28 ต.ค. 2556

ทื่อมะลื่อ



หลายครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองบ้าดีเดือดและทื่อมะลื่อเกินไป

คนรักเคยเตือนหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้


ให้แพรวารู้จักเอาตัวรอด 


รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง 

อย่าไปแข็งกระด้าง สู้กันตรงๆ มากเกินไปนัก


คนที่เราสู้ด้วยอาจไม่ใช่คนที่เราสมควรตรงด้วย




อาทิ..ตำรวจจราจรห่วยๆ 


ที่ตั้งด่านโดยการเอารถตำรวจมาจอดข้างทางแล้วยืนโบกกันอยู่ 2 คน

ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการยื่นบัตรข้าราชการให้ดู 


หรือเหน็บเงินเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์นั้น

แต่ก็นึกไม่ออกว่าถ้าต้องเจอเหตุการณ์เช่นนั้นเพียงลำพัง จะทำเช่นไร




หรือยามเมื่อถูกกล่าวหาอะไรบางอย่าง 


ถูกตั้งคำถามว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าทำนั่น..มันใช่หรือ


ข้าพเจ้าพร้อมจะอธิบาย พร้อมจะชี้แจง


แต่ปัญหาคือ การอธิบายอาจตรงเกินไป แข็งกระด้างเกินไป


อาจสื่ออย่างชัดเจนเกินไปว่าเป็นความผิดของคุณเองที่ไม่ศึกษา


ไม่อ่าน ไม่ฟัง แล้วสุดท้ายก็ไม่เข้าใจในเรื่องนั้น



ช่วงหลังมานี้ บางเหตุการณ์ทำให้ตระหนักได้ว่า


ระดับความทื่อมะลื่อมีมากเกินไปแล้ว


และมันอาจเป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าบางอย่างในชีวิต




ข้าพเจ้ามีตัวอย่างของคนที่เอาตัวรอดเก่งๆ ให้เห็นอยู่เสมอ


ตั้งแต่เริ่มเข้าสังคม เริ่มทำกิจกรรมกับผู้อื่น


เริ่มทำงาน


แต่ก็ไม่เคยเอานิสัยนั้นมาทำให้เป็นของตัวเองได้เสียที




และหลายครั้งก็มานั่งเคียดแค้นคนอื่นๆ แทน


กลายเป็นว่า


ทำไมคนเสนอแต่หน้าดีๆ กลับได้ดีกว่า


ทั้งที่การกระทำก็เหมือนกัน 


หรืออาจเลวร้ายกว่าเราเสียด้วยซ้ำ

ทำไมไม่มองกันที่ผลงาน


ไม่ตัดสินกันด้วยเหตุด้วยผลที่รอบด้าน


ไม่พิจารณาตามความเป็นจริง

กลับไปเห็นแต่สิ่งที่เขาเสนอ

ซึ่งแน่นอน มีความลวงเจือปนไปเกินครึ่ง

ข้าพเจ้ารังเกียจความอยุติธรรม


มันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่มีภูมิต้านทานกับการต้องเผชิญเลย





