25 ม.ค. 2557

One by One...Three Hundreds No.47..."แฝดเพี้ยนพิสดาร"


ห่างหายไปจากการอัพเดทหนึ่งใน Mission ของชีวิตไปเสียนาน

และรู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมายืนอยู่ในจุดนี้อีกครั้ง

จุดสิ้นสุดสำหรับการเดินทางระยะสั้นๆ

ทริปนี้...ยอมรับตามตรงว่า โหดหินสำหรับข้าพเจ้าอยู่มาก

แน่นอน...การเดินทางไปกับใครหรืออะไรบางอย่าง

ที่เราไม่ชื่นชอบ ไม่พึงปรารถนา ไม่อยากแม้เพียงการยืนอยู่ใกล้ๆ

ใช้ออกซิเจนร่วมกัน

มันเป็นความทรมานอย่างหนึ่งของชีวิต

แต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้

เมื่อเลือกที่จะเดินทางแล้ว

ก็ไม่สมควรหยุดกลางคัน

(เว้นแต่การดันทุรังเดินต่อไปจะทำให้ตายห่ะไปได้จริงๆ หึๆ)





เล่มนี้

มีคนเตือนว่า อย่าเลย

แต่ข้าพเจ้าเชื่อเสียงหัวใจตัวเองมากกว่า

และเพราะความชื่นชอบที่มีต่อปก

มันดูเฟี้ยวฟ้าว ดูน่าค้นหา

จึงดื้อดึง ไม่ฟังคำทัดทาน

และอยากพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง





อ่านไปได้ราวๆ ห้าสิบหน้า

รู้สึกงง

เขาบอกว่านั่นเป็นความรู้สึกที่สามัญมากๆ สำหรับการอ่านหนังสือเล่มนี้

แต่หลังจากปะติดปะต่อเครือญาติ

หลังจากได้ไอเดียเกี่ยวกับสาแหรกต้นตระกูลของตัวละครในเรื่องบ้างแล้ว

ก็จะสามารถสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับคาแรกเตอร์ของทุกตัวละครได้

ผู้เขียนคำตามถึงกับเอ่ยว่า

เล่มนี้...น้องๆ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวกันเลยทีเดียว





นั่นคืออีกหนึ่งกำลังใจที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่ขว้างมันทิ้งเสียตั้งแต่เริ่มอ่าน

(ความจริงก็ไม่เคยขว้างหนังสืออยู่แล้วนะ แค่วางมันไว้ และไม่เหลียวมองอีกเลย อิอิ)





มาถึงตอนนี้ บอกตามตรงว่า

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่อ่านมันจนจบได้

เพราะนั่นหมายความว่า

ความอดทนของข้าพเจ้าเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว

ฮ่าๆๆ




ก็จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่ออ่านแล้วก็ต้องอ่านให้จบ

ดังวัตถุประสงค์ของภารกิจนี้

แม้ว่าแฝดเพี้ยนอะไรนี่

จะไม่ได้ก่อให้เกิดสาระอันใดแก่ชีวิตข้าพเจ้าเลยก็ตาม

ก็จะมีสาระได้อย่างไร

กับการกระทำประหนึ่งว่าเอาตัวเองเข้าไปนั่งอยู่ท่ามกลางวงนินทา

อันนินทากาเลท่านก็ว่าเหมือนเทน้ำ

หากจิตไม่วิปริตผิดเพี้ยนไปนัก

ก็คงไม่มีใครชื่นชอบมันมากนักหรอก

อุ๊ปส์





มันเป็นความไร้สาระอย่างแท้จริง

ถามว่าเรื่องนี้สอนอะไรที่เราไม่เคยรู้ไหม

บางคนอ่านแล้วอาจบอกว่าเขาสอดแทรกบทสรุปศีลธรรมจรรยาไว้ด้วยนะ

(โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว)

แล้วยังไง

ไอ้ศีลธรรม ไอ้บทสรุปที่ว่านี่

เราๆ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยหรือ

เพิ่งเคยได้อ่าน ได้เห็น ได้ตระหนักจากหนังสือเล่มนี้หรือ

ก็หาใช่



แต่กระนั้น จะตั้งหน้าตั้งตาก่นด่าพูดถึงเพียงด้านแย่ๆ เพียงอย่างเดียวก็ไม่ยุติธรรมนัก

