26 ธ.ค. 2554

คำตอบ

คนบางคน รักฉันหมดทั้งใจ
แต่ได้คืนไปเพียงเสี้ยวหนึ่ง

คนบางคน ห่วงใยฉันตลอดเวลา
ฉันกลับเห็นค่าแค่เวลาเหงา

คนบางคน อยู่ไม่ได้หากไม่มีฉันและคำว่าเรา
แต่ฉันกลับให้เขาเป็นเพียงเงาของใครบางคน

คนบางคน ขาดฉัน แทบขาดใจ
ฉันกลับปล่อยเขาไว้ ให้ใจแทบขาดอยู่รอนๆ




คนบางคน นั่งอยู่เต็มหัวใจฉัน
แต่ฉันกลับได้เพียงเกาะที่ขอบใจเขา

คนบางคน ฉันคิดถึงเขาแทบทุกลมหายใจ
แต่เขากลับมีฉันในความคิดเพียงบางเวลา

คนบางคน ทั้งชีวิต ฉันอุทิศเพื่อใช้เดินทางร่วมกัน
แต่เขากลับมีที่ให้ฉันแค่ช่วงระยะทางหนึ่ง

คนบางคน ฉันร้องไห้ให้เขาแทบขาดใจ
เขาไม่ แม้เพียงจะชายตามอง


.
.
.
.
.
คำตอบอยู่ที่ใจตนเอง
ในตัวตนฉัน

เธอสัมผัสอะไร

ความเป็นฉันใช่ไหม

หรือเพียงใครที่ใช้ปรนเปรอ


ในชีวิตเธอ

มีฉันเสมอในวันพรุ่งนี้

อยากเคียงข้างทุกนาที

หรือเมื่อถึงเวลา เธอก็จากไป



ในแววตาฉัน

เธอมองเห็นอะไร

เสียงก้องจากหัวใจ

หรือเงาสะท้อนของเธอเอง



ในเสียงเพลงของเธอ

เธอมอบให้ใคร

ฉันที่อยู่ข้างกาย

หรือใครที่เธอตรึงตรา



ในวาจาคำว่า "รัก"