แต่ความจริง จะไปโทษเขาก็ใช่เรื่อง


ใครจะบ้าเป็นตัวของตัวเอง


ใครจะบ้าทำให้คนอื่นเห็นกันโต้งๆ ว่าตัวเองไม่ดี


หากเราขี้เกียจ ใครจะบ้าแสดงให้เจ้านายเห็นว่าเราขี้เกียจ


หากเราทำงานพลาด ใครจะบ้าบอกลูกค้า บอกลูกความตรงๆ ว่าเราทำพลาด


ก็ต้องไหลลื่นไป แถไป ผัดผ่อนไป โบ้ยไป




บางครั้ง เราต้องยอมให้ตัวเองมีนิสัยแย่ๆ 


เพื่อจะได้ยืนอยู่ในจุดเยี่ยมๆ


แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว


การไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง


ข้าพเจ้าคงเป็นได้ไม่นาน




ข้าพเจ้ามีข้อบกพร่อง


มีจุดไม่ดี


ก็ตามที่คนอื่นๆ เห็นนั่นแล


เชิญตัดสินข้าพเจ้าได้จากสิ่งที่ข้าพเจ้าเป็น


อย่าให้ข้าพเจ้าต้องแสร้งกระทำเพื่อให้ความคิดนั้นเปลี่ยนแปลงไปเลย


ข้าพเจ้ายินดียอมรับ


เมื่อการตัดสินนั้น มาจากการพินิจในตัวตนของข้าพเจ้าจริงๆ




ปล่อยข้าพเจ้าไว้ในความทื่อมะลื่อต่อไปเถิด




สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำในขณะนี้


หาใช่การโน้มเนียนเปลี่ยนสีตัวเองไปตามสภาพแวดล้อม


แต่เป็นการยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง


และไม่หวั่นไหวต่างหาก




ข้าพเจ้าตระหนักแล้วว่า


พักหลังๆ มานี้


คงห่างหายจากการนั่งสมาธิภาวนามากเกินไป


กราฟอารมณ์จึงขึ้นๆ ลงๆ เหวี่ยงแรงราวตลาดหุ้นไทย

ทั้งที่ไม่ควรเลย

ไม่ควรหวั่นไหวต่ออะไรๆ ง่ายๆ เลย



แพรวา



1 ต.ค. 2556

ว่าด้วยรากเหง้าแห่งการ "หึง"



ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงขี้หึง

ยืดอกแบนๆ ยอมรับเลย

และไม่รู้ว่าระดับความหึงที่มีนี่

เป็นขั้นปกติที่ปุถุชนทั่วไปเป็นกันหรือเปล่า

เพราะไม่เคยถามหรือปรึกษาใคร

ว่าแต่ละคน มีรูปแบบ วิธีแสดงอารมณ์ ความรู้สึก

หรือจัดการอย่างไร (ทั้งกับตัวเองและคู่กรณี)

ยามเมื่ออารมณ์หึงนั้น มันปะทุปุดๆ ขึ้นมา



ข้าพเจ้าเคยแอบเห็นคนรักคุยกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง

เพื่อนคนนั้นถามคนรักข้าพเจ้าว่า

"จ๊ะโอ๋ดุไหม ขี้หึงไหม"

คนรักตอบว่า

"คนนะไม่ใช่หมา" ฮา...

สำหรับประเด็นหลัง

เขาตอบยาวอยู่เหมือนกัน

แต่ข้าพเจ้าจำได้เพียง

"หึงแม้กระทั่งดารา"

(หมายความว่า หึงในระดับสุดยอด 

หึงมาก 

หึงไปทั่ว

หึ๊ง หึง 

สินะ)





อืม 

ก็ตามนั้น

เคยมีรูปถ่ายรูปหนึ่ง


เขาอัพลงเฟสบุ๊ค

โดยตั้งชื่อว่า

"เขม่นใบเฟิร์น (หุหุ)"

เป็นเรื่องเข้าใจระหว่างเราสองคนว่า

ข้าพเจ้านั้น

ไม่ชอบใบเฟิร์น

หมายถึง ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก

เพราะคนรักข้าพเจ้าชอบดาราคนนี้

ชอบดูหนังที่คนนี้แสดง 

ชอบดูภาพแฟชั่นที่คนนี้ถ่าย

ชอบพูดถึงคนนี้ในหลายๆ ครั้ง



แต่ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน

ทั้งที่เขาก็ชอบดาราหลายคน

ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตามไปหึง หรือรู้สึกไม่ชอบใคร

เหมือนที่เป็นกับคนนี้



เมื่อมาพิจารณาดู

ก็อาจเป็นเพราะ (ใช้คำว่าอาจละกัน)

เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงในแบบที่คนรักข้าพเจ้าชอบ

หมายถึงชอบจริงๆ

หมายถึงอารมณ์ประมาณว่า

ถ้าอยากได้แฟน เขาจะอยากได้ผู้หญิงคนไหนมาอยู่ในฐานะนั้น




เพราะฉะนั้น ดาราคนไหนที่เขาเพียงแค่มอง แค่ดู แค่สนใจในอะไรบางอย่าง

แล้วผ่านไป

เรื่องราวเหล่านั้นก็จะผ่านไป

แต่กับดาราคนนี้ ก็คงเพราะข้าพเจ้าสัมผัสได้ลึกๆ ว่า

มันเป็นความนิยมชมชอบแบบไหน

เพราะฉะนั้น

จึงไม่ค่อยสงสัยตัวเองนัก

ว่าทำไมจึงหึง



คำตอบของคนรักที่บอกว่า

ข้าพเจ้าหึงแม้กระทั่งดารานั้น

ไม่จริง

ข้าพเจ้าหึงผู้หญิงทุกคนที่ทำให้หัวใจเขาสั่นไหว

ไม่สิ

ผู้หญิงที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าคนรักสั่นไหวต่างหาก