ไม่ผิดอะไรนักหรอก หากจะมีใครชื่นชอบเรื่องราวชีวิตของคู่แฝดนี้

มันก็เผ็ดร้อน แสบๆ คันๆ จริงๆ

สำหรับข้าพเจ้า

ฉากที่สั่นสะเทือนหัวใจได้

มีเพียงฉากเดียว

ฉากไฟไหม้...ที่คนหนึ่งมัวหลงระเริงอยู่ในกามารมณ์

แต่อีกคนวิ่งกลับเข้าไปในเปลวเพลิงเพื่อตามหาอีกครึ่งของชีวิต

โดยไม่ห่วงตัวเอง

หรือแท้แล้ว

ก็เพราะห่วงตัวเองนั่นแหละ

จึงต้องวิ่งกลับเข้าไป





กระนั้น ข้าพเจ้าตีค่าหนังสือเล่มนี้อย่างการตีค่ามหากาพย์การนินทาก็เท่านั้น

เราไม่มีเวลาในชีวิตมากพอจะฟังเรื่องไร้สาระอะไรเทือกนี้หรอก




อ้อ...จะว่าไร้สาระขนาดนั้นก็ไม่เชิง

พอจะมีที่ชอบอยู่บ้าง

ก็บทละครของเชกสเปียร์

ที่นำมาสอดแทรกเพื่อการดำเนินเรื่องนั่นแล

เป็นความบันเทิงเดียวที่หาได้จากหนังสือความหนาสามร้อยกว่าหน้าเล่มนี้




อ้อ (อีกอ้อ)

เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่กล้าเอาหนังสือเล่มนี้

ไปเลียบๆ เคียงๆ กับหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว

ให้แฝดนอราดอราอะไรนี่แท็กทีมกัน

ยังเทียบไม่ได้กับขี้เล็บของอูร์ซูลาแม้แต่น้อย

แม้จะบอกว่า "พูดกันแค่วิธีเล่าเรื่องและโครงสร้างของตัวละคร"

นั่นแหละ ยิ่งห่างชั้นเลย




หึๆ ในลำคอทรีไทม์ 






ป.ล. เป็นความคิดเห็นและอารมณ์ส่วนบุคคล

การถูกจริตของคนๆ หนึ่งกับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง

ก็ลางเนื้อชอบลางยานั่นแล




22 ม.ค. 2557

ครูอาสาวิชาชีวิต ณ โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย (มัชฌิมบท)...เดินตามบาตร ขนมจีน ปล่อยเกาะ


สำหรับวันที่สองของการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนปูทะเลย์

ในฐานะครูอาสา

แน่นอน ก็ต้องมีช่วงเวลาที่จัดไว้สำหรับการให้เราๆ ได้ทำหน้าที่นั้นสักหน่อย

แต่ยังค่ะ ยังไม่เล่า ขอเริ่มต้นบันทึกนี้ด้วยประสบการณ์แปลกใหม่ก่อนดีกว่า อิอิ





ความจริง ข้าพเจ้าปรารถนามานานแล้ว

ตั้งแต่ไปอยู่วัดป่านาคำน้อย อุดรธานี

แอบอิจฉาอุบาสกที่ได้ไปเดินตามบาตรพระในตอนเช้า

ฟังเขาเล่าแล้วก็ไม่อิน

เพราะไม่เคยได้ลอง ไม่เคยได้สัมผัสช่วงเวลานั้นด้วยตนเอง

มาที่แห่งนี้

เมื่อได้ยินว่าตอนเช้า มีกิจกรรมสองอย่างให้เลือกทำ

หนึ่งคือเดินตามบาตรพระ

และอีกหนึ่งคือลงแปลงผักกับน้องๆ

ข้าพเจ้าก็ยิ้มแปล้ (ในใจ) 

