25 พ.ย. 2554

You are my inspiration..

"ฉันนั้นต้องการ..เขียนตำนานให้หัวใจ

เพื่อจำจดไว้นานเท่านาน

สิ่งที่ฉันทำไป  จะเป็นเส้นทางให้ข้ามผ่าน

สู่จุดหมาย..ที่ตั้งใจ..ด้วยตัวฉันเอง"

= นาทีที่ยิ่งใหญ่ =



ฟังครั้งใด แรงขับในหัวใจเพิ่มขึ้นทุกที

แม้ในบางครั้ง ฟังแล้วจะตอบตัวเองไม่ได้

ว่านาทีนั้นของเรา..คืออะไร อยู่ในจุดไหน


ถามตัวเองว่าความฝันที่แท้จริง

และต้องทำให้ได้ ในชีวิตนี้ คืออะไร

คำตอบมีมากมายเหลือเกิน


บางครั้งก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้

ว่าทำไม ถึงได้แตกแขนงความต้องการของตนเอง ออกเป็นหลายเส้น หลายสายนัก

และแต่ละสาย ก็มักไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงกันแต่ประการใด


มีหลายคนที่เป็นแรงบันดาลใจ

รวมถึงหลายเพลง  หลายสิ่ง หลายเหตุการณ์ตัวอย่าง

อาจเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยแต่ละอย่างมาเข้าไว้ด้วยกัน

รวมเข้าเป็นคน ๆ เดียว


ขณะนี้ กำลังบ้าคลั่ง ศิลปิน

คงอารมณ์คล้าย ๆ เด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่หลงใหลบอยแบนด์เกาหลี

แต่ต่างกันตรงที่ เราหลงใหล คน ๆ เดียว

solo jazz saxophonist - Kenny G

ตามอ่านประวัติ search รูป โหลดเพลง สมัครสมาชิก website ของเค้า

และคาดหวังให้เค้า มาเมืองไทยเร็ว ๆ


Kenneth Bruce Gorelick

ชื่อเรียกยากพอสมควร จึงย่อ ๆ เป็นว่า Kenny G

ถ้ามีโอกาสมีลูก อาจตั้งชื่อลูกตามเค้า หนูน้อย เคนนี่

(แม้หน้าตาเราจะไม่สามารถผลิตลูกที่มีหน้าอย่างเค้าได้ก็ตาม)


Loving You

Going Home

Havana

and .. The Moment

.
.
.