เพราะลึกๆ แล้ว หัวใจของผู้ชายคนหนึ่งจะสั่นไหวหรือไม่นั้น

ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้เลย




กับแฟนคนเก่าของคนรัก

ข้าพเจ้าไม่หึง ไม่เคยหวั่นไหว

ไม่อยู่ในนิยามของหนามทิ่มแทงหัวใจสำหรับข้าพเจ้าเลย

แต่กับผู้หญิงคนหนึ่ง

ที่ไม่ได้เป็นแฟนเก่าของคนรัก

ข้าพเจ้ากลับหวั่นไหวทุกครั้ง

ที่รู้ว่าพวกเขาจะพบหน้ากัน




ถึงตอนนี้ ก็ค่อนข้างมั่นใจในระดับหนึ่งแล้วว่า

อาการหึงของข้าพเจ้า

จะเกิดขึ้นเมื่อใด กับผู้หญิงคนไหนบ้าง

จะว่าไป

เรื่องอารมณ์ ก็มีเหตุผลรองรับอยู่เหมือนกันนะ

มันไม่ได้แยกจากกัน

และแท้จริง

มันก็เป็นรากเหง้าของกันและกัน

แค่เราไม่ได้ใส่ใจที่จะค้นหาหรือพินิจ มองดูมันจริงๆ




เมื่อก่อน (อาจจนถึงตอนนี้)

ข้าพเจ้าไม่ชอบเลย

เมื่อเห็นคนรักไปกดถูกใจหน้าเพจหรือส่งคำขอเป็นเพื่อนกับผู้หญิงสวยๆ

เราเคยพูดกันถึงเรื่องนี้

ตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลรองรับ

ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ

ส่วนเขา มีเหตุผลของการกดถูกใจหรือเป็นเพื่อนกับสาวๆ เหล่านั้นคือ

เขาเบื่อหน้าฟีดที่มีแต่เรื่องราวไร้สาระ ไม่จรรโลงใจ

(ความหมายคือ อยากให้มีสิ่งสวยๆ งามๆ มาขึ้นหน้าฟีดแทนเรื่องราวแย่ๆ ทั้งหลาย)

กับต้องการเรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพ

ดูว่าเขาถ่ายภาพกันยังไง จัดแสงกันยังไง จัดองค์ประกอบ ท่าทางของนางแบบยังไง

เพื่อพัฒนาฝีมือการถ่ายภาพ



อืม เหตุผลเขาดูมีน้ำหนัก

แต่ถ้าข้าพเจ้าจะหาข้อเท็จจริงใดมาหักล้างข้ออ้างเหล่านั้น

สาบานเลยว่า...ไม่เป็นการยากแม้แต่น้อย

แต่เอาเถอะ

มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล



นั่น สุดท้ายก็จบลงด้วยคำๆ นี้

มันเป็นเรื่องของเขา

เป็นสิทธิของเขา

ที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไปนัก

แต่ถามว่าในใจนั้น

ยอมรับดั่งคำฉาบหน้านั่นจริงๆ หรือเปล่า

ก็เปล่า

มันก็เลยกลายเป็น

รู้สึก แต่ไม่แสดงออก

หรือที่ใครหลายๆ คนชอบตั้งสเตตัสว่า

ไม่พูดไม่ใช่ไม่รู้สึก




หลายครั้งที่ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่

สายตาเขาที่ควรจะจ้องมองมาที่ข้าพเจ้า

เพื่อรับรู้ทั้งถ้อยคำ ความหมายที่ต้องการสื่อ 

รวมถึงอารมณ์ในการถ่ายทอดความคิดของข้าพเจ้า

กลับเบี่ยงเบนและติดตามไปที่ฝีเท้าหรือการก้าวเดินของผู้หญิงน่ารักๆ

ที่ผ่านเข้ามาในฉากระหว่างเรา

บางครั้ง ข้าพเจ้าปล่อยผ่าน

บางครั้ง ข้าพเจ้าเจ็บปวด

โดยเฉพาะ ถ้าการลากสายตานั้น

ยาวนานเกินไป





ข้าพเจ้าเคยอ่านผลการวิจัยหนึ่ง

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ผู้หญิงมองผู้หญิงด้วยกันที่แต่งตัวโป๊ ยั่วยวนอย่างไร