เธอเอ่ยมันเพื่อใคร

เพื่อฉันใช่ไหม

หรือสุดท้ายคือเพื่อเธอเอง

.
.
.
.
ปรัศนี

ถึงเวลาฟัง

ก็นานเท่าไรแล้ว ที่ฉันต้องคอยตามใจ

ถ้าเธอบอกคำไหน ต้องเห็นต้องได้ดังใจ

และความต้องการฉัน ก็เหมือนละอองดินทราย

ไม่เคยมีความหมาย ไม่เห็นเธอเคยรับฟัง



ไม่ใช่สิ่งของใด ให้เธอมาคอยจัดวาง

ก็มีความต้องการ ให้เธอ...เข้าใจ



ถึงเวลาเธอจะฟังฉันได้หรือยัง

ถึงเวลาเสียงของฉันควรมีความหมาย

เลิกพูดคำว่าเธอต้องการ หยุดฟังซะทีได้ไหม

คนอีกคนตรงนี้ก็มีหัวใจ



ถึงเวลาเธอจะฟังฉันได้หรือยัง

ช่วยเข้าใจ ใจอีกคนหนึ่งคนได้ไหม

ถึงเวลาที่เธอควรรู้ ว่าฉันต้องการอะไร

ถ้ายังบอกว่ารักฉันก็ขอให้ฟัง




ถ้าคำว่าความรัก นั้นหมายถึงการจำยอม

ฉันคงจะไม่พร้อม จะรักและทุ่มเทใจ

ถ้าเธอต้องการฉัน แค่เพราะฉันยอมตามใจ

ฉันก็จะบอกไว้ ว่าฉันไม่ต้องการเธอ





ไม่ใช่สิ่งของใด ให้เธอมาคอยจัดวาง

ก็มีความต้องการ ให้เธอ...เข้าใจ



ถึงเวลาเธอจะฟังฉันได้หรือยัง

ถึงเวลาเสียงของฉันควรมีความหมาย

เลิกพูดคำว่าเธอต้องการ หยุดฟังซะทีได้ไหม

คนอีกคนตรงนี้ก็มีหัวใจ



ถึงเวลาเธอจะฟังฉันได้หรือยัง

ช่วยเข้าใจ ใจอีกคนหนึ่งคนได้ไหม

ถึงเวลาที่เธอควรรู้ ว่าฉันต้องการอะไร

ถ้ายังบอกว่ารักฉันก็ขอให้ฟัง

ก็ถึงเวลา ถึงเวลาฟัง

23 ธ.ค. 2554

เนื้อแท้ของความเกรงใจ

เกรงใจ..กันบ้าง

ไม่ใช่เพียงเพราะรักษามรรยาทในสังคม

.
.
เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น

ก็ควรนึกเห็นใจ คิดถึงสภาพที่เขาเป็น สภาพที่เขาอยู่

เช่นเดียวกับที่อยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา

คนมีหลายจำพวก

บางจำพวกคิดถึงผู้อื่นเป็นอาจิณ บางครั้งก็คิดมากไป

กลัวเขาจะเดือดร้อน กลัวเขาจะมีปัญหา กลัวเขาจะไม่สบายใจ

จึงไม่กล้าเข้าหา ไม่กล้าทำอะไรกระทบกระเทือนสิทธิของผู้อื่น

ไม่ก้าวล่วงไปยังพื้นที่อาณาเขตของใคร

อาจมีบ้างที่ถูกเรียกว่า เป็นพวกขี้เกรงใจ

ถึงกระนั้น นั่นก็มิใช่ข้อเสียร้ายแรง

กลับเป็นความดีเสียด้วยซ้ำ เพราะแสดงให้เห็นว่า

เขาไม่ประสงค์จะเบียดเบียนผู้ใด


แต่คนบางจำพวก ก็มิได้เป็นอย่างจำพวกแรก

กลายเป็น ไม่มีความเกรงใจกันบ้างเลย

.
.
เมื่อเช้า นั่งรถตู้ของบริษัทมาทำงาน

เจอป้าขาประจำ ที่เรียกป้า เพราะอายุเค้า เป็นป้าฉันได้จริงๆ

ให้เรียกพี่ คงไม่ไหว

อาจด้วยสันดานดิบของเพศหญิงที่ชอบพูด ชอบจำนรรจา

ประกอบกับนิสัยโดยส่วนตัวของป้า ที่ใส่ใจผู้อื่นน้อยไป

ฉันขึ้นรถ มักเจอกับป้าท่านนี้บ่อยๆ

ด้วยความที่กลับบ้านในช่วงเวลาเดียวกัน

ไม่เคยมีสักครั้งที่จะไม่พูด

และไม่ใช่พูดธรรมดา

พูดที ได้ยินกันทั้งคันรถ

พูดน้ำไหลไฟดับ พูดได้ตั้งแต่ล้อหมุนจนกระทั่งรถจอด

พูดเรื่องนั้น แล้วไปเรื่องนี้ ราวกับ-ีเจาะปากมาพูด

เสียงก็หาใช่จะไพเราะ

ทั้งเล็ก แหลม ปนๆกับเสียงเหี่ยวๆ ตามสไตล์คนแก่

ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา

อายุปูนนี้ ควรจะสงบปาก สงบคำ สงบจิต สงบใจ

และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง

ยิ่งพูดมาก โทษทางวจีกรรมก็ยิ่งมาก

พูดเพ้อเจ้อ ก็เป็นการก่อกรรมอย่างหนึ่ง

อย่างน้อย ก็กรรม ที่เกิดต่อบุคคลผู้ที่ไม่ประสงค์จะร่วมฟังเรื่องราวอันไร้สาระนั้น

อยากพูด อยากสนทนาอันใด เอาแต่พอประมาณ

คุยแต่พอประมาณ ในเรื่องสลักสำคัญ

รถตู้ก็มิใช่คันใหญ่

เสียงดังที่เปล่งออกมาจะไปไหนเสีย

นอกจากก่อความรำคาญวนไปเวียนมาแก่ผู้คนในรถนั้น

นี่เป็นกิริยาที่ส่อให้เห็นว่า ป้าท่านนี้ ไม่ได้คิดถึงผู้อื่น มากพอ

และกลายเป็น ผู้ไม่มีความเกรงใจผู้อื่น

.
.
.
เมื่อแก้ที่เขาไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเราเอง

ต่อแต่นี้ไป ฉันจะไม่ขึ้นรถคันเดียวกับป้าท่านนี้อีก

ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

ความสงบสุขในจิตใจ และการอยู่นิ่งๆ เงียบๆ

ยังเป็นสิ่งที่ฉันหวงแหนเสมอ


เฮ้อ...เพลียหูจริงๆ

22 ธ.ค. 2554

ความเขินอายของหัวใจบอบบาง

รักใคร ถ้าไม่บอกออกไป แล้วเค้าจะรู้ไหม

ห่วงใคร ไม่แสดงให้รู้ เค้าคงไม่อาจเดา

หรือบางครั้ง รู้ทั้งรู้ แต่อยากได้ยินเสียง อยากเห็นแววตา ว่าห่วงกัน

.
.
อาการเก็บนิ่งของอารมณ์หรือความรู้สึก

เคยคิดว่า มักเกิดกับผู้ชาย

เพศที่เข้มแข็งและมักทำตามเหตุผล

แต่ในความเป็นจริง

ผู้หญิงก็เป็นได้

.
.
ใช่ว่าไม่รัก ใช่ว่าไม่ห่วง ใช่ว่าไม่หวง ใช่ว่าไม่หึง

แต่บางสิ่ง โดยเฉพาะสามัญเรื่องราว

ที่ใครๆก็รู้กัน

ยิ่งไม่อาจเห็นว่าสำคัญที่จะต้องพูด

หรือแม้เห็นว่าสำคัญ..ก็อายและจักจี้หัวใจ

เกินกว่าจะเอ่ยปากไป
.
.
ขอโทษ ถ้าคำพูดของฉัน ไม่อาจทำให้เธอรับรู้ได้ว่าฉันห่วง

ขอโทษ ถ้าแววตาของฉัน สื่อถึงเธอไม่ได้ ว่าฉันรักเธอมากเพียงใด

แต่ก็อยากให้รู้ แม้เธอจะอ่านฉันไม่ได้

ฉันก็รักเธอ
.
.
.
คนสำคัญในชีวิตฉัน..มีไม่กี่คน

ฉันพูดประโยคนี้บ่อยๆ

และมันหมายความเช่นนั้นจริงๆ

ฉันอาจดูอ่อนโยน

ฉันอาจดูเป็นมิตร อาจพูดคุยหยอกล้อ

หรือแม้อาจนั่งเป็นเพื่อน สำหรับใครหลายคน

แต่ไม่ใช่ทุกคน ที่สำคัญ

ฉันเหนื่อยง่าย เกินกว่าจะแบกทุกคนไว้บนบ่าได้หมด

แต่ฉันก็พยายาม ดูแลทุกคนที่ฉันแบก

ให้ดีที่สุด

ความพยายามสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง เป็นธรรมดา
.
.
แต่อยากให้รู้

ฉันจะไม่ปล่อยให้คนบนบ่า ต้องเสียน้ำตาโดยง่ายดาย

ใครจะทำร้าย ก็ต้องผ่านร่างกาย ผ่านหัวใจ ผ่านฉันไปก่อน

ก็เป็นคนแบกนี่นา

หรือแม้พลาดพลั้ง ไม่อาจปกป้องคนบนนั้นได้

ฉันก็จะยอม ให้น้ำตาที่หลั่ง ไหลรินมาเปียกบ่า เปียกร่างกาย

ให้ฉันได้ร่วมรับรู้ความเจ็บปวด ให้ได้เปียกปอนไปด้วยกัน
.
.
เพื่อคนสำคัญ บางครั้งก็ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

เกินตัวไม๊..อาจใช่ในบางสถานการณ์

แต่คำว่าเกินตัว มักมาจากการมองของผู้อื่น

สำหรับฉัน ไม่มีคำว่าเกิน สำหรับคนสำคัญ

จะมีก็..ขาดไป เสียมากกว่า

.
.
คนสำคัญก็คือคนสำคัญ

อดีต ถึงปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลง

แม้บอกรักไม่บ่อย..ใช่ว่าจะรักน้อยลง



.
.
.
รักก็คือรัก

19 ธ.ค. 2554

ฉันเกลียดกลอนรัก

ฉันเกลียดกลอนรัก  ที่ทอถักด้วยถ้อยคำอันประณีตงดงาม

ฉันเกลียดกลอนรัก  ที่พร่ำพรรณนาถึงความหลังที่ฝังแน่นในหัวใจ

ฉันเกลียดกลอนรัก  ที่ประกาศให้โลกรู้ว่าความรักนั้นสวยงามเพียงไหน

ฉันเกลียดกลอนรัก  ที่เขียนโดยคนรักของฉัน  แต่ไม่ได้เขียน..เพื่อมอบให้ฉัน



ไม่สำคัญว่า เขาเขียนกลอนรักหวานซึ้งให้หญิงคนใดในโลก

ไม่สำคัญว่า หญิงในบทกลอนนั้น มีตัวตนจริงหรือไม่ อยู่แห่งหนตำบลไหน

ไม่สำคัญว่า เขากับหญิงนั้น ผูกพันลึกซึ้ง หรือเป็นเพียงคนึงหาที่ตราตรึงเขาเพียงถ่ายเดียว

ไม่สำคัญว่า เขาเขียนมันด้วยสัจจะจากหัวใจ หรือเพียงปั้นแต่งขึ้นตามอารมณ์

สิ่งสำคัญคือ ความโศกเศร้าเหลือประมาณ ของใครบางคน ที่ได้อ่านมัน



No entering into the site of Artyhouse
No more painful...

19 Dec 2011
@ Tillike & Gibbins

สัจจะ นิรันดร์

บางคน...ร่วมสุข ร่วมทุกข์

บางคน...ร่วมทุกข์  แต่ไม่เรียกร้องร่วมสุข

บางคน...ร่วมสุข และทำเพียงรับรู้ทุกข์

บางคน...สุข ทุกข์  เรื่องของมึง







หน้าฉันหมอง  บางคนไม่รู้ว่าหน้าฉันหมอง

หน้าฉันหมอง  บางคนทักว่าหน้าฉันหมอง

หน้าฉันหมอง  บางคนบอกให้ฉันเลิกทำหน้าหมองๆ

หน้าฉันหมอง  บางคนทำให้ฉันหน้าหายหมอง



17 ธันวาคม 2554
บน MRT จากศูนย์สิริกิติ์ ไป บางซื่อ

16 ธ.ค. 2554

รออะไร เมื่อใจอยากกลับไปเต็มทน

นานเท่าไหร่แล้ว


ไม่ได้พบเจอ


ไม่ได้สัมผัส อ้อมกอดอบอุ่น


ไม่ได้ลิ้มรส ฝีมือปลายจวัก ที่คุ้นเคย



เมื่อยังเด็ก  อ่อนต่อโลก เดียงสาต่อการใช้ชีวิต


ย่อมอยากรู้อยากเห็น อยากโบยบิน อย่างอิสระ


อยากยืนหยัดและเผชิญโลก ด้วยแข้งขาของตัวเอง



จากอกพ่ออกแม่  และสัญญาว่าจะกลับไป  ในสักวัน


ใครถามว่าความฝันอันสูงสุดคืออะไร


ก็ตอบโดยไม่ลังเล


"ได้กินกับข้าวอร่อยๆ ฝีมือพ่อแม่"



