ห่างหายไปจากการอัพเดทหนึ่งใน Mission ของชีวิตไปเสียนาน
และรู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมายืนอยู่ในจุดนี้อีกครั้ง
จุดสิ้นสุดสำหรับการเดินทางระยะสั้นๆ
ทริปนี้...ยอมรับตามตรงว่า โหดหินสำหรับข้าพเจ้าอยู่มาก
แน่นอน...การเดินทางไปกับใครหรืออะไรบางอย่าง
ที่เราไม่ชื่นชอบ ไม่พึงปรารถนา ไม่อยากแม้เพียงการยืนอยู่ใกล้ๆ
ใช้ออกซิเจนร่วมกัน
มันเป็นความทรมานอย่างหนึ่งของชีวิต
แต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้
เมื่อเลือกที่จะเดินทางแล้ว
ก็ไม่สมควรหยุดกลางคัน
(เว้นแต่การดันทุรังเดินต่อไปจะทำให้ตายห่ะไปได้จริงๆ หึๆ)
เล่มนี้
มีคนเตือนว่า อย่าเลย
แต่ข้าพเจ้าเชื่อเสียงหัวใจตัวเองมากกว่า
และเพราะความชื่นชอบที่มีต่อปก
มันดูเฟี้ยวฟ้าว ดูน่าค้นหา
จึงดื้อดึง ไม่ฟังคำทัดทาน
และอยากพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง
อ่านไปได้ราวๆ ห้าสิบหน้า
รู้สึกงง
เขาบอกว่านั่นเป็นความรู้สึกที่สามัญมากๆ สำหรับการอ่านหนังสือเล่มนี้
แต่หลังจากปะติดปะต่อเครือญาติ
หลังจากได้ไอเดียเกี่ยวกับสาแหรกต้นตระกูลของตัวละครในเรื่องบ้างแล้ว
ก็จะสามารถสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับคาแรกเตอร์ของทุกตัวละครได้
ผู้เขียนคำตามถึงกับเอ่ยว่า
เล่มนี้...น้องๆ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวกันเลยทีเดียว
นั่นคืออีกหนึ่งกำลังใจที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่ขว้างมันทิ้งเสียตั้งแต่เริ่มอ่าน
(ความจริงก็ไม่เคยขว้างหนังสืออยู่แล้วนะ แค่วางมันไว้ และไม่เหลียวมองอีกเลย อิอิ)
มาถึงตอนนี้ บอกตามตรงว่า
ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่อ่านมันจนจบได้
เพราะนั่นหมายความว่า
ความอดทนของข้าพเจ้าเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
ฮ่าๆๆ
ก็จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่ออ่านแล้วก็ต้องอ่านให้จบ
ดังวัตถุประสงค์ของภารกิจนี้
แม้ว่าแฝดเพี้ยนอะไรนี่
จะไม่ได้ก่อให้เกิดสาระอันใดแก่ชีวิตข้าพเจ้าเลยก็ตาม
ก็จะมีสาระได้อย่างไร
กับการกระทำประหนึ่งว่าเอาตัวเองเข้าไปนั่งอยู่ท่ามกลางวงนินทา
อันนินทากาเลท่านก็ว่าเหมือนเทน้ำ
หากจิตไม่วิปริตผิดเพี้ยนไปนัก
ก็คงไม่มีใครชื่นชอบมันมากนักหรอก
อุ๊ปส์
มันเป็นความไร้สาระอย่างแท้จริง
ถามว่าเรื่องนี้สอนอะไรที่เราไม่เคยรู้ไหม
บางคนอ่านแล้วอาจบอกว่าเขาสอดแทรกบทสรุปศีลธรรมจรรยาไว้ด้วยนะ
(โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว)
(โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว)
แล้วยังไง
ไอ้ศีลธรรม ไอ้บทสรุปที่ว่านี่
เราๆ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยหรือ
เพิ่งเคยได้อ่าน ได้เห็น ได้ตระหนักจากหนังสือเล่มนี้หรือ
ก็หาใช่
แต่กระนั้น จะตั้งหน้าตั้งตาก่นด่าพูดถึงเพียงด้านแย่ๆ เพียงอย่างเดียวก็ไม่ยุติธรรมนัก
ไม่ผิดอะไรนักหรอก หากจะมีใครชื่นชอบเรื่องราวชีวิตของคู่แฝดนี้
มันก็เผ็ดร้อน แสบๆ คันๆ จริงๆ
สำหรับข้าพเจ้า
ฉากที่สั่นสะเทือนหัวใจได้
มีเพียงฉากเดียว
ฉากไฟไหม้...ที่คนหนึ่งมัวหลงระเริงอยู่ในกามารมณ์
แต่อีกคนวิ่งกลับเข้าไปในเปลวเพลิงเพื่อตามหาอีกครึ่งของชีวิต
โดยไม่ห่วงตัวเอง
หรือแท้แล้ว
ก็เพราะห่วงตัวเองนั่นแหละ
จึงต้องวิ่งกลับเข้าไป
กระนั้น ข้าพเจ้าตีค่าหนังสือเล่มนี้อย่างการตีค่ามหากาพย์การนินทาก็เท่านั้น
เราไม่มีเวลาในชีวิตมากพอจะฟังเรื่องไร้สาระอะไรเทือกนี้หรอก
อ้อ...จะว่าไร้สาระขนาดนั้นก็ไม่เชิง
พอจะมีที่ชอบอยู่บ้าง
ก็บทละครของเชกสเปียร์
ที่นำมาสอดแทรกเพื่อการดำเนินเรื่องนั่นแล
เป็นความบันเทิงเดียวที่หาได้จากหนังสือความหนาสามร้อยกว่าหน้าเล่มนี้
อ้อ (อีกอ้อ)
เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่กล้าเอาหนังสือเล่มนี้
ไปเลียบๆ เคียงๆ กับหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว
ให้แฝดนอราดอราอะไรนี่แท็กทีมกัน
ยังเทียบไม่ได้กับขี้เล็บของอูร์ซูลาแม้แต่น้อย
แม้จะบอกว่า "พูดกันแค่วิธีเล่าเรื่องและโครงสร้างของตัวละคร"
นั่นแหละ ยิ่งห่างชั้นเลย
หึๆ ในลำคอทรีไทม์
ป.ล. เป็นความคิดเห็นและอารมณ์ส่วนบุคคล
การถูกจริตของคนๆ หนึ่งกับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง
ก็ลางเนื้อชอบลางยานั่นแล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น