ข้าพเจ้าเชื่อในพรหมลิขิต
เชื่อเรื่องวาสนา
เชื่อเรื่องบุญกรรมทำร่วมกันมา
เชื่อว่า
คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน
เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้ายังอ่อนต่อโลก
(มากกว่านี้)
ข้าพเจ้าก็เชื่อเช่นนี้แหละ
แต่เชื่อเพราะจับเอาประสบการณ์ต่างๆ
ที่พบเจอ
มาปรุงเสริมปั้นแต่ง
เข้าข้างตัวเอง
อะไรๆ
ก็พรหมลิขิต
อะไรๆ
ก็ถูกสร้างมาเพื่อเรา
เราถูกสร้างมาเพื่อกัน
ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้นเสมอมา
เป็นความเชื่อที่แท้จริงแล้ว มิได้มีหลักยึดใดๆ เป็นแก่นสารจริงๆ
ด้วยเหตุนี้
ข้าพเจ้าจึงหัวปักหัวปำในความรัก...ทุกๆ
ครั้ง
และเพราะการหัวปัก
หัวทิ่ม หัวตำ นี่แหละ
ข้าพเจ้าจึงทุ่มเททำหลายๆ
สิ่งเพื่อคนที่ได้ชื่อ (ในขณะนั้น) ว่าเป็นคนรัก
นั่นอาจทำให้ผู้ชายที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนเก่า
รู้สึกว่าข้าพเจ้ามีค่า
เมื่อยามที่เสียไป
(แน่ละสิ
ใครมันจะไปโง่ทำอะไรๆ ได้อย่างฉัน (ขอเชิดหน่อย) หึๆ)
บางคนรอ
บางคนพยายามแทรกตัวกลับเข้ามาและทำลายความรักในปัจจุบัน
เพื่อเรียกร้องคืนวันเก่าๆ
ระหว่างข้าพเจ้ากับเขาให้กลับคืนมา
แล้วข้าพเจ้าก็ได้เรียนรู้ว่า
ไอ้ตัวร้าย
ตัวอิจฉา ในละครน่ะ
มันมีจริงๆ
นะโว้ยยย
และเพราะความรักคือเรื่องของหัวใจล้วนๆ
เรื่องของการได้สร้างอะไรๆ
ด้วยกันมา
เรื่องของบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมโยงเราเข้าด้วยกัน
มันจึงไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการทดลองทางวิทยาศาสตร์
และการสรุปผลโดยเอาคนกลุ่มหนึ่งมาเป็นหนูทดลอง
แล้วมาสรุปเหมารวม
ไปถึงผู้คนทั่วโลก
มันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
ที่ไม่มีใครเหมือนใคร
ไม่มีใครซ้ำใคร
ไม่มีคู่ไหน
เหมือนคู่ไหนๆ
หนังสือเล่มนี้
ข้าพเจ้าอยากได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
เพราะมันเป็นอะไรที่ขัดกับความคิดของข้าพเจ้าสุดๆ
(การไม่เชื่อและไม่เห็นด้วย
ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกหนังสือ
เพียงเพระาอยากรู้ว่า
เขามีเหตุผลเช่นไร
เขาอธิบายไว้ว่าอย่างไร)
แต่เนื่องจากวันที่เห็นนั้น
ไม่มีเงินในกระเป๋า
จึงไม่ได้ซื้อ
และเมื่อกลับไปหาในวันหลัง
ก็ไม่พบเสียแล้ว
ไปหาตามร้านหนังสือต่างๆ
ก็หาค่อนข้างยาก
เพราะเล่มมันเล็ก
เย้ยยยย! ไม่ใช่
เพราะมันหมด
(ขายดีขนาดนั้น!!)
