22 ม.ค. 2557

ครูอาสาวิชาชีวิต ณ โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย (มัชฌิมบท)...เดินตามบาตร ขนมจีน ปล่อยเกาะ


สำหรับวันที่สองของการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนปูทะเลย์

ในฐานะครูอาสา

แน่นอน ก็ต้องมีช่วงเวลาที่จัดไว้สำหรับการให้เราๆ ได้ทำหน้าที่นั้นสักหน่อย

แต่ยังค่ะ ยังไม่เล่า ขอเริ่มต้นบันทึกนี้ด้วยประสบการณ์แปลกใหม่ก่อนดีกว่า อิอิ





ความจริง ข้าพเจ้าปรารถนามานานแล้ว

ตั้งแต่ไปอยู่วัดป่านาคำน้อย อุดรธานี

แอบอิจฉาอุบาสกที่ได้ไปเดินตามบาตรพระในตอนเช้า

ฟังเขาเล่าแล้วก็ไม่อิน

เพราะไม่เคยได้ลอง ไม่เคยได้สัมผัสช่วงเวลานั้นด้วยตนเอง

มาที่แห่งนี้

เมื่อได้ยินว่าตอนเช้า มีกิจกรรมสองอย่างให้เลือกทำ

หนึ่งคือเดินตามบาตรพระ

และอีกหนึ่งคือลงแปลงผักกับน้องๆ

ข้าพเจ้าก็ยิ้มแปล้ (ในใจ) 