My new inspiration

21 พ.ย. 2554

หม่น มูราคามิ..Norwegian Wood

หลายวันที่ผ่านมา

อารมณ์ขุ่นมัว หม่นหมอง หงุดหงิด

อาจเพราะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเป็นด้วย

อารมณ์ขึ้นๆลงๆตามฮอร์โมนในร่างกาย

และอาจเพราะ ปัจจัยภายนอกอีกหลายสิ่ง


เพิ่งอ่านมูราคามิจบ

เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านผลงานของนักเขียนคนนี้

เคยได้ยินชื่อมานาน  รู้มาบ้างว่าหนังสือเป็นแนวไหน

ได้อ่านเอง ซึมซับเอง

ที่ได้ยินมานั้น  ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง


อ่านหนังสือเล่มหนา

ด้วยความคิดที่เหมือนถูกแบ่งแยก

เหมือนว่า ไม่เพียงแค่อ่านและอินไปกับตัวละคร

เรายังต้องคิด และหม่นหมองไปในตัวตนของเราเอง

เหมือนว่ากายนี้ ไม่ใช่ของเรา

เหมือนว่าความคิด จิตวิญญาณ และร่าง

มันแยกออกจากกันอย่างชัดเจน

ถามหาอะไรบางอย่าง

ที่ก็ไม่รู้ ว่าคืออะไร

อิสระ ความสุข ความคิด ความฝัน

ขบคิดไป 

แบบไหนที่อยากเป็น

คนแบบไหนที่อยากเดินเคียงข้าง

พอใจกับชีวิตแล้วหรือยัง

ดำรงตนเช่นไรให้ชีวิต มีความหมาย

และไม่เสียดาย หากว่าต้องตาย ในวันพรุ่งนี้



ช่วงเวลาที่เหมือนว่าอะไรๆในชีวิต

ไม่พอดี

ไม่รู้ว่าไม่พอดีในตัวมันเอง

หรือเพราะเราเองที่ไม่พอใจ

คงทั้งสองอย่างรวมๆกัน

อยากเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน

อยากมีอิสระ

อยากเดินทาง

แต่หลายสิ่ง ทำให้ไม่อาจก้าวขาออกไปได้ดั่งใจคิด

ติดที่หลายๆคน  ซึ่งเราเป็นห่วง

ชีวิตเราไม่ใช่ของเราคนเดียว

มีหลายคน ผูกติดกันไว้

ปัญหาคือ

การเดินทางของเรา การเปลี่ยนแปลงของเรา

จะกระทบถึงคนเหล่านั้นหรือไม่

ถ้าไม่กระทบก็ดีไป

แต่จะคิดยังไง ก็มีวี่แววว่าจะกระทบอยู่ดี




ในบางครั้ง ก็อยากกองเหตุผล เอาไว้ตรงนั้นแหละ

อยากหยิบเอาแค่อารมณ์และความฝันมาเดินเคียงข้าง

แต่เจ้าตัวเหตุผล มันชอบตะโกนขึ้นมาประท้วงสิทธิของมันอยู่เรื่อย

"แกจะทิ้งๆขว้างๆฉันได้ยังไง

ขาดฉันไป แกจะเป็นคนไร้เหตุผลนะยะ"

สุดท้าย ก็ต้องกลับไปหยิบมันขึ้นมาอยู่ดี

เจ้าตัวนี้ ร้ายกาจจริงๆ


แท้แล้ว เราก็ไม่เคยคิด

ว่าชีวิต  มีอะไรๆแค่นี้

ทำงาน 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง

ที่เหลือก็กิน นอน อ่าน เล่น เที่ยว

มันง่ายมากที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับวงจรอุบาทว์เช่นนี้

ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น


ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการของสายตาและความคิดผู้อื่น

อย่างที่วาตานาเบะเป็น

ปล่อยความคิดให้ล่องลอย จินตนาการสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง

อย่างที่มิโดริทำ

บางเวลา เข้มแข็ง บังคับตัวเอง เพื่อกำชัยชนะให้ได้

อย่างนางาซาวะ

แต่ไม่ว่ายังไง  อย่าทำอย่างนั้น

อย่างคิซึกิ และนาโอโกะ



อย่าเป็นบ้าเรย 


แด่..Norwegian Wood

14 พ.ย. 2554

เพียงผู้เดียว

โตรึยัง?

ถามตัวเองหลายครั้ง

โตแล้วดิ..ยังมั้ง..ไม่หรอก..ไม่รุ

ก็ตอบตัวเองไปงั้น ๆ

ตามแต่อารมณ์ในขณะนั้นจะนำพา

แต่สุดท้าย เราก็ต้องตระหนักได้ว่า

แม้เราจะไม่อยากโต เราก็ต้องโต

มันเป็นสัจธรรม


เราต้องเกิด  ต้องโต ต้องแก่ ต้องตาย

ระหว่างทางนั้น ก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย

ไม่ว่าจะกายหรือใจ

หลีกเลี่ยงหาได้ไม่

ทำได้เพียงยอมรับ ความเป็นจริง

และรู้เท่าทันมัน

ผ่านมันไปให้ได้



เราเกิดมาเพียงผู้เดียว

โตมาเพียงผู้เดียว

และเราก็จะต้องตายไปเพียงผู้เดียว

ไม่สามารถพาใครมาเกิดด้วย

และไม่สามารถพาใครไปตายด้วยได้

แม้ตายพร้อมกัน ที่เดียวกัน เหตุเดียวกัน

ก็ไม่แน่ว่าจะได้ไปต่อด้วยกัน



รักใครมากแค่ไหน

ประหนึ่งว่าจะมีชีวิตไม่ได้เมื่อขาดเขา

ก็ต้องกลับมาที่จุดเดิมอยู่ดี

สักวัน...ต้องมีการจากลา

จากเป็น  หรือ จากตาย  ว่ากันอีกที



วันก่อน เขารักเรา  เรารักเขา

รักกันปานจะกระเดือกลงคอ

วันต่อมา  ไปให้ไกลๆตีนกู

วันก่อน ไม่ว่ายังไง ฉันจะรักเธอ

วันต่อมา  เธอไม่รักฉัน ฉันก็จะเลิกรักเธอ

วันก่อน  ทำดีต่อกันสุดชีวิต

วันต่อมา  เข้าใกล้กูอีกนิดจะถีบให้

...