นั่นเป็นเพียงคำตอบคร่าวๆ ลวกๆ


แท้จริง เงื่อนไขที่ค้ำหนุน มีมากกว่านั้น



ต้องมีพร้อม


อะไรบ้างจึงจะเรียกว่าพร้อม



ทุนนิยม ฝังลึกลงในกมลสันดาน


ทั้งตัวเรา และคนรอบข้าง


ยากยิ่งนักที่จะแยกแยะ  ว่าอะไรคือตัวตน อะไรคือแต่งเติม



อยากทำงาน แล้วกลับบ้านไป มีความอบอุ่น คอยยิ้มต้อนรับ


ในทุกๆเย็น



งานเหนื่อยแค่ไหน ไม่ทำให้อ่อนล้า เท่าความเงียบเหงา


และอ้างว้าง  โดดเดี่ยว




ใครเลยจะมอบความอบอุ่นให้เราได้ เทียบเท่าผู้ให้กำเนิด


ใครเลยจะให้โดยไม่มีเงื่อนไข หรือคาดหวังสิ่งใดตอบแทน


ใครเลยจะบริสุทธิ์ใจ และทำทุกอย่างเพื่อเรา โดยไร้ข้ออ้าง หรือความกังขา


ใครเลยจะสม่ำเสมอในรัก...เฉกเช่นหัวใจสองดวงนั้น



คนอื่น วันนี้รัก พรุ่งนี้รักน้อยลง วันมะรืนรักมากขึ้น วันถัดไป ไม่รักอีกแล้ว


อะไรๆก็เกิดขึ้นได้


จะเอาอะไร  กับหัวใจคน


วันก่อนรักคนอื่น


วันนี้รักเรา


แล้วไฉน วันหน้า เค้าจะไม่รักคนใหม่



โคจรมาพบเจอ  ใช้เวลาร่วมกัน  มากบ้าง น้อยบ้าง


แล้วแต่บุญกรรม ทำร่วมกันมา


บางคน เป็นแค่เส้นตัด ที่ไม่อาจมีจุดบรรจบ


บางคน พบ แล้วทิ้ง..บางสิ่งไว้


แต่บางคน  พบแล้วผ่านเลย โดยไร้ร่องรอย



ใครเลย จะเคียงคู่ขนาน และร่วมหัว กลาง ท้าย ไปกับเรา


ได้อย่างแท้จริง



ทุกคนเกิดมาเพื่อดำรงอยู่


เพื่อลมหายใจของตนเอง


เป็นเรื่องธรรมดา



อย่าถือสา ถ้าบางครั้ง จะเกินเลย จนถึงขั้นเห็นแก่ตัว


มันพูดยาก และดูขมุกขมัว ไม่ชัดเจน ว่าเค้าเป็นเช่นนั้นจริง


หรือแค่คิดถึงคนอื่นน้อยเกินไป



ใครต่อใครว่า  ก่อนจะรักคนอื่น ให้รักตนเอง ให้เป็น..เสียก่อน


รักตัวเอง ใครๆก็ทำได้  แต่รักตัวเองให้เป็น  ยากยิ่งนัก



ตัวตนที่แท้จริง มักอยู่ลึกลงไป และเห็นได้พร่ามัว


จนบางครั้ง ก็ลืมมอง


ในขณะที่คนอื่น  กลับเห็นได้ชัด


และคนเรา ก็มักเลือกมองสิ่งที่มันชัดเจน


เพราะไม่ต้องใช้ความพยายามในการเพ่ง


ไม่ต้องเหนื่อย และไม่ต้องเสียสายตา



ชีวิตวันข้างหน้า  จะเป็นเช่นไร


เราจะกำหนดด้วยตัวเอง


จะเดินเพียงลำพัง


หรือจะเกาะแขนขาใคร


เราเท่านั้นเป็นผู้กำหนด



ความรู้สึกและเหตุผลปะทะกันบ้าง


เป็นเรื่องปกติ



ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ..ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง


โรส ร้องเอาไว้ ในเพลง  ก้อนหินในมือ



กำเอง เจ็บเอง  คิดเอง  ทำเอง  ทุกข์เอง


แล้วจะไปโทษคนอื่นทำไม




แด่ .. หัวใจที่เจ็บปวด
16 ธันวาคม 2554

25 พ.ย. 2554

You are my inspiration..

"ฉันนั้นต้องการ..เขียนตำนานให้หัวใจ

เพื่อจำจดไว้นานเท่านาน

สิ่งที่ฉันทำไป  จะเป็นเส้นทางให้ข้ามผ่าน

สู่จุดหมาย..ที่ตั้งใจ..ด้วยตัวฉันเอง"

= นาทีที่ยิ่งใหญ่ =



ฟังครั้งใด แรงขับในหัวใจเพิ่มขึ้นทุกที

แม้ในบางครั้ง ฟังแล้วจะตอบตัวเองไม่ได้

ว่านาทีนั้นของเรา..คืออะไร อยู่ในจุดไหน


ถามตัวเองว่าความฝันที่แท้จริง

และต้องทำให้ได้ ในชีวิตนี้ คืออะไร

คำตอบมีมากมายเหลือเกิน


บางครั้งก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้

ว่าทำไม ถึงได้แตกแขนงความต้องการของตนเอง ออกเป็นหลายเส้น หลายสายนัก

และแต่ละสาย ก็มักไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงกันแต่ประการใด


มีหลายคนที่เป็นแรงบันดาลใจ

รวมถึงหลายเพลง  หลายสิ่ง หลายเหตุการณ์ตัวอย่าง

อาจเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยแต่ละอย่างมาเข้าไว้ด้วยกัน

รวมเข้าเป็นคน ๆ เดียว


ขณะนี้ กำลังบ้าคลั่ง ศิลปิน

คงอารมณ์คล้าย ๆ เด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่หลงใหลบอยแบนด์เกาหลี

แต่ต่างกันตรงที่ เราหลงใหล คน ๆ เดียว

solo jazz saxophonist - Kenny G

ตามอ่านประวัติ search รูป โหลดเพลง สมัครสมาชิก website ของเค้า

และคาดหวังให้เค้า มาเมืองไทยเร็ว ๆ


Kenneth Bruce Gorelick

ชื่อเรียกยากพอสมควร จึงย่อ ๆ เป็นว่า Kenny G

ถ้ามีโอกาสมีลูก อาจตั้งชื่อลูกตามเค้า หนูน้อย เคนนี่

(แม้หน้าตาเราจะไม่สามารถผลิตลูกที่มีหน้าอย่างเค้าได้ก็ตาม)


Loving You

Going Home

Havana

and .. The Moment

.
.
.

My new inspiration

21 พ.ย. 2554

หม่น มูราคามิ..Norwegian Wood

หลายวันที่ผ่านมา

อารมณ์ขุ่นมัว หม่นหมอง หงุดหงิด

อาจเพราะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเป็นด้วย

อารมณ์ขึ้นๆลงๆตามฮอร์โมนในร่างกาย

และอาจเพราะ ปัจจัยภายนอกอีกหลายสิ่ง


เพิ่งอ่านมูราคามิจบ

เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านผลงานของนักเขียนคนนี้

เคยได้ยินชื่อมานาน  รู้มาบ้างว่าหนังสือเป็นแนวไหน

ได้อ่านเอง ซึมซับเอง

ที่ได้ยินมานั้น  ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง


อ่านหนังสือเล่มหนา

ด้วยความคิดที่เหมือนถูกแบ่งแยก

เหมือนว่า ไม่เพียงแค่อ่านและอินไปกับตัวละคร

เรายังต้องคิด และหม่นหมองไปในตัวตนของเราเอง

เหมือนว่ากายนี้ ไม่ใช่ของเรา

เหมือนว่าความคิด จิตวิญญาณ และร่าง

มันแยกออกจากกันอย่างชัดเจน

ถามหาอะไรบางอย่าง

ที่ก็ไม่รู้ ว่าคืออะไร

อิสระ ความสุข ความคิด ความฝัน

ขบคิดไป 

แบบไหนที่อยากเป็น

คนแบบไหนที่อยากเดินเคียงข้าง

พอใจกับชีวิตแล้วหรือยัง

ดำรงตนเช่นไรให้ชีวิต มีความหมาย

และไม่เสียดาย หากว่าต้องตาย ในวันพรุ่งนี้



ช่วงเวลาที่เหมือนว่าอะไรๆในชีวิต

ไม่พอดี

ไม่รู้ว่าไม่พอดีในตัวมันเอง

หรือเพราะเราเองที่ไม่พอใจ

คงทั้งสองอย่างรวมๆกัน

อยากเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน

อยากมีอิสระ

อยากเดินทาง

แต่หลายสิ่ง ทำให้ไม่อาจก้าวขาออกไปได้ดั่งใจคิด

ติดที่หลายๆคน  ซึ่งเราเป็นห่วง

ชีวิตเราไม่ใช่ของเราคนเดียว

มีหลายคน ผูกติดกันไว้

ปัญหาคือ

การเดินทางของเรา การเปลี่ยนแปลงของเรา

จะกระทบถึงคนเหล่านั้นหรือไม่

ถ้าไม่กระทบก็ดีไป

แต่จะคิดยังไง ก็มีวี่แววว่าจะกระทบอยู่ดี




ในบางครั้ง ก็อยากกองเหตุผล เอาไว้ตรงนั้นแหละ

อยากหยิบเอาแค่อารมณ์และความฝันมาเดินเคียงข้าง

แต่เจ้าตัวเหตุผล มันชอบตะโกนขึ้นมาประท้วงสิทธิของมันอยู่เรื่อย

"แกจะทิ้งๆขว้างๆฉันได้ยังไง

ขาดฉันไป แกจะเป็นคนไร้เหตุผลนะยะ"