ความฝันจะได้เป็นจริงสักที

แต่ก็แอบหวั่นๆ เพราะตั้งแต่เกิดมา

น้อยมากที่ข้าพเจ้าจะเดินโดยไม่ใส่รองเท้า

สมัยเป็นเด็ก เพื่อนๆ เด็กแถวบ้านวิ่งเล่นกันเท้าเปล่า

ข้าพเจ้าก็ใส่รองเท้าวิ่งตามเขา

จนโตมา ก็แทบไม่ได้ถอดรองเท้าเดินเลย

ยกเว้นเจอพื้นหญ้าเขียวๆ เจอทรายละเอียดๆ นุ่มๆ

คราวนี้ก็ต้องวัดใจกันหน่อย




นั่นไง...ชัดเลย

สาหัสจริงๆ

ทางที่ข้าพเจ้าได้ไปเดินนั้น เป็นเส้นทางสายเก่า

ซึ่งเป็นทางที่เต็มไปด้วยหินและดิน 

เป็นธรรมชาติจริงๆ

มีคอนกรีตบ้างเป็นบางช่วง

และจะเดินเจ็บน้อยหน่อยก็ช่วงปลายทางตอนจะกลับวัดแล้ว




ยากที่จะบรรยายได้ว่าความเจ็บปวดมันมีมากเพียงไหน

เจ็บจนขนลุกไปทั้งตัว

เจ็บจนไม่รู้ว่าต้องเดินท่าไหนจึงจะเจ็บน้อยลง

รู้สึกหลอนประหนึ่งว่ามีหินติดอยู่ที่ฝ่าเท้า และทิ่มแทงเข้าเนื้อตลอดเวลา

ข้าพเจ้าเดินช้าที่สุด

ช้าจนหลวงพ่อและคนอื่นๆ ต้องหยุดรอ เพราะมองไม่เห็นกันแล้ว

ละอายแก่ใจอยู่เหมือนกันที่กลายเป็นภาระ เป็นตัวถ่วง

แต่ก็ไม่อาจเดินได้เร็วกว่านี้แล้วจริงๆ




ความเจ็บปวดนี้

ทำให้ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากบริกรรม พุทโธ

เหมือนเวลานั่งสมาธิแล้วปวดมาก ก็จะพุทโธๆ ไม่ขาด

เป็นการทำให้เกิดสมาธิโดยอาศัยความเจ็บปวด 

ได้ผลที่ดีพอสมควร

ถ้าไม่ติดว่าอยากถ่ายรูปอยู่บ้าง

แหะๆ

ช่วงที่ยกกล้องขึ้นมาถ่าย ก็ต้องแลกเอา

แลกความเจ็บปวดที่มากขึ้น กับภาพที่อยากเก็บเอาไว้

หลังๆ ชักไม่ไหว พุทโธอย่างเดียวเลยละกัน





ข้าพเจ้ายังไม่เชี่ยวชาญในการพิจารณา

ยังไม่อาจถึงขั้นใช้ปัญญาสั่งสอนตัวเองได้ดังที่ครูบาอาจารย์ว่าไว้

แต่ก็พยายามมีสติอยู่กับการก้าวเดิน และบริกรรมพุทโธไม่ให้ขาด

เพราะถ้าขาดปุ๊บ ก็เจ็บปั๊บนั่นเอง

เป็นอุบายที่ดีอยู่เหมือนกัน




รู้สึกอยากไปเดินอย่างนี้ทุกวันๆ

อยากฝึกตนทุกวันๆ

แน่นอน วันต่อมา ข้าพเจ้าก็ไปเดินอีก

เดินทางเดิม

ทางสายเก่านั่นแล

แล้วจะเล่าให้ฟังในภายหลัง





กลับมาที่วัด เราก็จัดแจงเอาอาหารที่ชาวบ้านใส่บาตรพระทั้งสองสายมาแยกข้าวแยกกับ

เทใส่ชาม 

แล้วก็มีพิธีตักบาตรพระ

สวดพิจารณาอาหาร

และทานอาหารร่วมกัน

โดยอาหารที่จัดไว้นั้น จะเรียงลำดับการตักคือ

พระสงฆ์ ผู้ใหญ่ และเด็กๆ โดยเด็กๆ จะผลัดกัน รุ่นพี่ และรุ่นน้อง 

เมื่อวานรุ่นพี่ตักก่อน วันนี้รุ่นน้องตักก่อนบ้าง

ข้าพเจ้าแอบอึดอัดอยู่บ้างที่ต้องตักอาหารก่อน

เพราะกลัวอาหารเหลือไม่พอสำหรับน้องๆ

กระซิบถามคุณครูว่าเคยมีเหตุการณ์ที่อาหารไม่พอบ้างหรือเปล่า

ได้คำตอบว่า ไม่มีนะคะ ส่วนใหญ่จะเหลือซะมากกว่า

แป่ว ฮ่าๆๆ

แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังเกร็งๆ 

ถ้าตักพร้อมๆ กันได้ก็คงดี

แต่ก็พอจะเข้าใจว่า ธรรมเนียมนี้คงเอามาจากการปฏิบัติของพระ

ซึ่งจะตักอาหารตามอาวุโส (ตามพรรษา)

และการมีธรรมเนียมอย่างนี้

ก็ทำให้ทุกคนตระหนักนึกถึงคนอื่นอยู่เสมอด้วย

และแล้ว เหตุการณ์ฝังใจก็เกิดขึ้นจนได้




มื้อเที่ยงของวันนั้น

เรานั่งล้อมวงทานอาหารกันที่โรงเรียน

มีข้าว กับข้าว ขนมจีนหนึ่งตะกร้าน้อยๆ กับน้ำยาอีกหนึ่งหม้อเล็กๆ ขนม ผลไม้ บลาๆๆ

ข้าพเจ้าเลือกที่จะกินขนมจีน เพราะรู้สึกว่ากินข้าวติดกันมาหลายมื้อแล้ว

(ตามนิสัยมนุษย์ชอบกินเส้น ขาดก๋วยเตี๋ยวแล้วจะลงแดง ฮ่าๆๆ ขนมจีนไปแทนละกัน)

ก็ตักขนมจีน 1 หัว ออกมาเป็นหัวบางๆ 

ก็เลยตักเพิ่มอีก 1 หัว เป็นสองหัว อยู่ในจาน

ตักน้ำยาขนมจีนราด

แล้วก็นั่งกิน คนอื่นๆ ก็กินข้าวบ้าง ขนมจีนบ้าง ทั้งข้าวและขนมจีนบ้าง

แต่เผอิญว่าวันนั้น

มีน้องๆ บางส่วนไปขายผลิตภัณฑ์ให้กลุ่มผู้ที่มาอบรม

และยังไม่ได้มากินข้าวประมาณ 4-5 คน

เราจึงต้องเผื่ออาหารบางส่วนไว้ให้น้องๆ ด้วย

น้องมิ้นท์ น้องผู้หญิงในวง หลังจากกินขนมจีนจานแรกหมด

เอื้อมมือไปหยิบตะกร้าขนมจีนน้อยๆ 

กำลังจะตักเพิ่ม

ก็โดนเบรก

"น้องมิ้นท์ครับ พอแล้วครับ เดี๋ยวเพื่อนๆ ไม่ได้กิน แค่ชิมๆ พอนะลูก"

จึ้ก!!

เสียงนั้น เสียงคุณครู นั่งอยู่ข้างข้าพเจ้าเอง 

รสชาติขนมจีนขมๆ เฝื่อนๆ ขึ้นมาในบัดดล

เฮ้ย...เราตักขนมจีน 2 หัว -*-





หลังจากทานมื้อนั้น ล้างจานเสร็จ ข้าพเจ้าก็เดินออกมาสูดอากาศเงียบๆ เพียงลำพัง

เป็นอารมณ์นอยด์ที่เกิดขึ้นและคงอยู่ในความรู้สึกนานพอสมควร





ได้มาเล่าความรู้สึกและเหตุการณ์ขณะนั้นอีกครั้งตอนถอดบทเรียน

ในวันสุดท้าย

พี่ๆ ก็ยังว่า

"มันเป็นไรของมัน อยู่ดีๆ ก็จ๋อยๆ"

ฮ่าๆๆ




อ้อ ลืมเล่าอีกหนึ่งเหตุการณ์

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินออกมาจากบริเวณที่กินข้าวนั้น

