24 เม.ย. 2556

บันทึกเล็กๆ มนุษย์เงินเดือนเต็มสูบ




วันนี้ 24 เมษายน 2556

ทำงาน ณ บริษัทใหม่เป็นวันที่ 6

1 ปี กับอีก 10 เดือน

ที่เคยใช้ชีวิตในอีกบริษัทที่มีกฎระเบียบและรูปแบบสังคมแตกต่างจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง

ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

คือการเปลี่ยน แปลง อีกทั้งยังต้องปรับ อีกมากโข




มาวันแรกแทบช็อค

เมื่อต้องรับฟังระเบียบการทำงานของพนักงาน

รู้สึกเหมือนมีกรงหล่นจากฟ้า มาครอบแบบพอดีตัว

พอดีนี่คือพอดีจริงๆ

แทบไม่ได้ขยับเขยื้อน

แทบกลั้นหายใจ เพราะกลัวหายใจมากๆ พุงจะพองๆ ยุบๆ ไปติดลูกกรง

555 ว่าไป





แต่กระนั้น

ผ่านมาได้สัก 3-4 วัน

คนเราก็สามารถปรับตัวได้เองจริงๆ

วันแรกๆ ข้าพเจ้าบ่นให้คนรักฟัง

เรื่องกฎระเบียบที่เข้มงวด

เข้างานออกงานต้องตรงเวลาเป๊ะ

แค่จะออกไปเข้าห้องน้ำ ยังต้องกดรหัสพนักงาน

ห้ามกินอาหารที่โต๊ะ

ห้ามกินขนมในเวลาทำงาน

ห้าม ห้าม ห้าม



ทำงานแบบเคส ต่อ เคส

หมายถึง

เคสหนึ่งเสร็จ อีกเคสหนึ่งก็มาต่อกันในทันใด

เนื้องานเข้มข้น และมาพร้อมความรับผิดชอบ

ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ

สลับกันมึนไปหมด

เคสหลายเคส มาพร้อมกันจนบางครั้ง

มึนว่าข้อมูลอันนี้มันของเคสไหนวะ ฮ่าๆๆ

เหนื่อยและเพลียมาก เนื่องจากใช้สมองทั้งวัน



คนรักถามกลับมาว่า

"ก็แบบนี้ไม่ใช่หรอที่บอกว่าอยากได้"

ข้าพเจ้านึก

"เออว่ะ"



ข้าพเจ้าเคยพร่ำบ่นอยู่เสมอเมื่อครั้งอยู่ที่ทำงานเก่า

ที่เนื้องานเป็นส่วนที่ข้าพเจ้าชอบเพียงครึ่งเดียว

และเป็นแค่การ draft แบบขั้นต้นเท่านั้น

บางอัน พี่ Sup ก็สามารถส่งต่อให้ลูกความได้เลย

บางอันก็ต้อง edit, revise กันพอสมควร

หรืออัน ก็ทำใหม่หมดเลย 555

ส่วนงานอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นการเตรียมเอกสาร

ซึ่งข้าพเจ้าใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน

หลังจากคล่องแล้ว

ก็ทำได้ แบบไม่ต้องใช้สมอง

คือเป็นช่วงเวลาผ่อนคลาย

ใช้แค่สายตาและสองมือเท่านั้น



ข้าพเจ้าจึงบ่นว่า

สมองข้าพเจ้าจะฝ่อหมดแล้ว

skill กฎหมายไม่ค่อยได้ใช้เลย

ใช้ชีวิตก็เคยตัว

ตื่นสาย ขี้เกียจไปทำงาน

เนื่องจากที่เก่านั้น เข้างานได้อย่างยืดหยุ่น คือระหว่างเวลา 07.00-09.00 น.

และทำงานให้ครบ 8 ชั่วโมงก็กลับบ้านได้

พักเที่ยง ก็ออกไปทานข้าวข้างนอก

ลั้ลลากันได้ตามประสา

บางครั้งทานข้าวกันชั่วโมงกว่าก็มี

ชิลมาก ประเด็นสำคัญมีแค่ งานที่ handle ต้องเสร็จเรียบร้อย

เท่านั้นพอ

ความเป็นอยู่เช่นนั้นทำให้ข้าพเจ้าเคยตัว

ทั้งด้านสุขภาพ และด้านความคิด




จนต้องบอกตัวเองว่า อยู่อย่างนี้ ไม่ไหวแล้ว

ไม่ไหวแล้วนั่นไม่ได้หมายถึงทำงานไม่ไหวแล้ว

แต่หมายถึง สุขภาพและจิตใจอย่างนี้

พฤติกรรมอย่างนี้

ความขี้เกียจที่มีมากขนาดนี้

ไม่ไหวแล้ว

ข้าพเจ้ารับตัวเองในสภาพเช่นนั้น ไม่ไหวแล้ว



ประโยคนั้นของคนรัก

จึงเป็นคำเตือน

ที่นิ่มนวลจริงๆ




สัปดาห์นี้

วันจันทร์ วันอังคาร และวันนี้

ข้าพเจ้าค่อนข้างมีความสุขดีเลยทีเดียว

สุขทั้งที่ค่อนข้างลำบาก

และสุขทั้งที่กำลังอยู่ในช่วงของการปรับตัวเข้าสู่สังคมที่เข้มงวด

อาจเพราะการเปลี่ยนแปลงนี่แหละ

สมองข้าพเจ้ากำลังป้อนข้อมูล

กำลังจัดระเบียบสิ่งสกปรกๆ รกรุงรังทั้งหลาย

ที่สะสมและเกาะเป็นคราบ เป็นกลุ่ม เป็นก้อนกันแน่นหนา


จิตใจกำลังปลอดโปร่ง

และพร้อมเปิดรับการเรียนรู้

ร่างกายอาจแข็งแรงขึ้น

เพราะได้ตื่นเช้า

และนอนเร็ว อีกทั้งได้นอน 7-8 ชั่วโมงในทุกวัน




กำลังใจก็ดีขึ้น

ได้มีโอกาสคิดถึงใครหลายๆ คน

อันเนื่องมาจากการอยู่คนเดียว

ได้อ่านหนังสือหลายๆ เล่มที่ซื้อมา

หนังสือที่อยากอ่าน แต่ไม่ได้อ่านสักที



ข้าพเจ้าต้องขอบคุณตัวเอง

ที่ข้ามผ่านจุดนั้นมาได้

ปีศาจความกลัว

กลัวการเปลี่ยนแปลง




Happy Working Day

เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน


8.29 น.

แพรวา

Anek & Brischon
Anek Group




3 ความคิดเห็น: