30 เม.ย. 2556

One by One..Three Hundreds No.14.."The Key" จุนนิชิโร







อีกเรื่องของจุนนิชิโร

โรคจิตกว่า "รักแสร้ง แรงเสน่หา" เหลือคณา

และเป็นเรื่องความลุ่มหลงในเพศรสล้วนๆ



เช่นเดิม

ข้าพเจ้าไม่อาจทำความเข้าใจได้

จึงเพียงแค่อ่านไป อ่านไป

อึดอัดไป อึดอัดไป

และรู้สึกโล่งอยู่มากที่ฝ่ายสามีตายๆ ไปเสีย

และแท้แล้ว ข้าพเจ้าก็อยากจะให้ตายไปทั้งภรรยาและสามีนั่นแล


ให้ชู้ตายตามไปด้วยอีกคน

หึๆ




เรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ชอบ


แพรวา บุตรี


ขอบคุณกำลังใจสำคัญ

ผ่านเนติฯ

ข้าพเจ้าสอบผ่านเนติบัณฑิตอีก 1 ขา

ข้าพเจ้าเก็บทีละขา

สมัครสอบทีละขา และพยายามสอบให้ผ่านในขาที่เลือก

โชคดีที่ยังไม่ได้ผิดหวัง

เพราะอันที่จริงแล้ว

ข้าพเจ้าคงต้องรับสารภาพตรงๆ ว่า

ข้าพเจ้ายังไม่เคยสอบตก

หรือผิดพลาดในสิ่งที่หวังไว้ หรือสิ่งที่ทำ (เหมือนจะ) เต็มกำลังเลย

ข้าพเจ้าอาจไม่มีภูมิคุ้มกันความผิดหวัง

และข้าพเจ้าอาจไม่แรงทำอะไรซ้ำ

อ่านหนังสือเล่มเดิม เพื่อทำข้อสอบวิชาเดิม

ข้าพเจ้ายังจินตนาการฟีลลิ่งเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ

มีครั้งที่คิดว่าย่ำแย่ จากการได้ D+ สมัยเรียน ป.ตรี

ซึ่งมีผลทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

แม้จะจบด้วยเกรด 3.65

แต่นั่น ข้าพเจ้าจะไม่นับเป็นความผิดหวัง

เพราะครั้งนั้น ข้าพเจ้าพลาดจริงๆ

พลาดที่ประมาท

และข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากมัน

ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายังนึกดีใจ ที่ได้ D+ ตัวนั้นมา

มิเช่นนั้น ข้าพเจ้าอาจพลาดอีก และผลเสียก็อาจร้ายแรงกว่าเกรดนั้น




ทั้งสองครั้งของการสอบเนติฯ

ข้าพเจ้าเครียด และจริงจัง

ข้าพเจ้าเพิ่งตัดสินใจที่จะสอบเนติฯ ก็เมื่อปี (การศึกษาเนติฯ) นี้เอง

เพียงเพราะอยากให้แม่ได้มางานรับอะไรสักอย่าง

เพราะรู้สึกผิดที่ไม่ได้เข้าพิธีรับปริญญาให้แม่ได้มาร่วมงาน

ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะจริงจัง

แต่เมื่อสมัครสอบไปแล้ว

ก็ทำเต็มที่

แม้จะไม่ค่อยได้อ่าน

แม้ข้าพเจ้าจะเริ่มจริงจังเมื่อ 13 วันสุดท้ายก่อนสอบ

แต่ข้าพเจ้าก็ตั้งใจใช้เวลาอันน้อยนิดเหล่านั้น

อ่านอย่างบ้าคลั่ง

ข้าพเจ้าอ่านหนังสือไม่จบ

และเครียด

พาลเหวี่ยงใส่คนรัก

เหวี่ยงรุนแรง โกรธรุนแรง

ด่าว่าเขาด้วยถ้อยคำรุนแรง

เขานิ่งเงียบ ฟังทุกคำที่พรั่งพรู

และปลอบประโลมข้าพเจ้า

จนเมื่อข้าพเจ้าสงบ

เขาพาข้าพเจ้าไปหาซื้อหนังสือสำหรับวิชาย่อยๆ ที่ข้าพเจ้าไม่มี

เขาเลือกหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าอ่านเล่มนั้น

และหนังสือเล่มนั้น ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเก็บวิชาย่อยๆ 4 ข้อนั้นได้