ความฝันจะได้เป็นจริงสักที

แต่ก็แอบหวั่นๆ เพราะตั้งแต่เกิดมา

น้อยมากที่ข้าพเจ้าจะเดินโดยไม่ใส่รองเท้า

สมัยเป็นเด็ก เพื่อนๆ เด็กแถวบ้านวิ่งเล่นกันเท้าเปล่า

ข้าพเจ้าก็ใส่รองเท้าวิ่งตามเขา

จนโตมา ก็แทบไม่ได้ถอดรองเท้าเดินเลย

ยกเว้นเจอพื้นหญ้าเขียวๆ เจอทรายละเอียดๆ นุ่มๆ

คราวนี้ก็ต้องวัดใจกันหน่อย




นั่นไง...ชัดเลย

สาหัสจริงๆ

ทางที่ข้าพเจ้าได้ไปเดินนั้น เป็นเส้นทางสายเก่า

ซึ่งเป็นทางที่เต็มไปด้วยหินและดิน 

เป็นธรรมชาติจริงๆ

มีคอนกรีตบ้างเป็นบางช่วง

และจะเดินเจ็บน้อยหน่อยก็ช่วงปลายทางตอนจะกลับวัดแล้ว




ยากที่จะบรรยายได้ว่าความเจ็บปวดมันมีมากเพียงไหน

เจ็บจนขนลุกไปทั้งตัว

เจ็บจนไม่รู้ว่าต้องเดินท่าไหนจึงจะเจ็บน้อยลง

รู้สึกหลอนประหนึ่งว่ามีหินติดอยู่ที่ฝ่าเท้า และทิ่มแทงเข้าเนื้อตลอดเวลา

ข้าพเจ้าเดินช้าที่สุด

ช้าจนหลวงพ่อและคนอื่นๆ ต้องหยุดรอ เพราะมองไม่เห็นกันแล้ว

ละอายแก่ใจอยู่เหมือนกันที่กลายเป็นภาระ เป็นตัวถ่วง

แต่ก็ไม่อาจเดินได้เร็วกว่านี้แล้วจริงๆ




ความเจ็บปวดนี้

ทำให้ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากบริกรรม พุทโธ

เหมือนเวลานั่งสมาธิแล้วปวดมาก ก็จะพุทโธๆ ไม่ขาด

เป็นการทำให้เกิดสมาธิโดยอาศัยความเจ็บปวด 

ได้ผลที่ดีพอสมควร

ถ้าไม่ติดว่าอยากถ่ายรูปอยู่บ้าง

แหะๆ

ช่วงที่ยกกล้องขึ้นมาถ่าย ก็ต้องแลกเอา

แลกความเจ็บปวดที่มากขึ้น กับภาพที่อยากเก็บเอาไว้

หลังๆ ชักไม่ไหว พุทโธอย่างเดียวเลยละกัน





ข้าพเจ้ายังไม่เชี่ยวชาญในการพิจารณา

ยังไม่อาจถึงขั้นใช้ปัญญาสั่งสอนตัวเองได้ดังที่ครูบาอาจารย์ว่าไว้

แต่ก็พยายามมีสติอยู่กับการก้าวเดิน และบริกรรมพุทโธไม่ให้ขาด

เพราะถ้าขาดปุ๊บ ก็เจ็บปั๊บนั่นเอง

เป็นอุบายที่ดีอยู่เหมือนกัน




รู้สึกอยากไปเดินอย่างนี้ทุกวันๆ

อยากฝึกตนทุกวันๆ

แน่นอน วันต่อมา ข้าพเจ้าก็ไปเดินอีก

เดินทางเดิม

ทางสายเก่านั่นแล

แล้วจะเล่าให้ฟังในภายหลัง





กลับมาที่วัด เราก็จัดแจงเอาอาหารที่ชาวบ้านใส่บาตรพระทั้งสองสายมาแยกข้าวแยกกับ

เทใส่ชาม 

แล้วก็มีพิธีตักบาตรพระ

สวดพิจารณาอาหาร

และทานอาหารร่วมกัน

โดยอาหารที่จัดไว้นั้น จะเรียงลำดับการตักคือ

พระสงฆ์ ผู้ใหญ่ และเด็กๆ โดยเด็กๆ จะผลัดกัน รุ่นพี่ และรุ่นน้อง 

เมื่อวานรุ่นพี่ตักก่อน วันนี้รุ่นน้องตักก่อนบ้าง

ข้าพเจ้าแอบอึดอัดอยู่บ้างที่ต้องตักอาหารก่อน

เพราะกลัวอาหารเหลือไม่พอสำหรับน้องๆ

กระซิบถามคุณครูว่าเคยมีเหตุการณ์ที่อาหารไม่พอบ้างหรือเปล่า

ได้คำตอบว่า ไม่มีนะคะ ส่วนใหญ่จะเหลือซะมากกว่า

แป่ว ฮ่าๆๆ

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังเกร็งๆ 

ถ้าตักพร้อมๆ กันได้ก็คงดี

แต่ก็พอจะเข้าใจว่า ธรรมเนียมนี้คงเอามาจากการปฏิบัติของพระ

ซึ่งจะตักอาหารตามอาวุโส (ตามพรรษา)

และการมีธรรมเนียมอย่างนี้

ก็ทำให้ทุกคนตระหนักนึกถึงคนอื่นอยู่เสมอด้วย

และแล้ว เหตุการณ์ฝังใจก็เกิดขึ้นจนได้




มื้อเที่ยงของวันนั้น

เรานั่งล้อมวงทานอาหารกันที่โรงเรียน

มีข้าว กับข้าว ขนมจีนหนึ่งตะกร้าน้อยๆ กับน้ำยาอีกหนึ่งหม้อเล็กๆ ขนม ผลไม้ บลาๆๆ

ข้าพเจ้าเลือกที่จะกินขนมจีน เพราะรู้สึกว่ากินข้าวติดกันมาหลายมื้อแล้ว

(ตามนิสัยมนุษย์ชอบกินเส้น ขาดก๋วยเตี๋ยวแล้วจะลงแดง ฮ่าๆๆ ขนมจีนไปแทนละกัน)