ไม่มีอะไร  ไม่เปลี่ยนแปลง

เข้าใจ และ ยอมรับมันเสียเถิด

แกะน้อยเอ๋ย


คนสำคัญในชีวิต

เปลี่ยนแปลง และสลับตำแหน่งได้เสมอ

วันก่อนสำคัญ

ไม่ได้หมายความว่าจะสำคัญตลอดไป

ใจเขาเปลี่ยนได้  ใจเราก็เช่นกัน


อย่าคาดหวังว่าผู้ชายหน้าไหนจะมอบใจให้เราตลอดไป

และอย่าคิดว่า มิตรภาพใด ๆ จะคงอยู่ต่อไปถาวร

ยืนเพียงผู้เดียว

หายใจเพียงผู้เดียว

ตายไปเพียงผู้เดียว

.....

ผู้เดียวเท่านั้น

11 พ.ย. 2554

ครั้งสุดท้าย

ทำให้แม่เสียใจอีกแล้ว

แม้ว่าตั้งแต่เกิดมา จะได้ชื่อว่าเป็นลูกที่ดี

ทำพ่อแม่หน้าบานได้เสมอ

แต่ก็ต้องมีบ้าง..ที่ทำอะไรขัดใจ

แม่ไม่เคยว่า แม่เคารพการตัดสินใจเสมอ

ลูกอยากทำอะไร ก็ทำ

ลูกอยากเดินทางไหน  ก็เดิน

แม่คอยมองอยู่ห่าง ๆ

ไม่ใกล้ ไม่ไกล

ส่งแรงใจมาเป็นระยะ ๆ  ว่า

"ลูกแม่ต้องเข้มแข็ง"

..

..

