25 เม.ย. 2556

บันทึกเล็กๆ หมายเลข 2 มนุษย์เงินเดือนเต็มสูบ


อย่างที่เคยบอกไว้ในครั้งแรกของการบันทึก

ความจริง ไม่ได้อยากบันทึกลงสื่อสาธารณะสักเท่าไหร่

แต่ด้วยความที่ในวันนั้น ปากกาคู่ใจที่พกติดตัวอยู่เสมอๆ

ดันสิ้นชีพไปในระหว่างอยู่บนรถเมล์

และมันบังเอิญอย่างยิ่ง

ที่วันนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างอยากเก็บไว้ในความทรงจำ

จึงต้องมาหาที่ระบายความอัดอั้น

ฮ่าๆ

นั่น

ย่อหน้าแรกก็ออกทะเลซะแระ

เอาใหม่ๆ




อย่างที่เคยบอกไว้ในครั้งแรกของการบันทึก

ว่าช่วงนี้กำลังอยู่ในระยะปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง




หนึ่งในนั้นก็คือ

การขึ้นรถเมล์

ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ขึ้นรถเมล์เสียเท่าไหร่แล้ว

ตั้งแต่เริ่มทำงาน

ก็ขึ้นรถไฟฟ้าตลอด

ใต้ดินบ้าง บนดินบ้าง

ต่อมาก็มีเจ้าอ้วน

ขับไปไหนมาไหนบ้าง




แต่ ณ ปัจจุบันนี้

ด้วยสถานที่ทำงานแห่งใหม่

อยู่กลางทรวงมหานคร

หน้าก็ติด หลังก็ติด ออกไปทางไหนๆ ก็ติด

อยู่บนถนนก็รถติด

ก้าวไปบนทางเดิน ก็ติดคน

เยอะจริงๆ ทั้งคนทั้งรถ

จะให้ขับรถก็คงไม่ไหว

เจ้าอ้วนคงไม่ชอบ

มันชอบวิ่งทางไกล วิ่งเร็วๆ

วิ่งบนถนนที่สองข้างทางมีต้นไม้หน้าตาแปลกๆ

และมีคนข้างๆ คอยชี้บอกพร้อมอรรถาธิบายที่พรั่งพรู

ฟังไปก็เท่านั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้อยู่ดี

เอ๊ะ ดอกอะไรเหลืองๆ 2 ชนิดที่ชาวบ้านมักเข้าใจผิดกันนะ

จำได้ว่ามันเหลืองเหมือนกัน

แต่ดอกหนึ่งจะตั้งขึ้นฟ้า

อีกดอกจะก้มหน้าลงดิน

แหะๆ

เพราะฉะนั้น

ถ้าให้เจ้าอ้วนมันมาวิ่งอืดๆ ทำตัวอุ้ยอ้าย เดี๋ยวมันจะงึดงัดงอแง

ฮ่าๆ ว่าไปๆ



โชคดีอย่างหนึ่ง คือ มีรถเมล์จากแถวที่พักมาจอดแถวหน้าตึกพอดี

ขึ้นสายเดียว ต่อเดียว

และที่พักข้าพเจ้าก็อยู่ต้นสายเสียด้วย

ตอนเช้าก็จะได้นั่งตลอด

ส่วนตอนกลับ ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม

มีที่ก็นั่ง ไม่มีก็ไม่นั่ง



ข้าพเจ้าไม่ชอบเบียดเสียดแย่งใครๆ ขึ้นรถเมล์

เพื่อนสนิทข้าพเจ้าจะรู้ดี

และมักเอือมระอาทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกันโดยรถเมล์