ก็ตักขนมจีน 1 หัว ออกมาเป็นหัวบางๆ 

ก็เลยตักเพิ่มอีก 1 หัว เป็นสองหัว อยู่ในจาน

ตักน้ำยาขนมจีนราด

แล้วก็นั่งกิน คนอื่นๆ ก็กินข้าวบ้าง ขนมจีนบ้าง ทั้งข้าวและขนมจีนบ้าง

แต่เผอิญว่าวันนั้น

มีน้องๆ บางส่วนไปขายผลิตภัณฑ์ให้กลุ่มผู้ที่มาอบรม

และยังไม่ได้มากินข้าวประมาณ 4-5 คน

เราจึงต้องเผื่ออาหารบางส่วนไว้ให้น้องๆ ด้วย

น้องมิ้นท์ น้องผู้หญิงในวง หลังจากกินขนมจีนจานแรกหมด

เอื้อมมือไปหยิบตะกร้าขนมจีนน้อยๆ 

กำลังจะตักเพิ่ม

ก็โดนเบรก

"น้องมิ้นท์ครับ พอแล้วครับ เดี๋ยวเพื่อนๆ ไม่ได้กิน แค่ชิมๆ พอนะลูก"

จึ้ก!!

เสียงนั้น เสียงคุณครู นั่งอยู่ข้างข้าพเจ้าเอง 

รสชาติขนมจีนขมๆ เฝื่อนๆ ขึ้นมาในบัดดล

เฮ้ย...เราตักขนมจีน 2 หัว -*-





หลังจากทานมื้อนั้น ล้างจานเสร็จ ข้าพเจ้าก็เดินออกมาสูดอากาศเงียบๆ เพียงลำพัง

เป็นอารมณ์นอยด์ที่เกิดขึ้นและคงอยู่ในความรู้สึกนานพอสมควร





ได้มาเล่าความรู้สึกและเหตุการณ์ขณะนั้นอีกครั้งตอนถอดบทเรียน

ในวันสุดท้าย

พี่ๆ ก็ยังว่า

"มันเป็นไรของมัน อยู่ดีๆ ก็จ๋อยๆ"

ฮ่าๆๆ




อ้อ ลืมเล่าอีกหนึ่งเหตุการณ์

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินออกมาจากบริเวณที่กินข้าวนั้น

น้องแก้ม หนึ่งในสมาชิกสาวน้อยที่ไปขายของ

และเพิ่งกลับมา เตรียมตัวจะกินข้าว

เปิดตู้กับข้าว เห็นขนมอยู่กระจุกหนึ่งในตู้

ก็ถามข้าพเจ้าว่า

ขนมนี้ เพื่อนๆ ได้กินหรือเปล่าคะ

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าขนมนั้นเหมือนจะไม่ได้เอาออกไปจากตู้

ก็เลยบอกน้องไปว่า

"เหมือนจะไม่นะ น้องแก้มเอาออกไปกินกับเพื่อนๆ เลย"

น้องตอบกลับมาว่า

"อ้าวหรอคะ งั้นไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนไม่ได้กิน หนูก็ไม่กิน"

นั่น...อีกหนึ่งดอก





เป็นการคิดแบบย้อนกลับสินะ

คนที่กินก่อนคิดถึงคนกินทีหลังยังไม่พอ

คนกินทีหลังต้องย้อนไปคิดถึงคนกินก่อนด้วย

โดนเข้าไปเต็มๆ สองดอกซ้อน

ก็จ๋อยกันไปยาวๆ

เด็กๆ ที่นี่...เป็นมนุษย์ที่หายากยิ่งในปัจจุบัน





หลังจากอารมณ์นอยด์ๆ ดีขึ้นบ้างแล้ว

เก็บไปพิจารณาและจำไว้เป็นบทเรียนแล้ว

ก็ปรับใจให้สดใส และตั้งหน้าตั้งตารับบทเรียนใหม่ต่อไป

ยังมีอะไรอีกเยอะให้ได้เรียนรู้ แพรวาเอ๋ย

(อันนี้ว่ากันด้วยจิตใจล้วนๆ ไม่ได้กล่าวถึงภาคทฤษฎีเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงเลย

อันนั้นค่อยว่ากันอีกที อิอิ)





ช่วงเย็น เราถูกปล่อยเกาะ

คือแบ่งพี่และน้องออกเป็นสองกลุ่ม

ไปเก็บพืชผักที่ปลูกไว้ในโรงเรียนมาทำอาหารกินกันเอง

หุงข้าวกันเอง

ถ้าอยากได้เครื่องปรุงอะไรเพิ่มเติม ต้องไปใช้ความสามารถพิเศษแลกมาจากครูใหญ่

(แพรวาถูกลากไปเต้นด้วยสองเพลง ลมแทบจับ ฮ่าๆๆ)

