เมื่อวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ( 17-19 มกราคม 2557)
ข้าพเจ้าทิ้งสเตตัสไว้ในเฟสบุ๊คว่า จะไปเป็นครูอาสาวิชาชีวิต
ไปกินอยู่เรียนรู้ร่วมกันน้องๆ
แล้วจะกลับมาแชร์ประสบการณ์ให้อ่านกันในภายหลัง
เหมือนที่เคยทำมา
นี่ล่วงเลยกำหนดมา 2 วัน
หาใช่จะไม่เล่า...แต่นอนซม เป็นไข้อยู่นั่นเอง เหอๆ
อากาศมันเปลี่ยน เป็นธรรมดาที่ความป่วยไข้จะมาเยือน
เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป
เข้าเรื่องเลยดีกว่า
การไปเป็นครูอาสาในครั้งนี้ ยอมรับตามตรงว่า
เหมือนไม่ได้ไปเป็นครู แต่ไปเป็นนักเรียน
ให้น้องๆ สอนนู่นนี่นั่นเสียมากกว่า
(ครูใหญ่ของโรงเรียนก็บอกว่า ครูอาสาทุกรุ่นที่ผ่านมาก็พูดแบบนี้แหละ อิอิ)
สามวันสองคืน ไม่เพียงพอที่จะเรียนรู้อะไรๆ ให้ถ่องแท้
แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่สวยงามและฝังใจ
หลายเรื่องราว หลายเหตุการณ์
อดไม่ได้ที่จะหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาจดบันทึกไว้
ค่ายนี้ เป็นค่ายที่ข้าพเจ้าเปิดใจ เปิดหู เปิดความคิด และเปิดปากมากที่สุดแล้ว
เพราะเป็นการไปแบบงงๆ ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง
ไปแบบไม่มีเป้าหมายชัดเจนเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะทำ
เพราะฉะนั้น จึงพร้อมสำหรับการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
โชคดีที่ครั้งนี้ ข้าพเจ้าละกำแพงต่างๆ ได้พอสมควร
เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ได้ดี
อ้าว แล้วครั้งอื่น ไม่ละหรอ ครั้งอื่นมีกำแพงหรอ
ก็ไม่ขนาดนั้น แต่แค่ครั้งอื่นๆ
ข้าพเจ้าอาจมีโลกส่วนตัวสูงไปหน่อย
ไปสร้างฝาย ก็สร้างฝาย พูดคุยบ้าง แต่ไม่ใช่กับทุกคน
ไปเล่นกับเด็กๆ ก็เล่นกับเด็กๆ
ไปปลูกป่าชายเลน ก็ปลูกป่าชายเลน
คือไปทำอะไร ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งนั้น
เอากล้องไป ถ่ายรูปบ้าง แต่ไม่ได้ถ่ายคน
เน้นถ่ายอะไรที่อยากถ่าย เน้นใจตัวเอง
มากกว่าเก็บเป็นภาพความทรงจำของผู้คน
ก็แบบว่า...คนที่ถ่ายภาพคนมีเยอะแล้ว เราไปตามดูของเขาก็ได้
ฮ่าๆๆ
เวิ่นเว้อนานไปแล้ว กลับมาๆ -*-
เรื่องราวมากมายในศูนย์การเรียนรู้แห่งนั้น
ถ้าจะให้เล่าจริงๆ สามวันสามคืนก็อาจไม่จบ
เพราะมันมีทั้งส่วนที่เป็นข้อมูลใหม่ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้และเข้าใจจริงๆ เลย
กับส่วนของความรู้สึก
ที่ไม่อาจสัมผัสได้จากที่ไหน
เพราะฉะนั้น
จะขอเล่าแค่บางฉากบางตอนก็แล้วกันนะคะ
เช้าวันแรก
