25 ม.ค. 2557

One by One...Three Hundreds No.47..."แฝดเพี้ยนพิสดาร"


ห่างหายไปจากการอัพเดทหนึ่งใน Mission ของชีวิตไปเสียนาน

และรู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมายืนอยู่ในจุดนี้อีกครั้ง

จุดสิ้นสุดสำหรับการเดินทางระยะสั้นๆ

ทริปนี้...ยอมรับตามตรงว่า โหดหินสำหรับข้าพเจ้าอยู่มาก

แน่นอน...การเดินทางไปกับใครหรืออะไรบางอย่าง

ที่เราไม่ชื่นชอบ ไม่พึงปรารถนา ไม่อยากแม้เพียงการยืนอยู่ใกล้ๆ

ใช้ออกซิเจนร่วมกัน

มันเป็นความทรมานอย่างหนึ่งของชีวิต

แต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้

เมื่อเลือกที่จะเดินทางแล้ว

ก็ไม่สมควรหยุดกลางคัน

(เว้นแต่การดันทุรังเดินต่อไปจะทำให้ตายห่ะไปได้จริงๆ หึๆ)





เล่มนี้

มีคนเตือนว่า อย่าเลย

แต่ข้าพเจ้าเชื่อเสียงหัวใจตัวเองมากกว่า

และเพราะความชื่นชอบที่มีต่อปก

มันดูเฟี้ยวฟ้าว ดูน่าค้นหา

จึงดื้อดึง ไม่ฟังคำทัดทาน

และอยากพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง





อ่านไปได้ราวๆ ห้าสิบหน้า

รู้สึกงง

เขาบอกว่านั่นเป็นความรู้สึกที่สามัญมากๆ สำหรับการอ่านหนังสือเล่มนี้

แต่หลังจากปะติดปะต่อเครือญาติ

หลังจากได้ไอเดียเกี่ยวกับสาแหรกต้นตระกูลของตัวละครในเรื่องบ้างแล้ว

ก็จะสามารถสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับคาแรกเตอร์ของทุกตัวละครได้

ผู้เขียนคำตามถึงกับเอ่ยว่า

เล่มนี้...น้องๆ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวกันเลยทีเดียว





นั่นคืออีกหนึ่งกำลังใจที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่ขว้างมันทิ้งเสียตั้งแต่เริ่มอ่าน

(ความจริงก็ไม่เคยขว้างหนังสืออยู่แล้วนะ แค่วางมันไว้ และไม่เหลียวมองอีกเลย อิอิ)





มาถึงตอนนี้ บอกตามตรงว่า

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่อ่านมันจนจบได้

เพราะนั่นหมายความว่า

ความอดทนของข้าพเจ้าเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว

ฮ่าๆๆ




ก็จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่ออ่านแล้วก็ต้องอ่านให้จบ

ดังวัตถุประสงค์ของภารกิจนี้

แม้ว่าแฝดเพี้ยนอะไรนี่

จะไม่ได้ก่อให้เกิดสาระอันใดแก่ชีวิตข้าพเจ้าเลยก็ตาม

ก็จะมีสาระได้อย่างไร

กับการกระทำประหนึ่งว่าเอาตัวเองเข้าไปนั่งอยู่ท่ามกลางวงนินทา

อันนินทากาเลท่านก็ว่าเหมือนเทน้ำ

หากจิตไม่วิปริตผิดเพี้ยนไปนัก

ก็คงไม่มีใครชื่นชอบมันมากนักหรอก

อุ๊ปส์





มันเป็นความไร้สาระอย่างแท้จริง

ถามว่าเรื่องนี้สอนอะไรที่เราไม่เคยรู้ไหม

บางคนอ่านแล้วอาจบอกว่าเขาสอดแทรกบทสรุปศีลธรรมจรรยาไว้ด้วยนะ

(โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว)

แล้วยังไง

ไอ้ศีลธรรม ไอ้บทสรุปที่ว่านี่

เราๆ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยหรือ

เพิ่งเคยได้อ่าน ได้เห็น ได้ตระหนักจากหนังสือเล่มนี้หรือ

ก็หาใช่



แต่กระนั้น จะตั้งหน้าตั้งตาก่นด่าพูดถึงเพียงด้านแย่ๆ เพียงอย่างเดียวก็ไม่ยุติธรรมนัก

ไม่ผิดอะไรนักหรอก หากจะมีใครชื่นชอบเรื่องราวชีวิตของคู่แฝดนี้

มันก็เผ็ดร้อน แสบๆ คันๆ จริงๆ

สำหรับข้าพเจ้า

ฉากที่สั่นสะเทือนหัวใจได้

มีเพียงฉากเดียว

ฉากไฟไหม้...ที่คนหนึ่งมัวหลงระเริงอยู่ในกามารมณ์

แต่อีกคนวิ่งกลับเข้าไปในเปลวเพลิงเพื่อตามหาอีกครึ่งของชีวิต

โดยไม่ห่วงตัวเอง

หรือแท้แล้ว

ก็เพราะห่วงตัวเองนั่นแหละ

จึงต้องวิ่งกลับเข้าไป





กระนั้น ข้าพเจ้าตีค่าหนังสือเล่มนี้อย่างการตีค่ามหากาพย์การนินทาก็เท่านั้น

เราไม่มีเวลาในชีวิตมากพอจะฟังเรื่องไร้สาระอะไรเทือกนี้หรอก




อ้อ...จะว่าไร้สาระขนาดนั้นก็ไม่เชิง

พอจะมีที่ชอบอยู่บ้าง

ก็บทละครของเชกสเปียร์

ที่นำมาสอดแทรกเพื่อการดำเนินเรื่องนั่นแล

เป็นความบันเทิงเดียวที่หาได้จากหนังสือความหนาสามร้อยกว่าหน้าเล่มนี้




อ้อ (อีกอ้อ)

เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่กล้าเอาหนังสือเล่มนี้

ไปเลียบๆ เคียงๆ กับหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว

ให้แฝดนอราดอราอะไรนี่แท็กทีมกัน

ยังเทียบไม่ได้กับขี้เล็บของอูร์ซูลาแม้แต่น้อย

แม้จะบอกว่า "พูดกันแค่วิธีเล่าเรื่องและโครงสร้างของตัวละคร"

นั่นแหละ ยิ่งห่างชั้นเลย




หึๆ ในลำคอทรีไทม์ 






ป.ล. เป็นความคิดเห็นและอารมณ์ส่วนบุคคล

การถูกจริตของคนๆ หนึ่งกับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง

ก็ลางเนื้อชอบลางยานั่นแล




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น