เนื่องด้วยการทำอาหารกันเอง กินเวลาไปนาน

จนล่วงเลยเวลาปกติของมื้อเย็นไปพอสมควร

น้องๆ ทุกคนก็หิวมาก

เมื่อกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย

และได้เวลาลงช้อนรับประทาน

ก็จ้วงกันมือพันเป็นระวิง

กับข้าวทุกอย่าง อร่อยสุดๆ

และหมดเกลี้ยงในช่วงเวลาเพียงไม่นาน

แล้วจู่ๆ ครูกร หนึ่งในคุณครูของนักเรียนก็กลับเข้ามา

น้องๆ ก็หน้าเจื่อนๆ

เพราะข้าวและกับข้าวหมด

แต่คุณครูยังไม่ได้กิน





ครูบอกไม่ซีเรียสเลย

(ยังมีอาหารในตู้กับข้าวอยู่บ้าง)

แต่น้องปิงปอง

สาวน้อยแก้มป่องซึ่งนั่งกินอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า

และครูกรเดินมานั่งใกล้ๆ

คะยั้นคะยอบอกครูกรว่า

"น้ากรกินข้าวไข่เจียวของหนูเถอะน้า น้าๆๆๆ กินเถอะน้า"




จบการเล่าแต่เพียงเท่านี้ก่อน วิ่งไปปาดน้ำตาแป๊บ



เชิญชมรูปค่ะ ^___^





วัด ในตอนเช้ามืด 



ถนนลูกหิน 




พระอาทิตย์ขึ้นอยู่ทางโน้น 





อยู่ท้ายแถวเลย เอิ้กๆ




เจ้าตัวนี้เป็นมิตรมาก กระดิกหางมาคลอเคลียตลอด

จะวิ่งตามมาอีกแน่ะ

เจ้าของต้องตะโกนเรียก

"ไอ่ติ๊ก แกจะไปกับเค้าทำไม มานี่ กลับมานี่เลย"

เจ้านี่ก็เลยยืนงง จะไปต่อหรือจะกลับบ้านดี 

กลับไปจะโดนดุมั้ยหว่า

ฮ่าๆๆ



กับน้องเอิน โฟโต้บายน้องแชมป์



คนซ้ายน้องน้ำ คนขวาน้องปิงปอง 

น้องน้ำสาวอึด ตกจากหลังน้องปิงปอง (เล่นขี่หลังกัน)

แขนกระแทกลงพื้น ไม่ร้องไห้ด้วย

(ตอนแรกทำหน้าเหยเก แพรวาก็ใจแป้วละค่ะ ลูกเขาแขนหักมาจะทำไงหนอ เอิ้กๆ)

น้องปิงปองจอมพลัง

จับแพรวาแบกขึ้นหลังทุกวัน เหอๆ -_-"




โฟโต้บาย น้องปิงปอง ^^




ด้วยรัก

แพรวา






21 ม.ค. 2557

ครูอาสาวิชาชีวิต ณ โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย (ปฐมบท)...ไหว้ครู และลูกนกตกจากต้นไม้


เมื่อวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ( 17-19 มกราคม 2557) 

ข้าพเจ้าทิ้งสเตตัสไว้ในเฟสบุ๊คว่า จะไปเป็นครูอาสาวิชาชีวิต

ไปกินอยู่เรียนรู้ร่วมกันน้องๆ 

แล้วจะกลับมาแชร์ประสบการณ์ให้อ่านกันในภายหลัง

เหมือนที่เคยทำมา

นี่ล่วงเลยกำหนดมา 2 วัน 

หาใช่จะไม่เล่า...แต่นอนซม เป็นไข้อยู่นั่นเอง เหอๆ

อากาศมันเปลี่ยน เป็นธรรมดาที่ความป่วยไข้จะมาเยือน

เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป




เข้าเรื่องเลยดีกว่า

การไปเป็นครูอาสาในครั้งนี้ ยอมรับตามตรงว่า

เหมือนไม่ได้ไปเป็นครู แต่ไปเป็นนักเรียน 

ให้น้องๆ สอนนู่นนี่นั่นเสียมากกว่า

(ครูใหญ่ของโรงเรียนก็บอกว่า ครูอาสาทุกรุ่นที่ผ่านมาก็พูดแบบนี้แหละ อิอิ)

สามวันสองคืน ไม่เพียงพอที่จะเรียนรู้อะไรๆ ให้ถ่องแท้

แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่สวยงามและฝังใจ

หลายเรื่องราว หลายเหตุการณ์ 

อดไม่ได้ที่จะหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาจดบันทึกไว้




ค่ายนี้ เป็นค่ายที่ข้าพเจ้าเปิดใจ เปิดหู เปิดความคิด และเปิดปากมากที่สุดแล้ว

เพราะเป็นการไปแบบงงๆ ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง

ไปแบบไม่มีเป้าหมายชัดเจนเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะทำ

เพราะฉะนั้น จึงพร้อมสำหรับการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