ถ้าจะบอกว่า หนังสือเล่มนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าผ่านมันมาได้

ก็ไม่ผิดเลย




เขาซื้อเสื้อสำหรับให้ข้าพเจ้าใส่ไปสอบ

เป็นเสื้อคิตตี้สีขาว และเสื้อไหมพรมไว้ใส่คลุมเผื่อแอร์เย็น

เพราะข้าพเจ้าเป็นคนขี้หนาว

เขาซื้อเข็มขัดกิลาโรชให้ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่มีเข็มขัดเรียบร้อยๆ

ข้าพเจ้าอาจสอบผ่านในครั้งนั้น เพราะเสื้อคิตตี้ เสื้อไหมพรม และเข็มขัดที่ได้จากเขาก็เป็นได้





การอ่านหนังสือ 13 วันนั้น

นุ่มไปนั่งเป็นเพื่อนข้าพเจ้าที่ห้องสมุดมารวยเกือบทุกวัน

ง่วงนอนก็ง่วง

ก็ยังนั่งเฝ้า เอาหนังสือไปนั่งอ่านเป็นเพื่อน

ทำผัดหมี่ให้กินด้วย

ตามใจข้าพเจ้าทุกอย่าง

(ความจริงก็ตามใจตลอดอยู่แล้ว แค่ช่วงนั้น ยิ่งโอ๋เป็นพิเศษ)





แม่โทรมาหาข้าพเจ้าเกือบทุกวัน

ถามว่ากินข้าวหรือยัง

บอกข้าพเจ้าตลอดว่าอย่าเครียดมากนะ

ให้พักผ่อนบ้าง

แม่คงเป็นห่วง

เพราะรู้ดีว่า ตั้งแต่เล็ก

ประโยคที่พ่อกับแม่ต้องพูด ไม่ใช่การไล่ให้อ่านหนังสือ

แต่มักจะเป็น พอได้แล้ว นอนได้แล้ว

กลางดึก แม่จะลุกมาต้มมาม่าร้อนๆ แซบๆ ให้ข้าพเจ้า

เตรียมน้ำชาโออิชิ ฮันนี่เลม่อนไว้ให้

(ตอนนั้นกำลังบุกตลาดใหม่ และฮิตมาก)

บนโต๊ะก็ต้องมีช็อกโกแลตแอลมอนด์มาวางไว้ให้

แม่ไม่เคยลืมซื้อของเหล่านี้มาให้ข้าพเจ้าเลยในสักวัน

แต่ถ้าดึกมาก

พ่อะลุกมาบ่น

"ทำอะไรให้มันรู้จักเวล่ำเวลาบ้าง"

โดนด่ากันไป

555




พ่อ แม่ พี่อาร์ตี้ และนุ่ม

ร่วมลำบาก

ร่วมเดือดร้อน

ร่วมรองรับอารมณ์

และทำทุกอย่างเพื่อส่งข้าพเจ้าขึ้นไปให้ถึงจุดหมาย

ข้าพเจ้าไม่ได้ผ่านเนติฯ ขานั้น เพราะความฉลาดแต่อย่างใด

หาใช่ว่าอ่านหนังสือแค่ 13 วันก็สอบผ่าน

มันมีอะไรมากกว่านั้น

มากกว่านั้นมากจริงๆ






ขานี้ก็เช่นกัน

แม่ก็โทรมาทุกวัน

และบางวัน ข้าพเจ้าโทรหาแม่

บอกว่าเหนื่อย อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง

เพราะทั้งวันก็ทำงานใช้สมอง

ตกเย็นมามันก็เพลีย ง่วง หิว

ก็โทรไปอ้อนแม่

แม่พูดเสมอว่า

ลูกแม่ทำได้อยู่แล้ว





แม่ให้พรข้าพเจ้าเสมอ

อาจเป็นจิตวิทยาชนิดหนึ่ง

แม่อาจฝังข้าพเจ้าไว้กับความคิดที่ว่า

"ข้าพเจ้าทำได้อยู่แล้ว"