ที่ได้มานี่
ก็เป็นเล่มสุดท้าย ที่มีอยู่ในร้านหนังสือสักแห่งหนึ่ง
ก็เป็นไปตามคาด
เป็นเรื่องการเขียนไป
อ้างผลการทดลอง วิจัย ทางวิทยาศาสตร์ไป
บางเรื่องก็อาจน่าเชื่อถือ
บางเรื่องก็น่าเชื่อถือ
ทว่า
บางเรื่องก็น่าขบขัน
ข้าพเจ้าจำได้หนึ่งใจความ
คือ
การมีเซ็กส์ ทำให้คู่รัก มีความผูกพันกันมากขึ้น
เพราะเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างถึงจุดนั้นกันแล้ว
สมองจะหลั่งสารเคมีชนิดหนึ่งชื่อว่า
ออกซิโทซิน ออกมา
ซึ่งเจ้าตัวนี้
จะมีผลทำให้คนเราผูกพันกันมากยิ่งขึ้น
นั่น...ใครอยากผูกพันกัน
ยกมือขึ้น 555
แต่กระนั้น..เขา
(เหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้รอบรู้) ก็ออกมายืนยันแล้วว่า
ความรัก
กับ เซ็กส์ นั้น เป็นคนละเรื่อง
(แม้จะมีความเกี่ยวโยงกันอยู่มากก็ตาม)
เพราะเมื่อสแกนสมองของคนที่เห็นรูปคนที่รัก
(คนกำลังมีรักว่างั้นเหอะ)
กับสมองของคนที่ดูรูปโป๊
(เปรียบเทียบประหนึ่งว่ากำลังมีเซ็กส์)
สมองที่ถูกกระตุ้น
เป็นคนละส่วนกัน
โอ้วววว..
ข้าพเจ้ารู้สึกเพลินอยู่พอสมควร
กับการอ่านหนังสือเล่มนี้
และสัมผัสได้ว่าผู้เขียนเป็นคนมีหัวใจค่อนข้างขาวสะอาด
เพราะพยายามสอดแทรกหลักปรัชญาและคำสอนต่างๆ
ไว้อยู่ตลอดๆ
จนบางครั้ง
ก็อดคิดไม่ได้ว่า
เธอ
(ผู้เขียน) ไม่น่าเป็นหมอนะ
น่าจะไปเป็นครูเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ต้องเป็นครูที่ดีแน่ๆ
เอิ้กๆ
และอันที่จริง
ข้าพเจ้าก็ชอบอ่านหนังสือแนววิทยาศาสตร์
แต่จะเป็นแนวชีวิตสัตว์โลก
เพื่อดูความน่ารักน่าชัง
และทำความเข้าใจกับนิสัยและการดำรงชีวิตของพวกมันเสียมากกว่า
แต่ถ้าพูดถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบอื่นๆ
ข้าพเจ้ามักรู้สึกประหลาดๆ
ประมาณว่า
พวกนักวิจัยนี่นะ
ถ้าเขาเอามันสมองที่มีไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น
ก็คงจะดี
อย่างที่เราๆ
ท่านๆ ก็อาจได้เคยอ่าน หรือเคยเห็นการวิจัยบางอย่าง
ที่ดูๆ
แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะวิจัยกันไปทำไม
จะรู้ไปทำไม
รู้แล้วได้อะไร
หรือความรู้ที่ได้มา
กับสิ่งที่แลกไปนั้น มันคุ้มกันแล้วหรือ
(เป็นต้นว่า
วันนี้ M2F ลงกรอบเล็กๆ
(เพิ่งอ่านมาสดๆ
ร้อนๆ)
นาซาได้คิดค้นฝามหัศจรรย์
ที่สามารถกรองน้ำโค้กสีดำซาบซ่า
ให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้แล้ว
อนิจจา
เมื่อมีการพิสูจน์แฉกันจะจะ ก็พบว่า
น้ำที่ได้ก็เป็นเพียงน้ำสีกร่อยๆ
แบบโค้ก 3 หยดไปผสมกับน้ำแข็งที่กำลังละลาย
ประมาณนั้นน่ะ
และรสชาติก็ยังหวานหยดย้อยอยู่เช่นเดิม
แป่วววววว..