โชคดีที่ครั้งนี้ ข้าพเจ้าละกำแพงต่างๆ ได้พอสมควร

เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ได้ดี

อ้าว แล้วครั้งอื่น ไม่ละหรอ ครั้งอื่นมีกำแพงหรอ

ก็ไม่ขนาดนั้น แต่แค่ครั้งอื่นๆ

ข้าพเจ้าอาจมีโลกส่วนตัวสูงไปหน่อย

ไปสร้างฝาย ก็สร้างฝาย พูดคุยบ้าง แต่ไม่ใช่กับทุกคน

ไปเล่นกับเด็กๆ ก็เล่นกับเด็กๆ 

ไปปลูกป่าชายเลน ก็ปลูกป่าชายเลน

คือไปทำอะไร ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งนั้น

เอากล้องไป ถ่ายรูปบ้าง แต่ไม่ได้ถ่ายคน

เน้นถ่ายอะไรที่อยากถ่าย เน้นใจตัวเอง

มากกว่าเก็บเป็นภาพความทรงจำของผู้คน

ก็แบบว่า...คนที่ถ่ายภาพคนมีเยอะแล้ว เราไปตามดูของเขาก็ได้

ฮ่าๆๆ




เวิ่นเว้อนานไปแล้ว กลับมาๆ -*-




เรื่องราวมากมายในศูนย์การเรียนรู้แห่งนั้น 

ถ้าจะให้เล่าจริงๆ สามวันสามคืนก็อาจไม่จบ

เพราะมันมีทั้งส่วนที่เป็นข้อมูลใหม่ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้และเข้าใจจริงๆ เลย

กับส่วนของความรู้สึก

ที่ไม่อาจสัมผัสได้จากที่ไหน

เพราะฉะนั้น

จะขอเล่าแค่บางฉากบางตอนก็แล้วกันนะคะ






เช้าวันแรก

ไปถึงสถานที่ปั๊บ ก็ได้พบภาพประทับใจปุ๊บ

เพราะช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เรากระหน่ำสุขสันต์วันครูกันเต็มหน้าเฟสบุ๊ค

แต่พูดจากใจเลย

ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นงานวันครูที่ไหน

ซาบซึ้งใจเท่าที่นี่

น้องๆ ไม่มีพานพุ่มอลังการ ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีการซ้อมไหว้ ซ้อมถือพาน

มีเพียงพวงมาลัยดอกไม้เล็กๆ ที่ร้อยกันเอง 

เอามากราบครู

กราบจริงๆ ไม่ใช่แค่ไหว้

กราบแล้วกอด

กอดจริงๆ กอดกันแน่นๆ 

น้ำตาแตกกันกระจาย

ข้าพเจ้านึกย้อนไปสมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียน

มีครั้งเดียวเท่านั้นในวันครู ที่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ร้องไห้

เพราะปีนั้น พวกเราไม่มีครูให้ไหว้

ครูที่ปรึกษาของพวกเรา 

ถูกฆาตกรรมในคืนก่อนวันครู

จึงได้รู้ว่า...การไม่มีครูให้ไหว้ มันสะเทือนใจขนาดไหน

น้องๆ โชคดี ที่ได้ไหว้ และได้กอดครู

(วิ่งไปร้องไห้แป๊บ T^T)





หลังจากไหว้ครู ฟังหลวงพ่อเทศน์ได้สักครู่ ก็ใกล้เที่ยงพอดี 

ครูประจำที่โรงเรียนปูทะเลย์แห่งนี้ก็มาปฐมนิเทศน์เราพอประมาณ

ให้ได้รู้จักกันในเบื้องต้น

ว่าโรงเรียนปูทะเลย์คืออะไร นักเรียนที่นี่เรียนอะไร ใช้ชีวิตยังไงกัน

และครูอาสาทั้งหลายในรุ่นที่ 3 นี้ เป็นใครมาจากไหนบ้าง

อันนี้ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังในภายหลัง

บุคลากรของโรงเรียนแห่งนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

คอนเฟิร์ม!!




ในช่วงบ่ายนั้น เหล่าครูอาสามีเวลาว่างอยู่สักครู่สำหรับการพักผ่อน 

ข้าพเจ้าออกมาเดินเล่น สำรวจพื้นที่

ถ่ายรูปตามประสา

เดินไปเรื่อยๆ ก้มๆ เงยๆ ก็ได้ยินเสียงใบไม้ดังกร็อบแกร็บๆ อยู่ใกล้ๆ

แอบตกใจในตอนแรก แต่ก็เดินเข้าไปดูจนได้ เพราะความอยากรู้นั่นเอง

โอ้วคุณพระ...