และข้าพเจ้าก็มักจะทำได้ตลอดมา

แม้กระทั่งการสอบชิงทุน กพ เมื่อสมัย ม.6

มันดูยิ่งใหญ่

แต่มันก็เท่านั้นแหละ

ถ้าต้องจากพ่อแม่ไปถึง 7-8 ปี

ชีวิตคงไร้ความหมาย

พ่อพูดกับข้าพเจ้าในคืนวันก่อนสอบสัมภาษณ์ว่า

จะไปจริงๆ หรอ

นั่นไง

โดนพ่อสกัดดาวรุ่ง

555





วันสอบสัมภาษณ์ทุน กพ เป็นวันเดียวกับที่ทุนประกายเพชรของ ม.กรุงเทพประกาศผล

ข้าพเจ้ารู้ผลทุน ข้าพเจ้าไม่ตั้งใจไปเมืองนอกอีกต่อไป

ครั้งนี้ ข้าพเจ้ากับนุ่มมีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย

แต่สุดท้าย

ก็มีวันที่นุ่มมารับข้าพเจ้ากลับห้อง

และมีวันที่นุ่ม พาข้าพเจ้ามาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมารวย

อย่างไรเสีย

เราก็ตัดกันไม่ขาด






เช่นเดิม ข้าพเจ้าเหวี่ยงใส่คนรัก

เพราะอ่านหนังสือไม่ทัน เพราะเครียด เพราะอะไรหลายๆ อย่าง

แต่ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก

และก็เช่นเดิม

เขาปลอบประโลม ใจเย็น และมองดูข้าพเจ้า

ประหนึ่งพ่อมองดูลูกน้อยดิ้นพราดๆ งอแงๆ อยู่ที่พื้น

พอมันหาย มันก็นิ่งเอง







การสอบทั้งสองครั้ง

คนรักขับรถไปส่ง

นั่งรอข้าพเจ้าสอบ

4 ชั่วโมง

ซึ่งข้าพเจ้าก็มันใช้เวลาคุ้มจนนาทีสุดท้ายเสมอ

สอบเสร็จ

เขาพาข้าพเจ้าไปกินอาหารอร่อยๆ

ครั้งนี้ ข้าพเจ้าสอบผ่านเนติฯ ด้วยคะแนน 50 พอดี

ความจริงก็กะไว้แล้ว

แต่แค่ลุ้นว่า มันจะถึง 50 หรือเปล่า

นั่นคือ มันจะผ่านหรือเปล่า

เพราะขาอาญา ข้าพเจ้ามั่วน้อยกว่านี้ ยังได้ 53 คะแนน

ขานี้ ข้าพเจ้ามั่วกระจาย

เลยตุ๊มๆ ต่อมๆ

โชคดี

ครั้งนี้ต้องบอกว่า "โชค" ดีจริงๆ ฮ่าๆๆ

ข้าพเจ้าโทรหาพ่อกับแม่ทุกครั้งก่อนเข้าห้องสอบ

ไม่ว่าจะสอบอะไรก็ตาม

และพ่อกับแม่ก็จะอวยพรเหมือนเดิมในทุกๆ ครั้ง

พ่อจะบอกว่า "ให้ทำใจให้สบาย ให้มีสมาธิในการทำข้อสอบ"

ส่วนแม่ก็ "ลูกแม่ทำได้อยู่แล้ว"

ข้าพเจ้าแทบจะไม่ต้องการพรอื่นใด

หรือการบนบานศาลกล่าวแลกกับไข่ต้มร้อยฟอง

ข้าพเจ้ามีพรที่ประเสริฐที่สุดติดตัวอยู่เสมอ

ข้าพเจ้ามีกำลังใจจากนุ่มที่คอยดูแลระหว่างทาง

งดการบ่นเมื่อข้าพเจ้างอแงไม่ยอมอาบน้ำก่อนนอน

(ก็คนมันเหนื่อย แถมง่วงสุดๆ)

อยากกินอะไรก็ได้กิน

อยากได้อะไรก็หามาให้

ข้าพเจ้ามีคนรักที่พร้อมจะให้อภัยในอารมณ์งี่เง่าของข้าพเจ้าได้ทุกเวลา

เขาไม่ถือสาความร้ายกาจ

เขาไม่ทิ้งข้าพเจ้าไว้เสียตรงนั้น ในวันที่ข้าพเจ้าควบคุมตัวเองไม่อยู่

และกลายร่างเป็นนางมารร้าย

ข้าพเจ้าโชคดีที่มีพวกเขาในชีวิต

ข้าพเจ้าจึงโชคดีที่สอบผ่านเนติฯ

ถามว่า 2 ขาที่เหลือจะเป็นเช่นนี้อีกไหม

คำตอบน่าจะรู้ๆ กันดี

เหอๆ

เดจาวูเกิดขึ้นแน่นอน

กร๊ากๆ

ขอความรักและกำลังใจอยู่กับข้าพเจ้าตราบนานเท่านาน






สุขสันต์วันแรงงาน

จ้า (คำพ่อแม่เรียก)

แพรวา แกะ (คำคนรักเรียก)

ไอ่หมา (คำนุ่มเรียก)




One by One..Three Hundreds No.13.."When I was your age"





ขอบคุณที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักใครๆ มากยิ่งขึ้น

ผู้ยิ่งใหญ่ล้วนต้องเผชิญและผ่านปัญหากับทั้งสถานการณ์อันเลวร้ายมาแล้วทั้งนั้น

สงครามสร้างวีรบุรุษ


แต่กระนั้น

บางครั้ง วีรบุรุษ ก็เกิดขึ้นได้โดยไม่จำต้องมีสงคราม

เพราะแค่เอาชนะใจตัวเองได้ ก็กล้าหาญสุดๆ แล้ว

นั่น ปิดท้ายซะ ลอกเค้ามาชัดๆ ฮ่าๆๆ



ข้าพเจ้าชอบเล่มนี้

ข้าพเจ้าชอบอ่านแนวสารคดี

และยิ่งเขียนฮา มันส์ โหด (บ้าง) อย่างเล่มนี้

ก็ยิ่งชอบ

พับไว้หลายหน้ากันเลยทีเดียว



"When I was your age"



One by One..Three Hundreds No.12..."ไหม"..Seta







เหมือนอ่านบทร้อยกรองที่ถักทอต่อกันอย่างอ่อนช้อยและลื่นไหล

เรื่องราวจบลง แต่จินตนาการและหัวข้อสำหรับการถกประเด็นเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

คนรักข้าพเจ้าบันทึกไว้ที่รองปกหน้าว่า

"เป็นนิยายเพียงเล่มเดียว

ที่อ่านจบแล้วรู้สึกว่าอยากอ่านซ้ำอีกรอบ"

ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา

แต่ก็ต้องยอมรับว่า

มันมีความรู้สึกแปลกๆ อารมณ์แปลกๆ ถ่ายทอดมาตามตัวหนังสือ

เข้าสู่หัวใจเรา



เรื่องราวน่าฉงน

แต่ก็ใกล้ตัว

เพราะใกล้ตัว จึงไม่อาจเอ่ย

เมื่อไม่อาจเอ่ยกันตรงๆ

ก็ต้องหาทางเอ่ยกันอ้อมๆ

อ้อมไปอ้อมมา

ตาย__ กันไปเสียแล้ว

ฮ่าๆๆ




ตัวละครนี้ทำเช่นนั้นหรือเปล่า

ตัวละครนั้นทำอย่างว่าไหม

แล้วตัวละครนี้รู้อย่างนั้นได้ยังไง

แล้วตัวละครนั้น ทำไมต้องทำอย่างนี้



อ่านเพลินดีจริงๆ

และคิด...เพลินกว่าอ่านหลายเท่าตัว



แพรวา บุตรี
12.47 AM
30-04-2446



One by One..Three Hundreds No.11.."โน้ตตัวสุดท้าย" นัยนา นาควัชระ








อบอุ่น น่ารัก สนุกสนาน แอบหัวเราะไม่มีเสียง

เศร้า เข้าใจ

อะไรๆ ก็เสียใจเป็น





หนังสือเล่มนี้

ทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้าทิ้งโทรทัศน์

และเครื่องเล่นซีดีพร้อมลำโพงตัวเก่าๆ ทั้งหลาย

สิ่งที่ข้าพเจ้าเก็บเงินซื้อเอง

สิ่งที่อยู่กับข้าพเจ้ามาตั้งแต่สมัยเรียน

ข้าพเจ้าไม่กล้าทิ้ง เพียงเพราะพวกเขาเก่า

ข้าพเจ้ากลัวพวกเขาเสียใจ




อ่านจบแล้ว

รู้สึกอยากอ่านอีก

สำนวนคล่องแคล่ว

เป็นกันเอง

อ่านแล้วเหมือนได้กระโดดโลดเต้น

ได้ร่วมสุข เศร้า เหงา เสียใจไปกับสิ่งเสมือนมีชีวิต





สอดแทรกแง่คิดไว้ตามมุมต่างๆ

ความจริง

น่าจะใช้หนังสือเล่มนี้

เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาแบบขำๆ 

(แต่คงเป็นไปได้ยาก เพราะมีคำไม่สุภาพอยู่หลายคำ

แม้ว่าคำไม่สุภาพเหล่านั้น จะเป็นคำสามัญที่พบฟังกันได้ทั่วไปก็ตาม)

เหมาะกับทุกเพศทุกวัย (ที่อ่านหนังสือได้และประสีประสาบ้างแล้ว)

และเป็นหนังสือที่ปลอดสารพิษอย่างสิ้นเชิง




แกะ

12.00 AM



29 เม.ย. 2556

One by One..Three Hundreds No.10.."เสน่ห์จำลอง..สีของหมา"






แนวความคิด เก่าไปแล้ว สำหรับปัจจุบันกาล

แต่หากลองสมมติตัวเองว่าไปเกิดและมีชีวิต

อยู่ในช่วงที่คุณจำลองเขียนเขียนเรื่องสั้นพวกนี้

การได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้

จะเป็นอะไรที่พิสดาร และกระตุ้นให้เราได้ขบคิดสิ่งต่างๆ รอบตัว

เขาจะกลายเป็นไอดอลของข้าพเจ้าด้วยในทันที

และอันที่จริง

แม้จะอ่านในตอนนี้

(ซึ่งถือว่าช้ามาก)

ข้าพเจ้าก็ยังอยากจะยกเขาไว้เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ชื่นชอบ

แม้ไม่ได้ซีไรต์ เขาก็ได้ใจคนอ่านไปเป็นกระบุงแล้วกระมัง






ข้าพเจ้าชอบเรื่อง "คาเฟ่คนใบ้”

ดั่งที่ใครหลายๆ คนชื่นชอบ

ยิ่งได้อ่านเบื้องลึก ที่มาที่ไป ประสบการณ์ที่พบเจอ 

กับทั้งระยะเวลาสำหรับบ่มเพาะความคิดให้งอกเงยเติบโต

และกลั่นออกมาเป็นเรื่องสั้นอบอุ่นชวนฝันได้

มันเป็นสิ่งน่าทึ่งอยู่มากโขเลยทีเดียว




ข้าพเจ้ารู้สึกจุกและเผลอกลั้นหายใจไปชั่วครู่

หลังจากอ่านเรื่อง "สนามหลวง"

มันเศร้า เศร้ามากเกินไป




บางที ข้าพเจ้าก็อยากเป็นคนยุคก่อนๆ

เพื่อจะได้อ่านเรื่องสั้นเหล่านี้

อย่างมีอรรถรสและได้แง่คิดแปลกใหม่



หลายประเด็นให้ขบคิดและถกเถียง

สนุกสนานกับการได้แลกเปลี่ยนไอเดียกับใครสักคนหรือหลายคน

หากเล่มนี้ ถูกพิมพ์ออกมา (ครั้งแรก) ในสมัยปัจจุบัน 

ที่มีการวิจารณ์วรรณกรรมกันอย่างแพร่หลาย

คงเพลิดเพลินขึ้นเป็นหลายเท่าตัว





ข้าพเจ้าทิ้งระยะห่างในการอ่านระหว่างบท (เรื่อง)

ราวๆ 2 ถึง 3 นาที เพื่อให้ความคิดได้แล่นไปสักชั่วครู่

ให้ตัวเองได้ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

และเตรียมพร้อมสำหรับตั้งรับแรงกระแทกจากการอ่านเรื่องต่อไป




พิมพ์ผิดเยอะมาก (จริงๆ)

แต่น่าแปลกที่ความผิดพลาดเหล่านั้น

ทำลายเสน่ห์ของแต่ละเรื่องได้ไม่มากนัก

ทั้งที่หากเป็นเล่มอื่น

คงถูกวางทิ้งไว้เสียแต่ 10 หน้าแรกแล้ว





ชอบมาก




ด้วยรัก แม้ไม่สนิท

แพรวา บุตรี