สุดท้าย ก็ต้องกลับไปหยิบมันขึ้นมาอยู่ดี

เจ้าตัวนี้ ร้ายกาจจริงๆ


แท้แล้ว เราก็ไม่เคยคิด

ว่าชีวิต  มีอะไรๆแค่นี้

ทำงาน 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง

ที่เหลือก็กิน นอน อ่าน เล่น เที่ยว

มันง่ายมากที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับวงจรอุบาทว์เช่นนี้

ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น


ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการของสายตาและความคิดผู้อื่น

อย่างที่วาตานาเบะเป็น

ปล่อยความคิดให้ล่องลอย จินตนาการสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง

อย่างที่มิโดริทำ

บางเวลา เข้มแข็ง บังคับตัวเอง เพื่อกำชัยชนะให้ได้

อย่างนางาซาวะ

แต่ไม่ว่ายังไง  อย่าทำอย่างนั้น

อย่างคิซึกิ และนาโอโกะ



อย่าเป็นบ้าเรย 


แด่..Norwegian Wood

14 พ.ย. 2554

เพียงผู้เดียว

โตรึยัง?

ถามตัวเองหลายครั้ง

โตแล้วดิ..ยังมั้ง..ไม่หรอก..ไม่รุ

ก็ตอบตัวเองไปงั้น ๆ

ตามแต่อารมณ์ในขณะนั้นจะนำพา

แต่สุดท้าย เราก็ต้องตระหนักได้ว่า

แม้เราจะไม่อยากโต เราก็ต้องโต

มันเป็นสัจธรรม


เราต้องเกิด  ต้องโต ต้องแก่ ต้องตาย

ระหว่างทางนั้น ก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย

ไม่ว่าจะกายหรือใจ

หลีกเลี่ยงหาได้ไม่

ทำได้เพียงยอมรับ ความเป็นจริง

และรู้เท่าทันมัน

ผ่านมันไปให้ได้



เราเกิดมาเพียงผู้เดียว

โตมาเพียงผู้เดียว

และเราก็จะต้องตายไปเพียงผู้เดียว

ไม่สามารถพาใครมาเกิดด้วย

และไม่สามารถพาใครไปตายด้วยได้

แม้ตายพร้อมกัน ที่เดียวกัน เหตุเดียวกัน

ก็ไม่แน่ว่าจะได้ไปต่อด้วยกัน



รักใครมากแค่ไหน

ประหนึ่งว่าจะมีชีวิตไม่ได้เมื่อขาดเขา

ก็ต้องกลับมาที่จุดเดิมอยู่ดี

สักวัน...ต้องมีการจากลา

จากเป็น  หรือ จากตาย  ว่ากันอีกที



วันก่อน เขารักเรา  เรารักเขา

รักกันปานจะกระเดือกลงคอ

วันต่อมา  ไปให้ไกลๆตีนกู

วันก่อน ไม่ว่ายังไง ฉันจะรักเธอ

วันต่อมา  เธอไม่รักฉัน ฉันก็จะเลิกรักเธอ

วันก่อน  ทำดีต่อกันสุดชีวิต

วันต่อมา  เข้าใกล้กูอีกนิดจะถีบให้

...

ไม่มีอะไร  ไม่เปลี่ยนแปลง

เข้าใจ และ ยอมรับมันเสียเถิด

แกะน้อยเอ๋ย


คนสำคัญในชีวิต

เปลี่ยนแปลง และสลับตำแหน่งได้เสมอ

วันก่อนสำคัญ

ไม่ได้หมายความว่าจะสำคัญตลอดไป

ใจเขาเปลี่ยนได้  ใจเราก็เช่นกัน


อย่าคาดหวังว่าผู้ชายหน้าไหนจะมอบใจให้เราตลอดไป

และอย่าคิดว่า มิตรภาพใด ๆ จะคงอยู่ต่อไปถาวร

ยืนเพียงผู้เดียว

หายใจเพียงผู้เดียว

ตายไปเพียงผู้เดียว

.....

ผู้เดียวเท่านั้น

11 พ.ย. 2554

ครั้งสุดท้าย

ทำให้แม่เสียใจอีกแล้ว

แม้ว่าตั้งแต่เกิดมา จะได้ชื่อว่าเป็นลูกที่ดี

ทำพ่อแม่หน้าบานได้เสมอ

แต่ก็ต้องมีบ้าง..ที่ทำอะไรขัดใจ

แม่ไม่เคยว่า แม่เคารพการตัดสินใจเสมอ

ลูกอยากทำอะไร ก็ทำ

ลูกอยากเดินทางไหน  ก็เดิน

แม่คอยมองอยู่ห่าง ๆ

ไม่ใกล้ ไม่ไกล

ส่งแรงใจมาเป็นระยะ ๆ  ว่า

"ลูกแม่ต้องเข้มแข็ง"

..

..

เหมือนมีเส้นใยบาง ๆ ที่เหนียวแน่น

สายสัมพันธ์แม่ลูกจะบอกได้ว่า

ตอนนี้มีความสุขดี หรือมีเรื่องอะไรในใจ

อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม

ถ้าอยากเล่า ก็จะเล่าออกมาเอง

แม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เราจำความได้

ไม่เคยถามเกรด ไม่ถามว่าเพื่อน ๆ  เป็นยังไง

ไม่ถามว่ามีแฟนไม๊  ไม่ถามว่าคุยโทรศัพท์กับใครดึก ๆ  ดื่น ๆ

ยิ้มแย้มหัวเราะร่า  หรือนั่งหน้าตาย  น้ำตาซึม

แม่ก็ไม่เคยถามว่าเป็นอะไร


แต่ถ้าเราอยากกอดแม่  อยากร้องไห้

แม่ก็จะมีอ้อมกอดอบอุ่นไว้ให้เราเสมอ

แม่จะเช็ดน้ำตา และบอกว่า เข้มแข็งนะลูกนะ

ไม่ร้อง  เงียบซะนะ

แม่ทำให้รู้ว่า น้ำตาของเรา มีค่า


แม่รู้ตลอด ว่าเราเป็นอะไร

แต่ไม่เคยคาดคั้น หรือเค้นถามว่า เพราะอะไร

เอาตามความสมัครใจ

แม่เชื่อมั่นในตัวลูกเสมอ

.
.
.
แต่ก็หลายครั้ง

ที่สัมผัสได้ว่า แม่คาดหวัง

บางสิ่งบางอย่าง

แม่ไม่พูด เพราะไม่อยากบีบบังคับ

ให้เราต้องทำตามใจใคร

แม่ตามใจเรา

และเรา ก็มักเลือก สิ่งที่ไม่ใช่ความต้องการของแม่

แม่ไม่ว่าอะไร

ไม่เป็นไร  ลูกเป็น หรือทำอะไรก็ได้ 

แค่ไม่เดือดร้อนตัวเอง ไม่เดือดร้อนใคร

แม่เคียงข้างเราเสมอ

การตัดสินใจครั้งนี้

จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทำให้แม่ผิดหวัง

รอก่อนนะแม่จ๋า

อีก 2 ปี เราจะถ่ายรูปด้วยกัน

ปริญญาใบต่อไป

แด่คนสำคัญที่สุดในชีวิต


รักแม่

9 พ.ย. 2554

ก่อนตาย

พ่อ แม่ น้อง

โดดบันจี้จัมพ์

หนังสือซักเล่ม

หีบเพลงปาก

ยุโรป

ถ่ายรูป

ร้อยมาลัย

หน้าหนาวบนยอดเขา

ครูบนดอย

วัดพระบาทน้ำพุ

อิสระ

ดนตรี

เซ็กส์ร้อนแรง(สุดๆ)

กอด

กินลม

ท้องฟ้า

เดินป่า

ก๋วยเตี๋ยว

ขนมจีนน้ำเงี้ยว ฝีมือยาย และ/หรือ แม่

ห้องสมุด

คีย์บอร์ด

.
.
.
.
.
.
.
.
.
สงบ

7 พ.ย. 2554

น้ำท่วม

ไม่อยากพูดเรื่องน้ำท่วม

คนพูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง

รู้จริงบ้าง รู้ไม่จริงบ้าง

บ่นให้ฟังบ้าง 

วิพากษ์สถานการณ์บ้าง

ปรึกษาหารือบ้าง

แนะนำสั่งสอนบ้าง

คาดคะเน(มั่วๆ)บ้าง

พูดเองเออเองบ้าง

จำเค้ามาพูดบ้าง

ขุดคุ้ยหาตัวการบ้าง

โกรธเกลียดขัดแย้งบ้าง

ทำไมไม่ทำอย่างนั้นบ้าง

ทำไมไม่ทำอย่างนี้บ้าง

ฝั่งนั้นน่าจะท่วมบ้าง

ให้มันรู้ซะบ้าง

เอาน้ำออกไปจากบ้านกูบ้าง

ใช้สมองบ้าง
.
.
.
.
กลัวจะเป็นหนึ่งในข้างต้นบ้าง

กลัวจะเผลอพูดโกหก พูดเสียดสี พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ

เลยไม่อยากพูด

ถ้าจะท่วมก็ท่วม

ไม่ท่วมก็ไม่ท่วม

เรื่องธรรมชาติอย่างแท้จริง

ปล่อยไปตามแต่เหตุที่ควรจะเป็นและต้องเป็น

สิ่งที่ทำได้ ...


