราคดีข่มขืนให้น้อยลงได้หรือไม่)



เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องของอนาคต

อนาคตอันไกลโพ้น

แต่ก็มีหลายฉากหลายตอนที่อดนึกไม่ได้ว่า

มันจะไกลสักแค่ไหนเชียว

ถ้าไกลขนาดที่ยึดตามหนึ่งในฉากของเรื่องคือ

นางเอกได้ไปพบพระ 

พระที่มีผ้าเหลืองทัดหูให้รู้ว่าเป็นพระ

ถ้าสืบค้นดูข้อมูลเกี่ยวกับพุทธทำนายว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร

เราก็สามารถจะตีกรอบขอบเวลาของเรื่องได้บ้าง

กระนั้น

ด้วยความที่ผู้เขียนจับหลายสิ่งมายำปนกัน

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น คือ

ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ทั้งใกล้และไกลโพ้น

ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการคาดเดาหรือเจาะจงเรื่องเวลานั้น

ไม่ใช่สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้




เพราะนักการเมืองในเรื่อง

ก็ห่วยแตกและยึดผลประโยชน์ส่วนตน

เหมือนในปัจจุบันนี่แหละ

(ประเด็นนักการเมืองเป็นอะไรที่สามารถเล่นได้ตลอดเวลาจริงๆ)

นักการเมืองในเรื่องมีความเป็นนักการเมืองอยู่ทุกอณู

ตั้งแต่การตอบไม่ตรงคำถาม

ตอบกำกวม

ตอบไม่รู้ว่าตอบแล้วหรือยังไม่ตอบ

ตอบกว้างๆ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

นโยบายที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

จะผ่านสภาได้อย่างฉลุย

ในขณะที่นโยบายที่ตัวเองเสียประโยชน์

จะถูกพับไปด้วยเหตุผลไม่เข้าท่าอย่างที่สุด



นอกจากนี้ยังมีจุดย่อยๆ เรื่องการทำหน้าที่ของสื่อ

ที่สักแต่เพียงถาม

ได้คำตอบห่าเหวอะไรก็ถือว่าตอบแล้ว

เพราะไม่กล้าซักไซ้ ไม่กล้าคว้านตื้นลึกหนาบางแทนผู้ชมจริงๆ

อ่านแล้วนึกอยากขำ แต่ก็ขำไม่ค่อยออก




อนึ่ง อีกเรื่องที่จะลืมไม่ได้

เพราะข้าพเจ้าประทับใจมาก

ประทับใจในการใช้บุคลาธิษฐานของหนังสือเล่มนี้

ซาบซึ้ง กินใจ เห็นภาพ

ยกตัวอย่าง

"ความเงียบร้องไห้อยู่นานเหมือนกัน คล้ายกับว่ามันเสียใจอย่างหนัก

มันร้อง ร้อง ร้องจนกระทั่งไม่มีเสียงร้อง 

แต่มันก็ยังไม่หยุด มันร้องไห้ต่อไป

ร้องไห้เงียบๆ" (หน้า 100)




ข้อแนะนำจากใจจริง

หนังสือเล่มนี้ ควรอ่านหลายๆ รอบ

ไม่เหมาะกับคนฝันหวาน

หรือผู้นิยมตอนจบแบบแฮปปี้ โลกสีชมพู




สุดท้าย

ควรเตรียมใจก่อนอ่าน





ด้วยรัก

แพรวา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น