เพราะจะต้องเป็นเขาที่เบียดเสียดผู้คนไปแย่ง และจองที่ไว้ให้ข้าพเจ้า

ฮ่าๆๆ

แต่หากข้าพเจ้าไปไหนเพียงลำพัง โดยไม่มีเพื่อนคนนี้

ข้าพเจ้าก็มักขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย

ในกรณีที่ผู้คนวิ่งกรูกันก้าวขึ้นบันไดรถ



อาจเพราะข้าพเจ้าติดนิสัยมาตั้งแต่อยู่โคราช

กว่า 6 ปีที่นั่น

ไม่เคยมีภาพของการเบียดเสียดเช่นในมหานครนี้เลย

แม้คนจะเยอะ เบียดเสียด แทบล้นทะลัก

ทุกคนก็ค่อยๆ ต่อแถวก้าวขึ้นไป

ไปยืนต่อๆ กัน

ผู้ชายก็จะไม่มาขึ้นข้างหน้า

เป็นอันรู้กันว่า ประตูหน้าของข้า (ผู้หญิง) ประตูหลังของแก (ผู้ชาย)

และบางครั้ง แม้จะมีที่นั่ง

พวกผู้ชายก็อาจไม่นั่ง

ก็ยืนของเขาไปอย่างนั้น

อีกทั้ง หากพบว่าเราได้นั่ง

แล้วมีคนมายืนตรงหน้าเรา

ถ้าคนคนนั้น ถือของหนักๆ

ก็จะเป็นมารยาทหรือน้ำใจไมตรี

ที่จะช่วยกันถือของ

บางคน ไอ้ตอนขึ้นมานั้น ยืนอยู่หน้าคนหนึ่ง

ก็ให้เขาช่วยถือของ

สักพัก มีคนขึ้นมาเพิ่ม ก็ต้องเดินชิดใน ชิดในเข้าไปเรื่อยๆ

ทีนี้ พอตอนจะลง

ไอ้คนฝากก็ลืมว่าฝากไว้กับใคร

หนำซ้ำ ไอ้คนรับฝากก็ดันลืมด้วยว่า

นี่มันของๆ ใคร

เพราะบางคน ก็รับฝากไว้หลายๆ คน

เรียกว่า ถึงจะได้นั่ง

ก็ใช่จะสบาย

เป็นยัยบ้าหอบฟางกันไปเต็มตักนั่นแล

555



นอกเรื่องอีกแล้ว -*-

กลับมาที่การขึ้นรถเมล์เพื่อไปทำงานของข้าพเจ้า

เท่าที่ผ่านมา ได้ขึ้นแต่รถปรับอากาศตลอดเลย

ตอนแรกเหมือนจะดี

เพราะเวลารถติดก็ไม่ต้องทนสูดควันพิษ

แต่บางครั้ง

การต้องอยู่ในที่แคบๆ โดยมีเพื่อนร่วมพื้นที่เยอะๆ

ต้องแยกสเปซเพื่อวางเท้า

ต้องแย่งราวเพื่อวางมือ

ต้องแย่งอากาศเพื่อหายใจ

ก็ทำให้อึดอัดและหงุดหงิดได้ง่ายๆ เลยทีเดียว




เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขึ้นรถปรับอากาศก็เฉพาะตอนขากลับเท่านั้น