ทำใจให้เข้มแข็ง

ดีกว่า


บ้าง

นิ่งบ้าง


ปิดหู  ปิดตาบ้าง


ฟังเสียงหัวใจตัวเองบ้าง

 
ตามใจตัวเองบ้าง


กล้าๆขัดใจคนอื่นบ้าง


ทำตามสัญชาตญาณดิบต้วเองบ้าง


ระบายอารมณ์บ้าง


ลองท่าใหม่ๆบ้าง


เงียบๆบ้าง


เป็นมิตรกับความโง่บ้าง


ปล่อยบ้าง


วางบ้าง


ช่างหัวมันบ้าง


ระเบิดระบายมันออกมาบ้าง




 
รักตัวเองบ้าง


น่าจะดี

2 พ.ย. 2554

ดาหลา

ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
ไปอยู่ต่างจังหวัด
เป็นการไปแบบไม่ทันตั้วตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ
ก่อนไป หงุดหงิด เพราะอารมณ์ลึกๆก็ไม่ได้อยากไป
รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง
นั่งถามตัวเองทั้งวันว่า ยอมรับกับสิ่งเหล่านั้นได้ไหม

ขณะที่คิด มือก็ยุ่งกับการเคลียร์งาน

สุดท้าย วันรุ่งขึ้น เราก็ขึ้นรถไฟ
ไป อุดรธานี

ลืมเอาโทรศัพท์ไป
ความจริง พักหลังๆมานี้ ก็ลืมโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ
เพราะไม่ค่อยได้สนใจมันเท่าไหร่
ไม่ได้คุยกับใคร วันๆหนึ่ง มีสายโทรเข้า โทรออก น้อยมาก

แต่วันนั้น เป็นการลืม ที่เป็นความผิดพลาด

รู้ว่าจะต้องมีคนเป็นห่วง
รู้ว่าใครบ้าง ที่จะกระวนกระวาย เมื่อเราหายไป

ได้แต่ขอโทษคนเหล่านั้นอยู่ในใจ
เพราะทำอะไรไม่ได้

ไม่อยากยืมโทรศัพท์ของคนอื่น
เกรงใจ
และแถวนั้น ก็ไม่มีตู้โทรศัพท์

ในหัวมีเรื่องวนไปวนมาไม่เท่าไหร่

ทุกเย็น จะไปขี่รถเล่น
มองท้องฟ้า
สูดอากาศ
ยลกลิ่นดอกดาหลา

รู้สึกคุ้นเคย ทั้งที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก

แปลกใจอยู่หลายครั้ง
ที่ความคิดความอ่านบางช่วง เปลี่ยนแปลงไป
มองอะไร แตกต่างไปจากเดิม
อาจเพราะไฟที่กำลังลุกโชน
จากการไปเข้าค่ายนักเขียนมากระมัง

สงสัยตัวเอง เริ่มรักการมองท้องฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่
จำไม่ได้
รู้ตัวอีกที เผลอทีไร สายตาไปจินตนาการอยู่กับก้อนเมฆ
และเส้นแสง ลวดลาย สีสัน บนท้องฟ้าเสียแล้ว

ถ่ายรูป ก็ชอบถ่ายท้องฟ้า

ไปเดินงานหนังสือ เล่มแรกที่จ่ายเงินซื้อ
ก็คือ หนังสือก้อนเมฆ
เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยชนิดของเมฆบนท้องฟ้า

งดงามมาก และอยากเห็นด้วยตาตัวเอง

ความรู้สึกนี้ อาจซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

ความจริง เราก็เป็นคนซึมซับอะไรง่ายเหมือนกัน
อยู่ใกล้ใคร จะได้เงาของคนนั้น มาบดบังเงาตัวเอง
ไม่มากก็น้อย

นานๆไป ก็กลายเป็นเงาของตัวเองโดยสิ้นเชิง

การมองท้องฟ้านี่ก็เช่นกัน

เพราะเธอคนนั้น สร้างสรรค์ช่วงเวลาดีๆ
ด้วยการพาเรามองท้องฟ้า

ขอบใจนะ

กลิ่นดอกดาหลา
มักจะหอมอบอวลในตอนเย็น
เป็นความหอมประหลาดๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกดี
อบอุ่นใจ เหมือนได้อยู่ใกล้ๆบ้าน

คิดถึงแม่
แม่คงเป็นห่วง
คิดถึงพ่อ
พ่อคงหงุดหงิด

ทั้งสอง ติดต่อลูกสาวไม่ได้

คิดถึงเธอ
จะอยู่อย่างไร ในที่นั้น เพียงลำพัง

ขอโทษพ่อ ขอโทษแม่ ที่ทำให้เป็นห่วง
การเป็นห่วงใครสักคน มันทรมาน
ทำให้พ่อแม่ทรมาน
เป็นบาป

ขอโทษเธอ
ปล่อยเธออยู่เพียงลำพัง
ในช่วงเวลาเช่นนี้
เธอจะมีข้าวกินไหม มีน้ำดื่มไหม ออกไปไหนได้ไหม
น้ำท่วมเธอไหม
ขอโทษจริงๆ

อยากกลับบ้าน
อยากกินข้าว กินกับข้าว ที่พ่อแม่ทำ
คิดถึงพ่อแม่จับใจ

ในยามที่กลิ่นดาหลาโชยมา

โพล้เพล้ทีไร อาการเหงา และการคิดถึงบ้าน
มักรุนแรงขึ้น
กัดกินหัวใจ
และร่ำๆจะทำให้เสียน้ำตา
ได้ทุกที




20 ต.ค. 2554

เข้าค่าย

พรุ่งนี้ มีกำหนดต้องไปเข้าค่าย 4 วัน 3 คืน
TK Young writer รุ่น 3
ชื่อว่า ยัง ไรท์เตอร์
ยังได้ไปอยู่ เพราะอายุยังไม่เกิน
อาจจะเป็นค่ายยัง ค่ายสุดท้าย สำหรับชีวิตนี้แล้วก็ได้

เราชอบเข้าค่าย
มีค่ายอาราย เห็นชื่อน่าสนใจ ก็ไปหมด
เข้าค่ายมาก็พอสมควร
แต่ไม่กล้าพูดว่าเยอะ เพราะความจริง อาจมีคนเยอะกว่าเรา

บางสิ่งบางอย่าง ทำไป ทำมา
คิดว่าตัวเองทำเยอะแล้ว
แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
อาจเป็นว่า เราคิดไปเอง ลำพองตนไปเอง

เลยต้องพยายามลด
ลดอารายที่อาจทำให้ตัวเอง ดูตัวใหญ่เกินว่าความเป็นจริง

ผ่านพ้นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
ก้าวเข้าวัยทำงานเต็มตัว
แต่ยังคงเล็ง มอง ค้น คุ้ย หาลู่ทางที่จะกลับไป..