ลูกนกสองตัว ลูกนก...ลูกนกจริงๆ

ยังไม่ลืมตาดูโลกเลย 

ตัวหนึ่งถูกมดแดงตัวใหญ่รุมกัดเรียบร้อย 

อ้าปากพะงาบๆ ยังไม่ตาย

ส่วนอีกตัวพยายามตะเกียกตะกายไปมา

ยังไม่ตายเหมือนกัน แต่ตัวนี้ ยังไม่ถูกมดกัด

ข้าพเจ้าหันซ้ายแลขวา ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่สักครู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร

น้องผู้หญิงคนหนึ่งปั่นจักรยานมา 

ข้าพเจ้ากวักมือเรียกให้มาช่วยดู

น้องมาดู แล้วก็บอกว่า มันไม่รอดแล้วล่ะค่ะ

แป่ว 




อืม ข้าพเจ้าก็พอจะรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าสถานการณ์อย่างนี้

รอดยาก

แต่จะทิ้งให้มันตายไปอย่างนี้

ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้

ก็พิลึกชอบกล

ขนาดหนอนตัวน้อยๆ ไส้เดือนตัวเล็กๆ บนทางเดิน

ก็ยังเคยเอาเขาไปอยู่บนใบไม้ เอาไปไว้บนดิน 

ถ้าจะตายก็ถือเสียว่าเป็นกรรมของเขาเอง

แค่เราได้ช่วยเขาอย่างเต็มที่แล้วก็พอ




ครั้งนี้ ข้าพเจ้าแค่อยากจะรู้ว่า มีทางใดหรือไม่ ก็เท่านั้น




ขณะนั้น น้องผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อน้องเอิน

(คนนี้จำชื่อได้แม่น เพราะน่ารัก พี่แอบปลื้ม ฮ่าๆๆ)

น้องเอินเอามือหยิบมดที่กัดลูกนกตัวหนึ่งออกทีละตัว

จนหมด

แล้วก็หยิบลูกนกมาวางไว้บนฝ่ามือตัวเอง

ข้าพเจ้าก็หยิบลูกนกอีกตัวที่ยังไม่โดนมดกัดมาวางบนมือตัวเองเหมือนกัน

แล้วก็ช่วยกันคิดต่อไป




น้องเอินเงยหน้ามองต้นไม้ 

"นั่นไงครับ รังมันอยู่นั่น"

ข้าพเจ้าเงยหน้ามองตาม

เอิ่ม...สูงขนาดนั้น จะปีนขึ้นไปก็ไม่ไหวนะฮะ




เราช่วยกันคิดประหนึ่งว่าเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ

จริงจังกันมากอะไรมาก

สุดท้าย ในเวลานั้น เราจึงตัดสินใจกันว่า

ก่อนอื่น รักษาชีวิตลูกนกไว้ก่อนดีกว่า

เอาน้ำให้มันกินก่อนละกัน

เดี๋ยวจะตายเสีย

เราสองคน ก็เลยเดินไปที่ก๊อกน้ำ

ข้าพเจ้าบอกน้องเอินว่า ให้เอาปลายนิ้วแตะน้ำ 

แล้วค่อยๆ เอาไปแตะที่ปากลูกนก

ให้ลูกนกอ้าปากเอาน้ำเข้าปากเอง

ทำให้น้องดูเล็กน้อย 

แล้วก็แยกย้ายกันคนละอ่าง

ลูกนกตัวที่อยู่ในมือข้าพเจ้ามีการตอบสนองต่อน้ำค่อนข้างดี

อ้าปากกินน้ำไปหลายหยด

แล้วก็เริ่มขยับตัวได้มากขึ้น



"พี่ครับ ผมว่านกมันตายแล้วแน่เลยครับ ไม่ขยับเลย"


ข้าพเจ้าละสายตาจากอุ้งมือตัวเองไปมองนกของน้องเอิน


แว้กกกก...น้องเอินคะ

พี่ว่านกมันตายเพราะจมน้ำนี่แหละค่ะ ฮ่าๆๆ

ลูกนกเปียกไปหมดทั้งตัว

และแน่นิ่งไปจริงๆ

น้องเอินเอาไปวางบนโต๊ะหินอ่อน พยายามเขี่ยๆ มัน

แต่ก็ไร้การตอบสนอง

เป็นอันว่า ซี้ไปแล้วหนึ่ง

แต่ถึงอย่างไร นกตัวนั้นก็คงไม่รอดอยู่ดี

ไม่รอดตั้งแต่โดนมดรุมกัดแล้วล่ะ

น้องเอินเลยเอานกไปวางที่เดิมที่เราเจอมัน

ให้มดมากิน

ให้เป็นอาหารของมดต่อไป



เหลือนกอีกหนึ่งตัว ในมือข้าพเจ้า



พี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินมา เราถามด้วยคำถามเดิม

ลูกนกตกจากต้นไม้ ทำยังไงดีคะ?