ผลสรุปออกมาประมาณว่า

จะไม่ชอบ จะหมั่นไส้ จะเขม่น

เพราะสัญชาตญาณลึกๆ จะบอกว่า

ผู้หญิงพวกนี้อาจเป็นศัตรูในการหาคู่ของตัวเองได้

หึๆ




สุดท้ายแล้ว

ข้าพเจ้าถามตัวเองว่า

ควรวางอารมณ์และเหตุผลไว้ที่ตรงไหน

จึงจะเป็นจุดสมดุลที่สุด

อารมณ์หึงนั้น ห้ามยากอยู่แล้ว

แต่ถ้าไม่ห้ามเลย

ปล่อยมันออกมาทั้งหมด

ก็คงแย่และลำบากกันโดยถ้วนทั่ว



ถามว่าเราจะเรียกร้องให้เขาเพลาๆ

หรือห้ามไม่ให้เขาทำอะไร

เพื่อถนอมหัวใจเราได้ไหม

ก็ลองดูสิ

ถ้าเขาทำได้ก็ดี

อ้าว...แล้วถ้าไม่ล่ะ

หึๆ



ก็ต้องกลับมานั่งทบทวนหัวใจ

และจัดระเบียบความรู้สึกตัวเองให้ดีน่ะสิ




หลายครั้ง ที่สายตาเขาเบนไปเดินตามเงาผู้หญิงคนอื่น

ข้าพเจ้าก็อยากสบตาหรือส่งยิ้มให้ชายแปลกหน้าที่อยู่รอบๆ ดูบ้าง

ทำกิริยาแบบที่เขาทำบ้าง

ตั้งใจทำให้เขาเห็นบ้าง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน

ก็คงทำ

แต่เป็นตอนนี้

ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายการสร้างปัญหาเหล่านั้นเสียแล้ว

มันดูไร้สาระ และเสียเวลามากเกินไป

สายตาที่จะไปหยาดเยิ้มกับชายคนอื่น

เอามาอ่านหนังสือที่กางอยู่ตรงหน้าเถอะ

การจูงมือใครคนอื่นเข้ามาเป็นเครื่องมือเพื่อประชดประชัน

มันไม่เวิร์คหรอก

เพราะสุดท้ายแล้ว

เราจะกลายเป็นคนผิด

(อ่าว ตอนแรกกรูไม่ผิดนี่หว่า กรูแค่ทำประชด)

ผิดที่เป็นคนสร้างเรื่อง

ผิดที่มองคนอื่น

ผิดที่นำพาคนอื่นเข้ามาในความสัมพันธ์

ที่ควรจะมีเพียงแค่สองเรา

ข้าพเจ้าเคยประสบมาแล้ว

มันไม่ง่ายเลยที่จะแก้ปมที่ผูกแน่นจนกลายเป็นเงื่อนหนา




อนึ่ง พูดในแง่คนรักไปแล้ว

พูดถึงบุคคลที่สามสี่ห้ากันสักเล็กน้อย

ความจริง ก็ไม่มีอะไรจะเอ่ยถึงมากนัก

เพราะกรณีเช่นนี้

ข้าพเจ้าไม่เคยเหวี่ยงแห ฟาดงวงฟาดงาไปใส่คนอื่นเลย

มันเป็นเรื่องระหว่างข้าพเจ้ากับคนรัก

ล้วนๆ

เพราะฉะนั้น

ถึงแม้เราจะหึง จะรู้สึกไม่ดี

ก็ต้องแยกว่ามันเป็นความรู้สึกที่มีกับใคร

กรณีเหล่านี้

ส่วนใหญ่ สาเหตุไม่ได้มาจากคนอื่นหรอก

เป็นที่คนของเรานั่นแหละ

ข้าพเจ้ายังสามารถเป็นโชเฟอร์

ขับรถไปส่งผู้หญิงที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการหึงได้