เหมือนมีเส้นใยบาง ๆ ที่เหนียวแน่น

สายสัมพันธ์แม่ลูกจะบอกได้ว่า

ตอนนี้มีความสุขดี หรือมีเรื่องอะไรในใจ

อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม

ถ้าอยากเล่า ก็จะเล่าออกมาเอง

แม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เราจำความได้

ไม่เคยถามเกรด ไม่ถามว่าเพื่อน ๆ  เป็นยังไง

ไม่ถามว่ามีแฟนไม๊  ไม่ถามว่าคุยโทรศัพท์กับใครดึก ๆ  ดื่น ๆ

ยิ้มแย้มหัวเราะร่า  หรือนั่งหน้าตาย  น้ำตาซึม

แม่ก็ไม่เคยถามว่าเป็นอะไร


แต่ถ้าเราอยากกอดแม่  อยากร้องไห้

แม่ก็จะมีอ้อมกอดอบอุ่นไว้ให้เราเสมอ

แม่จะเช็ดน้ำตา และบอกว่า เข้มแข็งนะลูกนะ

ไม่ร้อง  เงียบซะนะ

แม่ทำให้รู้ว่า น้ำตาของเรา มีค่า


แม่รู้ตลอด ว่าเราเป็นอะไร

แต่ไม่เคยคาดคั้น หรือเค้นถามว่า เพราะอะไร

เอาตามความสมัครใจ

แม่เชื่อมั่นในตัวลูกเสมอ

.
.
.
แต่ก็หลายครั้ง

ที่สัมผัสได้ว่า แม่คาดหวัง

บางสิ่งบางอย่าง

แม่ไม่พูด เพราะไม่อยากบีบบังคับ

ให้เราต้องทำตามใจใคร

แม่ตามใจเรา

และเรา ก็มักเลือก สิ่งที่ไม่ใช่ความต้องการของแม่

แม่ไม่ว่าอะไร

ไม่เป็นไร  ลูกเป็น หรือทำอะไรก็ได้ 

แค่ไม่เดือดร้อนตัวเอง ไม่เดือดร้อนใคร

แม่เคียงข้างเราเสมอ

การตัดสินใจครั้งนี้

จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทำให้แม่ผิดหวัง

รอก่อนนะแม่จ๋า

อีก 2 ปี เราจะถ่ายรูปด้วยกัน

ปริญญาใบต่อไป

แด่คนสำคัญที่สุดในชีวิต


รักแม่

9 พ.ย. 2554

ก่อนตาย

พ่อ แม่ น้อง

โดดบันจี้จัมพ์

หนังสือซักเล่ม

หีบเพลงปาก

ยุโรป

ถ่ายรูป

ร้อยมาลัย

หน้าหนาวบนยอดเขา

ครูบนดอย

วัดพระบาทน้ำพุ

อิสระ

ดนตรี

เซ็กส์ร้อนแรง(สุดๆ)

กอด

กินลม

ท้องฟ้า

เดินป่า

ก๋วยเตี๋ยว

ขนมจีนน้ำเงี้ยว ฝีมือยาย และ/หรือ แม่

ห้องสมุด

คีย์บอร์ด

.
.
.
.
.
.
.
.
.
สงบ

7 พ.ย. 2554

น้ำท่วม

ไม่อยากพูดเรื่องน้ำท่วม

คนพูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง

รู้จริงบ้าง รู้ไม่จริงบ้าง

บ่นให้ฟังบ้าง 

วิพากษ์สถานการณ์บ้าง

ปรึกษาหารือบ้าง

แนะนำสั่งสอนบ้าง

คาดคะเน(มั่วๆ)บ้าง

พูดเองเออเองบ้าง

จำเค้ามาพูดบ้าง

ขุดคุ้ยหาตัวการบ้าง

โกรธเกลียดขัดแย้งบ้าง

ทำไมไม่ทำอย่างนั้นบ้าง

ทำไมไม่ทำอย่างนี้บ้าง

ฝั่งนั้นน่าจะท่วมบ้าง

ให้มันรู้ซะบ้าง

เอาน้ำออกไปจากบ้านกูบ้าง

ใช้สมองบ้าง
.
.
.
.
กลัวจะเป็นหนึ่งในข้างต้นบ้าง

กลัวจะเผลอพูดโกหก พูดเสียดสี พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ

เลยไม่อยากพูด

ถ้าจะท่วมก็ท่วม

ไม่ท่วมก็ไม่ท่วม

เรื่องธรรมชาติอย่างแท้จริง

ปล่อยไปตามแต่เหตุที่ควรจะเป็นและต้องเป็น

สิ่งที่ทำได้ ...


ทำใจให้เข้มแข็ง

ดีกว่า


บ้าง

นิ่งบ้าง


ปิดหู  ปิดตาบ้าง


ฟังเสียงหัวใจตัวเองบ้าง

 
ตามใจตัวเองบ้าง


กล้าๆขัดใจคนอื่นบ้าง


ทำตามสัญชาตญาณดิบต้วเองบ้าง


ระบายอารมณ์บ้าง


ลองท่าใหม่ๆบ้าง


เงียบๆบ้าง


เป็นมิตรกับความโง่บ้าง


ปล่อยบ้าง


วางบ้าง


ช่างหัวมันบ้าง


ระเบิดระบายมันออกมาบ้าง




 
รักตัวเองบ้าง


น่าจะดี

2 พ.ย. 2554

ดาหลา

ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
ไปอยู่ต่างจังหวัด
เป็นการไปแบบไม่ทันตั้วตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ
ก่อนไป หงุดหงิด เพราะอารมณ์ลึกๆก็ไม่ได้อยากไป
รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง
นั่งถามตัวเองทั้งวันว่า ยอมรับกับสิ่งเหล่านั้นได้ไหม

ขณะที่คิด มือก็ยุ่งกับการเคลียร์งาน

สุดท้าย วันรุ่งขึ้น เราก็ขึ้นรถไฟ
ไป อุดรธานี

ลืมเอาโทรศัพท์ไป
ความจริง พักหลังๆมานี้ ก็ลืมโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ
เพราะไม่ค่อยได้สนใจมันเท่าไหร่
ไม่ได้คุยกับใคร วันๆหนึ่ง มีสายโทรเข้า โทรออก น้อยมาก