ได้คำตอบว่า

ลูกนกตกลงมาขนาดนี้ ไม่มีทางรอดหรอกครับ

ต้องเป็นอาหารของมดของแมลงต่อไป เป็นวัฏจักร

เราทำได้แค่วางเขาไว้ที่เดิม

แล้วหันหลังหนีให้เร็วที่สุด

เราต้องเจออย่างนี้อีกเยอะ



ข้าพเจ้าพยักหน้ารับ



แล้วก็มีน้องผู้ชายอีกคนเดินผ่านมา 

ข้าพเจ้าก็กวักมือเรียกอีก

พี่ผู้ชายช่วยถามแทนข้าพเจ้า



ลูกนกตกจากต้นไม้ ทำยังไงดี?


น้องตอบว่า

"ก็เอามันวางไว้อย่างเดิมแหละครับ"

ข้าพเจ้าชะงัก

"เดี๋ยวแม่มันก็บินมาคาบกลับรังเอง"

(รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้า) โอ้วววว น้องคิดดีนะ ฮ่าๆๆ 

แต่กว่าที่แม่จะลงมา มดคงไวกว่าแล้วล่ะ




สุดท้าย เราๆ ทั้งหลาย จึงตัดสินใจกันว่า

เอาลูกนกไปวางบนโต๊ะหินอ่อน ใต้ต้นไม้ต้นนั้น

ถ้าแม่มันเห็น คงบินลงมาคาบกลับรังเอง 

อย่างที่น้องว่าไว้

(เพราะเราก็ไม่มีทางอื่นแล้ว)

วางลงได้สักพัก ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมองบนต้นไม้

นกหลายตัวร้องกันระงม

ไม่รู้ว่าเป็นพ่อแม่ของลูกนกตัวนี้กำลังร้องหาลูกมันอยู่หรือเปล่า

แต่ดูแล้ว มันร้องกันเกินสองตัวนะ

เอ๊ะ หรือว่าปู่ย่าตายายก็มาช่วยร้องด้วย

(จินตนาการเยอะไปละ -*-)




แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

หันมาอีกที น้องเล็กนามว่า บาบู

อุ้มแมวโผล่มาจากไหนไม่รู้

ไม่ทันที่พวกพี่ๆ จะได้ห้าม

แมวก็ตะปบอุ้งมือเอานกเข้าปากไปเรียบร้อย

ท่ามกลางสายตาตะลึงงันของทุกคน

ยกเว้นข้าพเจ้า

คือ...หันหน้าหนีทัน แหะๆ เลยไม่เห็นฉากเด็ดนั้น



ฉากต่อมาคือ พี่ๆ พากันรุมน้อง

เอาแมวมากินนกทำไม

บาบูทำไมทำอย่างนี้

บลา บลา บลา




น้องบาบูซึ่งเป็นนางฟ้าของแมวก็อึ้งไป

และหลังจากได้สติ

ชีก็เอามือไปตีแมว ดังป้าบ ป้าบ ป้าบ

ประมาณว่า

ไอ้แมว แกกินนกทำไม -*-




คำถามท้ายบทเรียน

ลูกนกตกจากต้นไม้ ต้องทำอย่างไร?





น้องๆ แยกย้าย

ข้าพเจ้าเดินถ่ายรูปต่อไปอีกสักพัก

วันแรกก็ทั้งเศร้า ซึ้ง ตะลึง ฮา แล้ว

วันต่อไปจะเป็นอย่างไร...






ตามธรรมเนียม เชิญชมภาพประกอบค่ะ ^^



กราบครู 




พวงมาลัยเล็กๆ ไม่สวยงามอลังการ แต่มาจากหัวใจจริงๆ






กราบแล้วก็กอด






ร้องไห้กันระงมเลย T^T 

พี่ก็ซึ้งด้วยเลย

อย่าถามนะว่าแพรวาแอบร้องไห้ด้วยหรือเปล่า...ไม่บอกหรอก อิอิ




ลูกนกในมือแพรวา...ยังไม่ตายนะ




น้องเอินกับลูกนกที่เพิ่งตาย





เราตัดสินใจวางลูกนกไว้ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ต้นนั้น เพื่อรอพ่อแม่มันบินมาคาบกลับขึ้นไป




นางฟ้าของแมว มองด้วยสายตาโกรธเคือง

แกไปกินนกทำไม? เอิ้กๆ





สวัสดีปูทะเลย์ 

ด้วยรัก

แพรวา






ป.ล. น้องเอิน เป็นลูกเสี้ยว (แม่เป็นลูกครึ่ง) หน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนเด็กผู้หญิง

ชื่อที่เรียกกันว่า เอินนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งถึงบางอ้อก็ตอนขอเฟสบุ๊คน้อง

น้องเขียนว่า Earl 

ยังว่า ผู้ชายอะไรชื่อเอิน -*-

ว่าแล้วก็แอดน้องก่อนดีกว่า อิอิ