ยังสามารถเป็นเพื่อนกับบรรดาแฟนเก่า

ยังสามารถพูดคุยกับสาวๆ ที่ปรารถนาอย่างชัดแจ้งในตัวคนที่อยู่ในสถานะแฟนของข้าพเจ้าได้

เพราะเขาเหล่านั้นคือผู้ที่น่าสงสารอย่างแท้จริง

กล่าวคือ

กรณีที่เขาอยู่ของเขาดีๆ คนของเราไปแสดงท่าทีต่อเขาเอง

มันก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่า

แกจะไปยุ่งวุ่นวายกับเขาทำไม เขาไม่ใช่คนต้นเรื่อง

ที่ต้องเข้าไปค้น ไปจัดการ ไปยุ่มย่ามด้วยเสียหน่อย

อีกกรณีหนึ่ง

ถ้าเขา (เธอ) คนนั้น มีใจให้คนรักของเรา

ต้องแยกย่อยอีก

ถ้าคนรักเราไม่สนใจด้วย

ก็น่าเห็นใจ

รักคนมีเจ้าของ...คงเจ็บน่าดู

แต่อีกกรณีหนึ่ง

หากคนของเราเล่นด้วย

อันนี้ก็คงต้องตัวใครแล้วล่ะ 

ฮา

(อนึ่ง หากข้าพเจ้าเคยทำกิริยามึนตึง ล่วงเกินผู้ใดในลักษณาการที่เกิดจากอารมณ์หึงหวง

ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

และโปรดรับรู้ไว้สักเล็กน้อยว่า

ข้าพเจ้านั้น ไม่ได้มีเจตนาบาดหมางกับท่านเลย

มันเป็นเพียงผลพวงของอารมณ์บูดเน่า

ที่ทำให้ไม่สามารถยิ้ม หัวเราะ ร่าเริงได้ตามสมควรเท่านั้น

และกิริยามึนตึง ท่าทางนิ่งๆ เหล่านั้น

ข้าพเจ้าหาได้ต้องการสื่อความในใจไปถึงท่านแต่อย่างใดไม่)





อ้าว แล้วยังไงล่ะ

ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้

หึงก็หึง เจ็บก็เจ็บ

บอกเขาก็แล้ว

พยายามทำใจก็แล้ว




คำตอบคงอยู่ที่หัวใจของเราเอง

ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่า

ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อดทนที่สุด

(ถ้าไม่นับแมลงสาบ)

แต่ก็ยังเชื่อว่า

ความอดทนของคนเรา..มีขีดจำกัด


ดั่งท่อนหนึ่งของเพลงหนึ่งที่ว่าไว้

"ใจคนจะทนแค่ไหน ก็ละลายช้าๆ"


หัวใจของเรา

ถ้าไม่ถนอมเอง

ถ้าเอาไปวางให้เขาเหยียบย่ำเอง

แล้วจะโทษใคร




ใช้อารมณ์มากเกินไปก็ช้ำ

ให้น้ำหนักกับเหตุผลเยอะเกินก็เก็บกด อึดอัด

พอดีๆ

สบายๆ

ขุ่นข้องหมองใจพอเป็นกระษัย

ให้ได้แสบๆ คันๆ จักจี้พอเป็นพิธี




ขอความรักคุ้มครองสองเรา

แพรวา




ป.ล. วันนี้คนรักของข้าพเจ้ามีโอกาสไปเป็นช่างภาพ

เก็บภาพบรรยากาศเบื้องหลังการเดินแฟชั่นที่โรงแรมเอราวัณ

เขาบอกน้ำเสียงสดใสในโทรศัพท์ว่า

"ตอนนี้พี่อยู่ในห้องแต่งตัวนางแบบแหละ"

แหม...เปรมเลยล่ะสิ หึๆ



เล่าให้น้องและพี่ที่ทำงานฟัง

น้องบอกว่า

"พี่แพรไม่บอกไป เปรมมากก็ไปนอนโรงแรมเลยไป ไม่ต้องกลับบ้านกลับช่องหรอก (น้องแอบอิน 55)"

ส่วนพี่บอกว่า

"ถ้าเราไปอยู่ในห้องแต่งตัวนายแบบผู้ชาย เราก็เปรมเหมือนกันแหละ ฮิๆ"

เออ..คำตอบเหล่านี้ ถูกทุกข้อ ฮ่าๆๆ