ไปถึงสถานที่ปั๊บ ก็ได้พบภาพประทับใจปุ๊บ
เพราะช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เรากระหน่ำสุขสันต์วันครูกันเต็มหน้าเฟสบุ๊ค
แต่พูดจากใจเลย
ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นงานวันครูที่ไหน
ซาบซึ้งใจเท่าที่นี่
น้องๆ ไม่มีพานพุ่มอลังการ ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีการซ้อมไหว้ ซ้อมถือพาน
มีเพียงพวงมาลัยดอกไม้เล็กๆ ที่ร้อยกันเอง
เอามากราบครู
กราบจริงๆ ไม่ใช่แค่ไหว้
กราบแล้วกอด
กอดจริงๆ กอดกันแน่นๆ
น้ำตาแตกกันกระจาย
ข้าพเจ้านึกย้อนไปสมัยที่ตัวเองยังเป็นนักเรียน
มีครั้งเดียวเท่านั้นในวันครู ที่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ร้องไห้
เพราะปีนั้น พวกเราไม่มีครูให้ไหว้
ครูที่ปรึกษาของพวกเรา
ถูกฆาตกรรมในคืนก่อนวันครู
จึงได้รู้ว่า...การไม่มีครูให้ไหว้ มันสะเทือนใจขนาดไหน
น้องๆ โชคดี ที่ได้ไหว้ และได้กอดครู
(วิ่งไปร้องไห้แป๊บ T^T)
หลังจากไหว้ครู ฟังหลวงพ่อเทศน์ได้สักครู่ ก็ใกล้เที่ยงพอดี
ครูประจำที่โรงเรียนปูทะเลย์แห่งนี้ก็มาปฐมนิเทศน์เราพอประมาณ
ให้ได้รู้จักกันในเบื้องต้น
ว่าโรงเรียนปูทะเลย์คืออะไร นักเรียนที่นี่เรียนอะไร ใช้ชีวิตยังไงกัน
และครูอาสาทั้งหลายในรุ่นที่ 3 นี้ เป็นใครมาจากไหนบ้าง
อันนี้ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังในภายหลัง
บุคลากรของโรงเรียนแห่งนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
คอนเฟิร์ม!!
ในช่วงบ่ายนั้น เหล่าครูอาสามีเวลาว่างอยู่สักครู่สำหรับการพักผ่อน
ข้าพเจ้าออกมาเดินเล่น สำรวจพื้นที่
ถ่ายรูปตามประสา
เดินไปเรื่อยๆ ก้มๆ เงยๆ ก็ได้ยินเสียงใบไม้ดังกร็อบแกร็บๆ อยู่ใกล้ๆ
แอบตกใจในตอนแรก แต่ก็เดินเข้าไปดูจนได้ เพราะความอยากรู้นั่นเอง
โอ้วคุณพระ...
ลูกนกสองตัว ลูกนก...ลูกนกจริงๆ
ยังไม่ลืมตาดูโลกเลย
ตัวหนึ่งถูกมดแดงตัวใหญ่รุมกัดเรียบร้อย
อ้าปากพะงาบๆ ยังไม่ตาย
ส่วนอีกตัวพยายามตะเกียกตะกายไปมา
ยังไม่ตายเหมือนกัน แต่ตัวนี้ ยังไม่ถูกมดกัด
ข้าพเจ้าหันซ้ายแลขวา ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่สักครู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร
น้องผู้หญิงคนหนึ่งปั่นจักรยานมา
ข้าพเจ้ากวักมือเรียกให้มาช่วยดู
น้องมาดู แล้วก็บอกว่า มันไม่รอดแล้วล่ะค่ะ
แป่ว
อืม ข้าพเจ้าก็พอจะรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าสถานการณ์อย่างนี้
รอดยาก
แต่จะทิ้งให้มันตายไปอย่างนี้
ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้