ไปเรียนอีกครั้ง เป็นนักศึกษาอีกครั้ง
แม้ครั้งต่อไป จะให้ความรุสึกไม่เหมือนครั้งก่อนๆก็ตาม

เรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เราเชื่ออย่างนั้น

ไม่มีอะไรมากแล้ว ไม่มีอะไรพอแล้ว

เพราะการแสวงหาความรู้ คงไม่เหมาะ
ถ้าจะบอกว่าพอ โดยอ้างว่า รู้แล้ว
เรียนมาเยอะแล้ว
เช่นนั้น อาจเอาตัวไม่รอดก็ได้

เข้าค่ายครั้งนี้
ไม่ค่อยตื่นเต้น
จะว่าไป ก็แทบไม่มีความรุสึกอย่างนั้นเลย
หายไปไหนไม่ทราบได้

ตั้งใจว่าจะเข้าไปละลายพฤติกรรมตัวเอง
และดูดซับเอาพลัง และความฝัน
กลับมาอีกครั้ง
ไม่อยากให้ไฟที่เคยมี มอดดับไป ก่อนวัยอันควร

บางเวลาก็รู้สึกไม่ดี
ไม่อยากไป ในเวลาเช่นนี้
มีพี่ที่ทำงานชวนไปเป็นอาสาช่วยน้ำท่วมหลายที่
แต่ไม่ได้ไป ต้องปฏิเสธทุกคำเชิญชวน
เจ็บปวดอยู่เหมือนกัน
เวลาของวันหยุดยาว
เราอาจใช้เพื่อช่วยใครหลายๆคนได้
แต่เราก็เลือก แบบเห็นแก่ตัว
เลือกไปนอนโรงแรม ตักตวงความรู้
ทั้งที่รอบนอก แทบไม่มีที่ซุกหัวนอนกันแล้ว

มีพี่คนหนึ่ง ชื่อเอฟ
บ้านอยู่แถวดอนเมือง
เราเพิ่งได้คุยกับพี่เค้าเมื่อไม่กี่วันมานี้
ทั้งที่ทำงานมาก็ 5 เดือนแล้ว
อาจเพราะหน้าที่เราสองคน ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

พี่เอฟไปช่วยน้ำท่วม
ไปขนของที่บ้านพี่อีกคนที่นนท์
ไปเกือบทุกวัน เรียกให้ไป ไม่เคยปฏิเสธ
วันก่อน ชวนไปทำกระสอบทรายที่สายไหม
งานที่ผู้ว่ากทม อยากได้กระสอบทราย หนึ่งล้านสองแสนกระสอบนั่นแหละ
พี่เอฟถือเป็นผู้ชายตัวเล็ก
แต่ตั้งใจว่า จะไปทั้งคืน

เราก็อยากไปนะ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ
จึงไม่มีโอกาส ทำตามที่อยากทำ

วันนี้ มีข่าวว่าน้ำจะเข้าดอนเมืองแล้ว
พี่เอฟยังคงมาทำงาน แต่คุยโทรศัพท์ติดต่อที่บ้านตลอด
คืนนี้ พี่เอฟกลับบ้าน
เป็นการกลับไปนอนที่บ้านคืนแรก ในรอบหลายคืน
ที่ไปตระเวนช่วยน้ำท่วม
และได้ข่าวแว่วๆว่า พรุ่งนี้
ซึ่งเป็นคืนวันศุกร์ เขาก็จะไปตระเวนอีกทั้งคืน

ขอนับถือน้ำใจ..สุภาพบุรุษตัวเล็กๆ

เขาเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ
ในทุกอิริยาบถที่เราได้อยู่ใกล้ๆ
พูดไม่มาก ยิ้มไม่เยอะ
แต่ดูอบอุ่น และมีน้ำใจ


เก็บของมาบริจาค
มีเสื้อ 7 ตัว ซื้อใหม่
เป็นเสื้อตัวใหญ่ๆ เล็กๆ คละกันไป
กะให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
มีกางเกงชั้นในเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง และผู้หญิง
ผ้าอนามัย
ผ้าห่ม 2 ผืน
ผืนหนึ่งแม่ซื้อให้ตอนย้ายหอเมื่อครั้งขึ้นปี 3
อีกผืนเป็นสีทอง พระอาจารย์ที่เคยสอบอารมณ์ให้มา
เป็นของขวัญวันบวชชี

มีความทรงจำฝังลึกทั้งสองผืน
แต่ความทรงจำเหล่านั้น เก็บไว้ได้
ในใจ ไม่ได้ติดอยู่ที่ผ้าทั้งสองผืน
จึงตัดสินใจ เอาไปบริจาค
ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เขาคงหนาว
ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน
ไม่มีผ้าห่มคลุมกาย
ฝากพี่เอฟไปจัดการให้

เพราะเมื่อเที่ยงเอาไปที่จุดรับบริจาคของเทสโก้ โลตัส
เค้าไม่รับ
บอกว่า รับแต่ข้าวสารอาหารแห้ง
เลยต้องขนเครื่องนุ่งห่มกลับ

ฟากหนึ่งก็เข้าใจ ว่าประสานงานยาก จัดใส่ถุงยังชีพยาก
แต่อีกฟากหนึ่งของความคิดก็เถียง
แล้วผู้ประสบภัยเค้าไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่เปลี่ยนชั้นใน
ไม่ห่มผ้าเวลาหนาวกันรึยังไง

ปัจจัยสี่ ไม่ได้มีแค่อาหาร เพียงอย่างเดียวนี่นา

เอาเถอะ
เค้าไม่รับ ก็ไม่ได้ยัดเยียดให้ไปจัดการหรอก
เผลอๆอาจไม่ถึงมือผู้ประสบภัยตัวจริงด้วย
เสียของเปล่าๆ
คนสมัยนี้ ไว้ใจง่ายๆไม่ได้อีกแล้ว

แม้กระทั่งผู้ดูภายนอกเป็นคนดี
บางครั้งก็ไม่ได้ดี
อันนี้ ใครๆก็รู้
ถึงมีคำเตือนอยู่เสมอว่า อย่าดูคนแต่เพียงภายนอก
และอย่าดูสั้นๆ  ให้ดูกันนานๆ

ช่างเขาเถอะ ใครจะเป็นอะไร ยังไง ทำไม ก็ช่างเขา
เมื่อเขาไม่ใช่พ่อแม่ หรือญาติผู้มีพระคุณ ก็ปล่อยเขาไป
สักวัน ผลกรรมก็ตกแก่ตัวเขาเอง
เราแค่มอง แล้ววาง

ทำหน้าที่ของเราต่อไป
เดินตามฝันของเราต่อไป
ประคองตนของเราต่อไป ให้ถูกให้ควร
แค่นี้ก็เหนื่อย ก็ยากแล้ว

ไหว้พระ ทำบุญ ทำทาน ก็อธิษฐานตลอด
เป็นคำอธิษฐานเดียว
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้แค่ปัจจุบัน นึกคำอธิษฐานอย่างอื่นไม่ออกเสียแล้ว

ทำบุญกับพระ ทำทานกับคน
ให้สมดุลทั้งศาสนาและมนุษยธรรม
พยายามไม่เลือก ไม่แบ่ง ไม่แยก ไม่ลดชั้น หรือเพิ่มขั้นให้ใคร สถาบันใด
ใครเอาซองมาฝาก ก็ใส่
มากน้อยตามแต่กำลัง
มีบ้างที่ดูวัตถุประสงค์
เขาเอาไปทำอะไร
เพื่อจะได้ตัดสินใจ ว่ามีอะไรที่สมควรทำมากกว่าหรือไม่
แต่ท้ายสุด เมื่อเจตนาเขาดี เราก็ร่วมอนุโมทนา

ไม่ได้คิด หรือชั่งใจ จากผู้ให้ซอง
คิดและไตร่ตรองจากวัตถุประสงค์เป็นหลัก
ผู้ส่งต่อบุญ อาจดูไม่ดี
ไม่ได้หมายความว่า ที่แห่งนั้น ไม่ดี ไม่คู่ควร
ในทางกลับ ก็เช่นกัน

เมื่อให้ ก็จะให้อย่างเต็มที่
พยายามให้เป็นเช่นนั้น จริงๆ

แต่เมื่ออยู่ในสถานะเป็นผู้ส่งต่อบ้าง
เขาจะร่วมอนุโมทนากับเรามากน้อย
ก็สุดแล้วแต่เขา

เรามีหน้าที่แค่ร่วมเผยแผ่
ไม่ใช่ขูดรีดเลือดเนื้อใคร
อย่าคิดมาก เมื่อคนที่เราชักชวน ไม่ได้ศรัทธาไปกับเรา
ดั่งที่เราคาดหวัง
เพราะต่างคน ต่างมีวิถีทางของตนเอง

เราอาจบรรจบกันบ้างในบางจุด
แต่ไม่ใช่ตลอดทั้งเส้นแน่นอน

ที่ๆเราไม่อยากไป
เป็นคนละที่กับที่ๆเราไม่กล้าไป

หากเราไม่กล้าไป แต่จำเป็นต้องไป สุดท้าย เราก็ต้องไป
แต่หากเราไม่อยากไป แม้จำเป็นต้องไป เราก็จะเลี่ยง ไปที่อื่น ซึ่งสนองความจำเป็นของเราได้

ที่ๆเรากลัว ตอนนี้ยังนึกไม่ออก ว่ามีที่ใด
แต่ที่ๆเราไม่อยากไป เกิดขึ้น
เพราะความรังเกียจ ขยะแขยง หลายๆสาเหตุ
หล่อหลอมให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี แม้เพียงแค่นึกถึง
นั่นจึงทำให้เรา เลือกที่จะไม่เข้าไป

เช่นเดียวกับที่เรา ไม่ชอบใคร ก็ให้ห่างผู้นั้นไว้
ปิดหู ปิดตา
แก้ที่เขาไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเรา

ที่นั่นยังคงอยู่ เราก็แค่ ต้องแก้ด้วยการไม่ไป
คนที่เราไม่ชอบ ของที่เราเกลียดชัง
เมื่อเขาหรือมันยังคงอยู่
เราก็ต้องมาขจัดออก ที่ใจเรา

ดีที่สุด

"
ขอให้บุญบารมีใดๆที่ลูกได้เคยกระทำทั้งในชาติปางก่อนและในชาตินี้
ช่วยปกปักษ์รักษาให้ลูกตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี
คิดดี พูดดี ทำดี
หากเมื่อใดที่ลูกจะคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว
ก็โปรดช่วยเตือนสติ ช่วยหยุดยั้งลูก
ให้ลูกมีสัมมาทิฐิ อย่าให้ลูกเห็นผิดเป็นชอบเลย
สาธุ....
"

19 ต.ค. 2554

ซีโมนตอนเด็ก



ฉันเห็นเธอครั้งแรก แววตาเธอเหมือนจ้องมองฉัน
ท่ามกลางความวุ่นวาย ผู้คนพลุกพล่าน
เธอทำให้ฉันสงบนิ่ง
ท่ามกลางความเมื่อยล้า เหน็ดเหนื่อย หงุดหงิด สับสน
เธอทำให้ฉันยิ้มได้

ไม่ใช่ความขบขัน
ไม่ใช่การเยาะเย้ย
ฉันเอ็นดู
สงสารไหม ไม่น่านะ

ฉันอยากพบตัวจริงของเธอ
แต่ไตร่ตรองดูอีกที
ตอนนี้ เธอคงไม่ใช่หมาน้อย หน้าตาแบบนี้ อีกแล้ว

ฉันเฝ้ามองเธอ โดยไม่จินตนาการ
ไม่สนใจว่าแท้จริงแล้ว ณ ปัจจุบัน เธอคือใคร อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร

วินาทีที่ฉันใช้ร่วมกับเธอ
มีแค่ การประสานสายตา
และรับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการจ้องมอง
เท่านั้นเอง

แด่..ซีโมนตอนเด็ก
(ได้มาจากงานมหกรรมหนังสือ 2554 บูธสำนักพิมพ์คมบาง)

13 ต.ค. 2554

วันเกิด

วันนี้ พ่อโทมาแต่เช้า
"สุขสันต์วันเกิดลูกสาว"
น้องก็บอกเหมือนกัน
"Happy Birth  Day ค๊าบ"

ความจริง พ่อโทมาตั้งแต้ต้นเดือน
แฮปกันล่วงหน้าเสียยาวนาน
กลัวโดนแย่งที่หนึ่งกระมัง

แต่นั่น ก็เป็นกำลังใจ
ที่ยอดเยี่ยม ในยามอ่อนแอ

ช่วงนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเข้ามากระทบจิตใจ
ทั้งร่างกายก็ไม่แข็งแรง
แต่ก็เอาเถอะ ไม่ถึงตาย ก็สุู้กันไป

เดือนนี้ ทำบุญเยอะมาก ก็ช่วงกฐิน
อีกทั้งน้ำท่วม
ทำบุญจนกรอบ ตั้งแต่กลางเดือน
แต่ก็รู้สึกดี
ไม่ใช่ดีที่ไม่มีกิน
ดีที่ได้แบ่งคนอื่นกินบ้าง
คนอื่นเค้าลำบากกว่าเรา
ก็ช่วยๆกันไป
ไม่ได้ตั้งใจเอาบุญ
ตั้งใจช่วยคนให้พ้นทุกข์เสียมากกว่า

เอาบุญ ค่อยไปเอาอย่างอื่น
ที่ถูกที่ควร

วันนี้ มาออฟฟิศ
คนแฮปปี้เบิร์ดเดย์ตั้งแต่เช้า
และทั้งวัน
ไม่ค่อยได้งาน
เพราะมัวแต่ตอบเมลที่ส่งมาอวยพร
แล้วก็สนทนากันยาวไปด้วยเรื่องอื่นที่มีความสนใจร่วมกัน
หลายคน
หลายเมล
หลายเนื้อหา
แต่ก็ต้องขอบคุณ
ที่มีคนใส่ใจ
ไม่นึกว่าจะเยอะขนาดนี้
ทั้งที่วันเกิดของเค้าผ่านไป
ฉันก็ไม่ได้แฮปเค้าด้วยซ้ำ

ถือเป็นอีกวัน
ที่มีความสุข เมื่ออยู่ที่ทำงาน

ความจริง ฉันแทบไม่ได้สนใจ
เผลอๆบางปี ลืมไปเลยว่า
...เอ้า 13 ตุลาแล้วหรอ
เพราะโดยตัวมันเอง
13 ตุลา ไม่ได้สำคัญอะไร
แต่มันเป็นวันพิเศษกว่าวันอื่นขึ้นมาได้
ก็เพราะมีคนอื่น ทำให้ฉันรุสึกว่ามันพิเศษ

จะเป็นเช่นนั้นทุกปี
บางปี พิเศษจนรุสึกผิด
กับบางคน
ที่อวยพรให้ฉันทุกปี
แต่ไม่มีสักปี ที่ฉันจำวันเกิดเค้าได้

รุสึกผิดมันทุกปี แต่ก็ลืมมันทุกปี
นิสัยแย่ๆ ที่แก้ไม่หาย

ถึงอย่างไร ฉันก็ไม่ลืมหรอกนะ
ว่าใครจำวันเกิดฉันได้บ้าง
ใครที่ยืนมองฉันอยู่ห่างๆ
และเข้ามาใกล้เมื่อโอกาสอันเหมาะสมมาเยือน

ความจริง คนเหล่านั้น ก็หน้าเดิมๆ
มักเป็นคนที่พร้อมจะเข้ามา
เมื่อฉันมีปัญหา
หรือต้องการความช่วยเหลือ
มักเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างห่างๆ
ส่วนเปงห่วงด้วยไหม
อันนี้ก็ไม่ทราบ
แต่ก็ขอบคุณ
สำหรับความรุสึกดีๆ และการไม่ทอดทิ้ง

บางคน มาเป็นเวลาประจำเสมอ
คนที่จองเป็นคนแรก ก็มักเป็นคนแรก
คนที่จะจองเป็นคนสุดท้าย
ก็มักมาเป็นคนสุดท้าย
ไม่รุทำไม
มีหลายคน แย่งกันอยู่ตำแหน่งนี้

บางคน แข่งขันสูง ถึงขนาดล่วงหน้ามาเป็นสัปดาห์
บางคน ล่วงหน้ามาเป็นหลายวัน
ฉันก็อดขำไม่ได้
อารายจะขนาดนั้น

ของขวัญ
ไม่เคยคาดหวัง
ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
แต่ส่วนใหญ่จะได้
ไม่ใครก็ใคร

มีปีหนึ่ง ได้กินเค้ก 2 ก้อน
ดีที่เป็นเค้กไอติม กับเค้กปอนด์
ถ้ามาเป็นเค้กไอติมทั้งคู่
เอิ่มมมม...