แต่วันนั้น เป็นการลืม ที่เป็นความผิดพลาด

รู้ว่าจะต้องมีคนเป็นห่วง
รู้ว่าใครบ้าง ที่จะกระวนกระวาย เมื่อเราหายไป

ได้แต่ขอโทษคนเหล่านั้นอยู่ในใจ
เพราะทำอะไรไม่ได้

ไม่อยากยืมโทรศัพท์ของคนอื่น
เกรงใจ
และแถวนั้น ก็ไม่มีตู้โทรศัพท์

ในหัวมีเรื่องวนไปวนมาไม่เท่าไหร่

ทุกเย็น จะไปขี่รถเล่น
มองท้องฟ้า
สูดอากาศ
ยลกลิ่นดอกดาหลา

รู้สึกคุ้นเคย ทั้งที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก

แปลกใจอยู่หลายครั้ง
ที่ความคิดความอ่านบางช่วง เปลี่ยนแปลงไป
มองอะไร แตกต่างไปจากเดิม
อาจเพราะไฟที่กำลังลุกโชน
จากการไปเข้าค่ายนักเขียนมากระมัง

สงสัยตัวเอง เริ่มรักการมองท้องฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่
จำไม่ได้
รู้ตัวอีกที เผลอทีไร สายตาไปจินตนาการอยู่กับก้อนเมฆ
และเส้นแสง ลวดลาย สีสัน บนท้องฟ้าเสียแล้ว

ถ่ายรูป ก็ชอบถ่ายท้องฟ้า

ไปเดินงานหนังสือ เล่มแรกที่จ่ายเงินซื้อ
ก็คือ หนังสือก้อนเมฆ
เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยชนิดของเมฆบนท้องฟ้า

งดงามมาก และอยากเห็นด้วยตาตัวเอง

ความรู้สึกนี้ อาจซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

ความจริง เราก็เป็นคนซึมซับอะไรง่ายเหมือนกัน
อยู่ใกล้ใคร จะได้เงาของคนนั้น มาบดบังเงาตัวเอง
ไม่มากก็น้อย

นานๆไป ก็กลายเป็นเงาของตัวเองโดยสิ้นเชิง

การมองท้องฟ้านี่ก็เช่นกัน

เพราะเธอคนนั้น สร้างสรรค์ช่วงเวลาดีๆ
ด้วยการพาเรามองท้องฟ้า

ขอบใจนะ

กลิ่นดอกดาหลา
มักจะหอมอบอวลในตอนเย็น
เป็นความหอมประหลาดๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกดี
อบอุ่นใจ เหมือนได้อยู่ใกล้ๆบ้าน

คิดถึงแม่
แม่คงเป็นห่วง
คิดถึงพ่อ
พ่อคงหงุดหงิด

ทั้งสอง ติดต่อลูกสาวไม่ได้

คิดถึงเธอ
จะอยู่อย่างไร ในที่นั้น เพียงลำพัง

ขอโทษพ่อ ขอโทษแม่ ที่ทำให้เป็นห่วง
การเป็นห่วงใครสักคน มันทรมาน
ทำให้พ่อแม่ทรมาน
เป็นบาป

ขอโทษเธอ
ปล่อยเธออยู่เพียงลำพัง
ในช่วงเวลาเช่นนี้
เธอจะมีข้าวกินไหม มีน้ำดื่มไหม ออกไปไหนได้ไหม
น้ำท่วมเธอไหม
ขอโทษจริงๆ

อยากกลับบ้าน
อยากกินข้าว กินกับข้าว ที่พ่อแม่ทำ
คิดถึงพ่อแม่จับใจ

ในยามที่กลิ่นดาหลาโชยมา

โพล้เพล้ทีไร อาการเหงา และการคิดถึงบ้าน
มักรุนแรงขึ้น
กัดกินหัวใจ
และร่ำๆจะทำให้เสียน้ำตา
ได้ทุกที