ส่วนขาไป

เมื่อเวลาเช้าๆ

ที่รถยังไม่เยอะ

ถนนยังค่อนข้างเดินได้ถ่ายสะดวก

การได้นั่งรถเมล์ฟรี ก็ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง



เพราะข้าพเจ้าจะได้เห็นอะไรๆ เต็มตาและชัดแจ๋วมากขึ้น

เนื่องจากสาย 62 ปรับอากาศนั้น

กระจกจะไม่ใช่กระจกใส

เป็นกระจกลาย และขุ่นๆ

มองออกไปข้างนอกก็ไม่ค่อยจะเห็นอะไร

มองกลับมาข้างใน บางครั้งก็ยิ่งอนาถตา

ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกกักขัง

จะอ่านหนังสือก็ไม่ได้ เพราะรถเดี๋ยวเบรค เดี๋ยวคลาน

อ่านไปแล้วจะปวดตาปวดหัว

ฟังวิทยุก็เบื่อโฆษณา

ฟังเพลงก็ไม่อิน เพราะเสียงรบกวนเยอะเกินไป




ข้าพเจ้าอยากให้การนั่งรถเมล์ เป็นการพักสายตา

พักสมอง

ได้มองไปไกลๆ

มองท้องฟ้า มองผู้คน

นั่นเป็นสิ่งพึงประสงค์ที่สุดแล้วสำหรับข้าพเจ้า



เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ขึ้นรถเมลฟรี

แอบดีใจ

เพราะในช่วงปลายเดือน

เงินจะเข้าจะออก คิดแล้วคิดอีก 555

ดังนั้น นอกจากจะได้ประหยัดไป 15 บาทแล้ว

ยังได้สัมผัสความผ่อนคลาย

ที่หาได้ยากนักในสถานที่แห่งนี้




วันนั้น อากาศดี ท้องฟ้าโปร่ง

รถวิ่งผ่านตลาด

เห็นพ่อค้าแม่ค้าขายของ

ท้องหิวขึ้นมาในบัดดล

เห็นคนใส่บาตร

ใจเราก็หิวตาม

หิวกระหายการทำบุญทำทาน

ทาน ศีล ภาวนา ในชีวิตประจำแต่ละวันนี่

ยากอยู่เหมือนกันที่จะมีครบในทุกลมหายใจ



ข้าพเจ้าเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวของอาม่าคนหนึ่ง

เขียนป้ายที่มองจากรถเมล์ครั้งแรกแล้วแอบตกใจ

ต้องจ้องไปอีกที

ป้ายเขียนว่า

"ก๋วยเตี๋ยวไก่ซุปเปอร์-หนู  ข้าวหนูแดง หนูกรอบ"

เอิ่ม -_-"





วันนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกปวดหลัง

อยากยืนโหนรถเมล์มาก

แต่ติดที่

รถคันนั้น มันมีที่ว่างมากเกินไป

ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นเป้าสายตาใคร

เหอๆ



ข้าพเจ้าเริ่มชอบการขึ้นรถเมล์บ้างแล้ว

หลังจากเคยอคติตั้งแต่ตอนเข้ามาเมืองกรงใหม่ๆ

และรับไม่ได้กับวัฒนธรรมการขึ้นรถเมล์เยี่ยงอย่างว่า

แต่ตอนนี้

อาจเพราะความเคยชิน

อาจเพราะการปล่อยวาง

ใครใคร่ขึ้นก็ขึ้นไป ใครรีบนัก ใครอยากเบียดก็เบียดไป

ตอนนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกรังเกียจอาการเหล่านั้นมากเท่าไหร่แล้ว



และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้เบื่อหน่ายการขึ้นรถเมล์

อาจเพราะอย่างมากที่สุด ระยะเวลาสำหรับการขึ้นรถเมล์ระหว่างป้ายของข้าพเจ้า

ก็ไม่เกิน 1 ชั่วโมงกับอีกประมาณ 15 นาที

แต่ปกติจะสัก 40-45 นาที

มีเมื่อเช้านี้ ทำสถิติใหม่

30 นาทีเท่านั้น

ซึ่งระยะเวลาที่ว่ามานี้ก็ไม่ได้นานเกินไป

ยังอยู่ในขอบเขตที่จะรับได้

เพราะฉะนั้น จึงยังยิ้มได้



สวัสดีรถเมล์ไทย

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ



ปะ ขึ้นรถเมล์กลับบ้านกันดีกว่า


แพรวา บุตรี

25 เมษายน 2556
19.09 น.
Anek & Brischon
Anek Group






2 ความคิดเห็น:

  1. คือเข้ามาอ่านแบบตั้งใจ ก็แอบเห็นด้วยนะเพราะตอนมัธยมเรียนอยู่โคราช รถเมล์ ที่นั่นเป็นแบบนั้นจริง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเคยกลับไปและได้ขึ้นรถเมล์ และอาจจะเป็นเพราะว่าเราอาจคุ้นชินกลับโลกแห่งใหม่ โลกแห่งความไร้ซึ่งความมีน้ำใจ พอได้กลับไปนั่งรถเมล์นั่น ก็เลยงง งงว่าคนที่นี่เขาจะมีน้ำใจไปไหน ไอ้เราก้อยู่แต่กลับโลกตัวใครตัวมันมานาน พอกลับไปที่นั่นทำตัวไม่ถูกเบย 555

    ตอบลบ
  2. 555 ปะ ไปอยู่โคราชกัน อิอิ

    ตอบลบ