ก็พิลึกชอบกล
ขนาดหนอนตัวน้อยๆ ไส้เดือนตัวเล็กๆ บนทางเดิน
ก็ยังเคยเอาเขาไปอยู่บนใบไม้ เอาไปไว้บนดิน
ถ้าจะตายก็ถือเสียว่าเป็นกรรมของเขาเอง
แค่เราได้ช่วยเขาอย่างเต็มที่แล้วก็พอ
ครั้งนี้ ข้าพเจ้าแค่อยากจะรู้ว่า มีทางใดหรือไม่ ก็เท่านั้น
ขณะนั้น น้องผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อน้องเอิน
(คนนี้จำชื่อได้แม่น เพราะน่ารัก พี่แอบปลื้ม ฮ่าๆๆ)
น้องเอินเอามือหยิบมดที่กัดลูกนกตัวหนึ่งออกทีละตัว
จนหมด
แล้วก็หยิบลูกนกมาวางไว้บนฝ่ามือตัวเอง
ข้าพเจ้าก็หยิบลูกนกอีกตัวที่ยังไม่โดนมดกัดมาวางบนมือตัวเองเหมือนกัน
แล้วก็ช่วยกันคิดต่อไป
น้องเอินเงยหน้ามองต้นไม้
"นั่นไงครับ รังมันอยู่นั่น"
ข้าพเจ้าเงยหน้ามองตาม
เอิ่ม...สูงขนาดนั้น จะปีนขึ้นไปก็ไม่ไหวนะฮะ
เราช่วยกันคิดประหนึ่งว่าเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ
จริงจังกันมากอะไรมาก
สุดท้าย ในเวลานั้น เราจึงตัดสินใจกันว่า
ก่อนอื่น รักษาชีวิตลูกนกไว้ก่อนดีกว่า
เอาน้ำให้มันกินก่อนละกัน
เดี๋ยวจะตายเสีย
เราสองคน ก็เลยเดินไปที่ก๊อกน้ำ
ข้าพเจ้าบอกน้องเอินว่า ให้เอาปลายนิ้วแตะน้ำ
แล้วค่อยๆ เอาไปแตะที่ปากลูกนก
ให้ลูกนกอ้าปากเอาน้ำเข้าปากเอง
ทำให้น้องดูเล็กน้อย
แล้วก็แยกย้ายกันคนละอ่าง
ลูกนกตัวที่อยู่ในมือข้าพเจ้ามีการตอบสนองต่อน้ำค่อนข้างดี
อ้าปากกินน้ำไปหลายหยด
แล้วก็เริ่มขยับตัวได้มากขึ้น
"พี่ครับ ผมว่านกมันตายแล้วแน่เลยครับ ไม่ขยับเลย"
ข้าพเจ้าละสายตาจากอุ้งมือตัวเองไปมองนกของน้องเอิน
แว้กกกก...น้องเอินคะ
พี่ว่านกมันตายเพราะจมน้ำนี่แหละค่ะ ฮ่าๆๆ
ลูกนกเปียกไปหมดทั้งตัว
และแน่นิ่งไปจริงๆ
น้องเอินเอาไปวางบนโต๊ะหินอ่อน พยายามเขี่ยๆ มัน
แต่ก็ไร้การตอบสนอง
เป็นอันว่า ซี้ไปแล้วหนึ่ง
แต่ถึงอย่างไร นกตัวนั้นก็คงไม่รอดอยู่ดี
ไม่รอดตั้งแต่โดนมดรุมกัดแล้วล่ะ
น้องเอินเลยเอานกไปวางที่เดิมที่เราเจอมัน
ให้มดมากิน
ให้เป็นอาหารของมดต่อไป
เหลือนกอีกหนึ่งตัว ในมือข้าพเจ้า
พี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินมา เราถามด้วยคำถามเดิม
ลูกนกตกจากต้นไม้ ทำยังไงดีคะ?
ได้คำตอบว่า
ลูกนกตกลงมาขนาดนี้ ไม่มีทางรอดหรอกครับ
ต้องเป็นอาหารของมดของแมลงต่อไป เป็นวัฏจักร
เราทำได้แค่วางเขาไว้ที่เดิม
แล้วหันหลังหนีให้เร็วที่สุด
เราต้องเจออย่างนี้อีกเยอะ
ข้าพเจ้าพยักหน้ารับ
แล้วก็มีน้องผู้ชายอีกคนเดินผ่านมา
ข้าพเจ้าก็กวักมือเรียกอีก
พี่ผู้ชายช่วยถามแทนข้าพเจ้า
ลูกนกตกจากต้นไม้ ทำยังไงดี?