ประเด็นของการสังเกตอยู่ที่ว่า
ในเมื่อโค้กเขาอุตส่าห์ลงทุนมากมายมหาศาล
ผลิตน้ำหวานๆ
ซ่าๆ อร่อยๆ มาให้เราได้ดื่มกินกันแล้ว
คุณนักวิทย์ฯ
นาซ่า ยังจะสร้างเจ้าฝาติ่ง
(อันไม่สามารถทำได้จริงดังที่โฆษณา) นี้มาเพื่ออะไรกันฟระ
(อันไม่สามารถทำได้จริงดังที่โฆษณา) นี้มาเพื่ออะไรกันฟระ
นาซ่างบเยอะ
และนักวิจัยว่างมาก
น้ำเปล่าดีๆ
ไม่ชอบ
อยากได้แบบที่เคยเป็นโค้กมาก่อนว่างั้น..?)
ระหว่างอ่าน
"เคมีรักระหว่างเรา" ก็มีการอ้างอิงถึงการวิจัยหนึ่ง
ซึ่งทำกับหนูทดลอง
หนูแพร์รี่
ที่ได้ชื่อว่า เป็นหนูรักเดียวใจเดียว
เมื่อตกลงปลงใจกันแล้ว
ก็จะครองคู่กันไปตราบจนชีวิตจะหาไม่
(ใครอยากมีชีวิตในอุดมคติเช่นนี้
ก็จงไปทำบุญแล้วอธิษฐานให้ได้ไปเกิดเป็นหนูแพร์รี่ซะ โฮะๆๆ)
นักวิจัยก็เลยไปทำการทดลองกับพวกมัน
โดยตั้งสมมติฐานว่า
ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าออกซิโทซินแน่ๆ
พวกเขาก็เลยจัดการ
จับเจ้าหนูตัวผู้ มาทำให้สมองของมันไม่สามารถรับเจ้าออกซิโทซินนี้ได้
ปรากฏผลไปตามที่คาด
เจ้าหนูเปลี่ยนไป..ไปเป็นหนูคาสโนว่า
ข้าพเจ้าเกิดคำถามขึ้นว่า
แล้วพวกนักวิจัย
จะสามารถทำให้เจ้าหนูตัวผู้นั้น
กลับมาเป็นหนูตัวเดิม
เป็นยอดรัก เป็นคู่ชีวิตของหนูตัวเมียผู้น่าสงสารนั้นได้หรือไม่
ถ้าไม่..ข้าพเจ้าจักได้แช่งให้พวกนักวิจัยนั้นไปเกิดเป็นหนูตัวเมียที่ถูกหนูตัวผู้ทิ้งเสียให้หมด
ใจร้ายกันนัก
หึๆ
ถ้าการที่มนุษย์เราจะรักเดียวใจเดียว
ไม่ประพฤตินอกลู่นอกทางอันสมควร
ไม่แย่งชิงคนของผู้อื่น
ไม่ทิ้งขว้างคนของตนเอง
มันจะยากขนาดนั้น
และมันไม่อาจควบคุมสำนึกในจิตใจได้ด้วยตนเอง
จนต้องหันไปพึ่งการควบคุมทางกายภาพ
ต้องไปฉีดฮอร์โมน
A B C D เพื่อจะได้รักกันนานๆ
ต้องไปทำนู่นนี่นั่นตามที่ผลการทดลองว่าไว้เพื่อจะได้ไม่นอกใจคนรักของตัวเอง
ก็คงเป็นที่น่าอดสูยิ่งนัก..
อนึ่ง
หากข้าพเจ้าเป็นหนูตัวเมียพวกนั้น
ข้าพเจ้าจักตรอมใจตาย
แล้วมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร
ตามหลอกหลอนให้พวกมนุษย์ใจร้าย
ที่เห็นแก่ความรู้
(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงไหม) อันไร้ซึ่งสาระประโยชน์
ต้องเป็นคนไม่มีคู่
หรือมีคู่ก็โดนคู่ทิ้ง เช่นเดียวกับข้าพเจ้า
ฮ่าๆๆ
ป.ล. สรรพสิ่งในโลกมีดีมีเลวฉันใด
หนังสือย่อมมีส่วนที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ฉันนั้น
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน
บางอันก้องโลก
บางอันติ่งตอย
(แอบปิดท้ายให้ดูดีมีชาติสกุลกับเขาบ้าง
อิอิ)
แด่ความรัก ที่มีอยู่ในหัวใจทุกผู้คน
แพรวา บุตรี
เขียนเมื่อ 25 เมษายน 2556
00.04 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น