อิ่มหนำสำราญกันไป
ช็อกโกแลตล้วนๆ
แต่น้ำหนักก็ไม่ขึ้นอยู่ดี

ปีนี้ กินเค้กไอติมไปแล้วหนึ่งก้อน
อิ่ม อร่อยดี
ขอบคุณพี่ๆและเพื่อนๆที่ทำงาน

ตอนแรก มีโปรแกรมกับคนรัก ว่าจะไปทะเล
ปรากฏว่าน้ำท่วม
โปรแกรมเลยล่มไปโดยปริยาย
ตอนนี้คิดโปรแกรมใหม่
อยากไปช่วยน้ำท่วม
กำลังดูข้อมูลจากพี่คนหนึ่งที่ส่งลิ้งค์มาให้
และกำลังคิดว่า ถ้าชวนคนรักไป
เค้าจะไปไหม
ปริ่มๆว่าอาจจะไม่ไป
(นี่ยังไม่ได้ชวน แค่เดาเอา)

วันเกิดปีนี้
ปวดหัวแต่เช้า
กินยาเม็ดแรกไม่หาย
ต้องกินตัวที่แรงขึ้น
ค่อยยังชั่ว

ได้การ์ดจากหัวหน้าที่น่ารักทั้งสอง
คนหนึ่งอวยพรขอให้แข็งแรงด้วย
ขอบคุณค่ะ หนูก็หวังว่าอย่างนั้น
ในการ์ดบอกอีกว่า
ของขวัญจะตามมาทีหลัง
อาจมาช้าหน่อย หวังว่าคงจะชอบ
ขอบคุณค่ะ

นั่งเปิดเมลเรื่อยๆ
ข้อความมาเรื่อยๆ
ตามประสา social network
บางคนก็ตั้งใจอวยพรจริงๆ
บางคนก็อวยไปงั้น
ตามกระแส social
แต่จะยังไง
ก็ขอบคุณ
อย่างน้อยก็อุส่าพิมพ์

บางคน
ทำให้หวนคิดถึงวันเก่าๆ
แต่มันก็แค่วันเก่าๆ
เท่านั้น
และทำให้ระลึกได้ว่า
สมัยมีโอกาส ทำไมไม่ทำ
แต่ก็นะ ขอบคุณอยู่ดี
ความตั้งใจที่เค้าทำให้
เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ

วันนี้ คิดถึงพ่อกับแม่มากที่สุด
ขอบคุณท่าน
ความจริง อยากกลับบ้าน
อยากฉลองกับพ่อแม่
คิดถึง



 

รัก

พ่อ แม่ น้องต้อน
ตา ยาย น้าหล้า ย่า ป้ามล ลุงโจ อาเปิ้ล
พี่อาร์ตี้
นุ่ม นิค แตงโม
เติ้ล
พี่กิต พี่เอฟ พี่แอน พี่ก้อง พี่กุ้ง อ โจ้ อ ต่าย
เบีย ทัน โจ๊ก แอน จ๊ะ พลอย
พี่เอ พี่กั๊ด พัดชา พี่เปิ้ล พี่เจี๊ยบ
พี่กบ พี่เป้ มุ้งมิ้ง พี่แอ๊บ
ฯลฯ





12 ต.ค. 2554

12 ตุลา

วันนี้ งานยุ่งมาก
แต่ถึงแม้วานจะยุ่งมาก ๆ
ในความคิด ก็ยังมีเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานเข้ามาวนเวียนได้อยู่
น่าแปลก

แต่เมื่อมาทบทวนดูอีกที
ก็คงไม่แปลกอะไร
ถ้าเรื่องที่วนเวียน เป็นเรื่องสำคัญ
หรือเกี่ยวกับคนสำคัญ

ฉันเคยพูดอยู่เสมอ ๆ
ว่าคนสำคัญในชีวิตฉัน มีแค่ไม่กี่คน
ให้ไล่ชื่อเรียงนาม
ก็เพียงแค่นิ้วมือ น่าจะเพียงพอ

แต่ถึงอย่างนั้น
มันน่าเจ็บใจ และสมเพชตัวเอง
ที่ไม่อาจดูแลคนสำคัญเหล่านั้นได้
ทั้ง ๆ ที่ก็มีไม่กี่คน

ความจริง ชีวิตเรา ต้องเลือกอยู่ตลอดเวลา
เหมือนที่วรากรณ์ สามโกเศศกล่าวว่า
"โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี"
เมื่อเราเลือกอย่างหนึ่ง
ต้องมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราสูญเสียเสมอ
ในทางเศรษฐศาสตร์เห็นเค้าเรียกกันว่า
"ค่าเสียโอกาส"

เมื่อฉันเลือกที่ให้เวลากับใคร
หรือดูแลใคร
ก็หมายความว่า เวลาที่ฉันอาจจะให้หรือควรให้
อีกคนหนึ่ง
ก็ต้องลดลงหรือขาดหายไป

และบางครั้งมันก็เจ็บปวด
เมื่อเห็นว่าเรา..บกพร่องต่อหน้าที่แค่ไหน
ใช้คำว่า "หน้าที่" ก็เพราะมันเป็นหน้าที่

ยามเมื่อเรารักใคร
หน้าที่ของเราก็คือดูแลเขาคนนั้น
ให้ดี

และว่ากันตามตรงก็คือ
ยังไม่เคยมีคนที่ฉันรักสักคน
บอกว่า..ฉันทำดีพอแล้ว

นี่คือปัญหา ที่เกิดขึ้นเรื่อยมา
เป็นกรรม ของคนที่เลือกจะรักคนหลายคน พร้อม ๆ กัน
แม้จะต่างฐานะกันก็ตาม

แม้ว่าใคร ๆ ก็มักจะต้องเจอกับปัญหานี้
แบบว่า..มีแฟนแล้วลืมเพื่อน
อยู่กับเพื่อนมากกว่าแฟน
แต่ให้ฉันเจออย่างนั้นจะดีกว่า

เพราะที่ผ่านมา มันไม่ใช่การเลือก
ระหว่างเพื่อนกับแฟน
ไม่ใช่การต้องคิด
ว่าเวลานี้จะให้แฟน หรือให้เพื่อน

หากแต่
มันคือการเลือก
ระหว่างคนที่รัก กับ คนที่รัก อีกคน

นั่นแหละ..น่าลำบาก

ถ้าเราต้องอยู่กับเพื่อน แฟนเราอาจน้อยใจ แต่เขาจะเข้าใจ
หรือถ้าเราต้องอยู่กับแฟน เพื่อนเราอาจแซว หรือด่าทอบ้าง
แต่เพื่อนก็เข้าใจ เพราะตัวมันเอง ก็เป็นเช่นเดียวกัน
เพื่อนกับแฟน จึงไม่มีใครต้องแทนที่ใคร
เพราะต่างก็อยู่ในมุมของตัวเอง
และไม่จำเป็นต้องเลือก
มีเพียงแค่การจัดสรรเวลาให้เหมาะสมเท่านั้น

แต่คนรัก กับ คนรัก
แม้เราจะอยู่กับเขาทั้งสองเท่า ๆ กัน
มันก็ยังคงไม่เท่ากันอยู่ดี

หรือแม้เราจะอยู่กับเขามากกว่า
แต่เมื่อเราไปอยู่กับคนรักอีกคน
มันก็เจ็บอยู่ดี

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักเดียวใจเดียว

แต่ทำอย่างไรได้
ความรักไม่เข้าใครออกใคร
มีใจเดียว ก็อาจไม่ได้มีแค่รักเดียว
นี่พูดถึงรัก ไม่ใช่สถานะ
สถานะเป็นเพียงเปลือกนอก
ที่เอามาใช้เป็นข้ออ้างในบางครั้ง
แต่ถ้าว่ากันถึงความรู้สึก
นั่นคือแก่นแท้
ที่ควรมองให้ลึกซึ้ง

ฉันไม่แปลกใจ ที่คนรักในสถานะแฟน
จะทำท่าหึงหวง เมื่อฉันอยู่กับคนรักอีกคน ซึ่งอยู่ในฐานเพื่อน
เพราะเค้าคงรู้ ว่าแท้จริงแล้ว
ความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร

ทำใจลำบาก
และยากยิ่ง

เป็นคนรักที่ทำตัวแย่ ๆ
ไม่รักษาคำพูด
ผิดสัญญา
ไม่ดูแล ไม่สน ไม่เอาใจใส่
เท่าที่ควรทำ

แล้วยังไงต่อดี
ควรจะมีคนรัก
หรือสมควรบอกว่ารักใครอีกหรือไม่
เมื่อฉันไม่อาจทำหน้าที่คนรักได้ดี
แม้เพียงสักนิด

อยากร้องไห้
แด่..ความไร้สรรถภาพของตนเอง