น้องตอบว่า
"ก็เอามันวางไว้อย่างเดิมแหละครับ"
ข้าพเจ้าชะงัก
"เดี๋ยวแม่มันก็บินมาคาบกลับรังเอง"
(รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้า) โอ้วววว น้องคิดดีนะ ฮ่าๆๆ
แต่กว่าที่แม่จะลงมา มดคงไวกว่าแล้วล่ะ
สุดท้าย เราๆ ทั้งหลาย จึงตัดสินใจกันว่า
เอาลูกนกไปวางบนโต๊ะหินอ่อน ใต้ต้นไม้ต้นนั้น
ถ้าแม่มันเห็น คงบินลงมาคาบกลับรังเอง
อย่างที่น้องว่าไว้
(เพราะเราก็ไม่มีทางอื่นแล้ว)
วางลงได้สักพัก ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมองบนต้นไม้
นกหลายตัวร้องกันระงม
ไม่รู้ว่าเป็นพ่อแม่ของลูกนกตัวนี้กำลังร้องหาลูกมันอยู่หรือเปล่า
แต่ดูแล้ว มันร้องกันเกินสองตัวนะ
เอ๊ะ หรือว่าปู่ย่าตายายก็มาช่วยร้องด้วย
(จินตนาการเยอะไปละ -*-)
แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
หันมาอีกที น้องเล็กนามว่า บาบู
อุ้มแมวโผล่มาจากไหนไม่รู้
ไม่ทันที่พวกพี่ๆ จะได้ห้าม
แมวก็ตะปบอุ้งมือเอานกเข้าปากไปเรียบร้อย
ท่ามกลางสายตาตะลึงงันของทุกคน
ยกเว้นข้าพเจ้า
คือ...หันหน้าหนีทัน แหะๆ เลยไม่เห็นฉากเด็ดนั้น
ฉากต่อมาคือ พี่ๆ พากันรุมน้อง
เอาแมวมากินนกทำไม
บาบูทำไมทำอย่างนี้
บลา บลา บลา
น้องบาบูซึ่งเป็นนางฟ้าของแมวก็อึ้งไป
และหลังจากได้สติ
ชีก็เอามือไปตีแมว ดังป้าบ ป้าบ ป้าบ
ประมาณว่า
ไอ้แมว แกกินนกทำไม -*-
คำถามท้ายบทเรียน
ลูกนกตกจากต้นไม้ ต้องทำอย่างไร?
น้องๆ แยกย้าย
ข้าพเจ้าเดินถ่ายรูปต่อไปอีกสักพัก
วันแรกก็ทั้งเศร้า ซึ้ง ตะลึง ฮา แล้ว
วันต่อไปจะเป็นอย่างไร...
ตามธรรมเนียม เชิญชมภาพประกอบค่ะ ^^
กราบครู
พวงมาลัยเล็กๆ ไม่สวยงามอลังการ แต่มาจากหัวใจจริงๆ
กราบแล้วก็กอด
ร้องไห้กันระงมเลย T^T
พี่ก็ซึ้งด้วยเลย
อย่าถามนะว่าแพรวาแอบร้องไห้ด้วยหรือเปล่า...ไม่บอกหรอก อิอิ
ลูกนกในมือแพรวา...ยังไม่ตายนะ
น้องเอินกับลูกนกที่เพิ่งตาย
เราตัดสินใจวางลูกนกไว้ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ต้นนั้น เพื่อรอพ่อแม่มันบินมาคาบกลับขึ้นไป
นางฟ้าของแมว มองด้วยสายตาโกรธเคือง
แกไปกินนกทำไม? เอิ้กๆ
สวัสดีปูทะเลย์
ด้วยรัก
แพรวา
ป.ล. น้องเอิน เป็นลูกเสี้ยว (แม่เป็นลูกครึ่ง) หน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนเด็กผู้หญิง
ชื่อที่เรียกกันว่า เอินนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งถึงบางอ้อก็ตอนขอเฟสบุ๊คน้อง
น้องเขียนว่า Earl
ยังว่า ผู้ชายอะไรชื่อเอิน -*-
ว่าแล้วก็แอดน้องก่อนดีกว่า อิอิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น