น้องแก้ม หนึ่งในสมาชิกสาวน้อยที่ไปขายของ

และเพิ่งกลับมา เตรียมตัวจะกินข้าว

เปิดตู้กับข้าว เห็นขนมอยู่กระจุกหนึ่งในตู้

ก็ถามข้าพเจ้าว่า

ขนมนี้ เพื่อนๆ ได้กินหรือเปล่าคะ

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าขนมนั้นเหมือนจะไม่ได้เอาออกไปจากตู้

ก็เลยบอกน้องไปว่า

"เหมือนจะไม่นะ น้องแก้มเอาออกไปกินกับเพื่อนๆ เลย"

น้องตอบกลับมาว่า

"อ้าวหรอคะ งั้นไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนไม่ได้กิน หนูก็ไม่กิน"

นั่น...อีกหนึ่งดอก





เป็นการคิดแบบย้อนกลับสินะ

คนที่กินก่อนคิดถึงคนกินทีหลังยังไม่พอ

คนกินทีหลังต้องย้อนไปคิดถึงคนกินก่อนด้วย

โดนเข้าไปเต็มๆ สองดอกซ้อน

ก็จ๋อยกันไปยาวๆ

เด็กๆ ที่นี่...เป็นมนุษย์ที่หายากยิ่งในปัจจุบัน





หลังจากอารมณ์นอยด์ๆ ดีขึ้นบ้างแล้ว

เก็บไปพิจารณาและจำไว้เป็นบทเรียนแล้ว

ก็ปรับใจให้สดใส และตั้งหน้าตั้งตารับบทเรียนใหม่ต่อไป

ยังมีอะไรอีกเยอะให้ได้เรียนรู้ แพรวาเอ๋ย

(อันนี้ว่ากันด้วยจิตใจล้วนๆ ไม่ได้กล่าวถึงภาคทฤษฎีเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงเลย

อันนั้นค่อยว่ากันอีกที อิอิ)





ช่วงเย็น เราถูกปล่อยเกาะ

คือแบ่งพี่และน้องออกเป็นสองกลุ่ม

ไปเก็บพืชผักที่ปลูกไว้ในโรงเรียนมาทำอาหารกินกันเอง

หุงข้าวกันเอง

ถ้าอยากได้เครื่องปรุงอะไรเพิ่มเติม ต้องไปใช้ความสามารถพิเศษแลกมาจากครูใหญ่

(แพรวาถูกลากไปเต้นด้วยสองเพลง ลมแทบจับ ฮ่าๆๆ)

เนื่องด้วยการทำอาหารกันเอง กินเวลาไปนาน

จนล่วงเลยเวลาปกติของมื้อเย็นไปพอสมควร

น้องๆ ทุกคนก็หิวมาก

เมื่อกิจกรรมเสร็จเรียบร้อย

และได้เวลาลงช้อนรับประทาน

ก็จ้วงกันมือพันเป็นระวิง

กับข้าวทุกอย่าง อร่อยสุดๆ

และหมดเกลี้ยงในช่วงเวลาเพียงไม่นาน

แล้วจู่ๆ ครูกร หนึ่งในคุณครูของนักเรียนก็กลับเข้ามา

น้องๆ ก็หน้าเจื่อนๆ

เพราะข้าวและกับข้าวหมด

แต่คุณครูยังไม่ได้กิน





ครูบอกไม่ซีเรียสเลย

(ยังมีอาหารในตู้กับข้าวอยู่บ้าง)

แต่น้องปิงปอง

สาวน้อยแก้มป่องซึ่งนั่งกินอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า

และครูกรเดินมานั่งใกล้ๆ

คะยั้นคะยอบอกครูกรว่า

"น้ากรกินข้าวไข่เจียวของหนูเถอะน้า น้าๆๆๆ กินเถอะน้า"




จบการเล่าแต่เพียงเท่านี้ก่อน วิ่งไปปาดน้ำตาแป๊บ



เชิญชมรูปค่ะ ^___^





วัด ในตอนเช้ามืด 



ถนนลูกหิน 




พระอาทิตย์ขึ้นอยู่ทางโน้น 





อยู่ท้ายแถวเลย เอิ้กๆ




เจ้าตัวนี้เป็นมิตรมาก กระดิกหางมาคลอเคลียตลอด

จะวิ่งตามมาอีกแน่ะ

เจ้าของต้องตะโกนเรียก

"ไอ่ติ๊ก แกจะไปกับเค้าทำไม มานี่ กลับมานี่เลย"

เจ้านี่ก็เลยยืนงง จะไปต่อหรือจะกลับบ้านดี 

กลับไปจะโดนดุมั้ยหว่า

ฮ่าๆๆ



กับน้องเอิน โฟโต้บายน้องแชมป์



คนซ้ายน้องน้ำ คนขวาน้องปิงปอง 

น้องน้ำสาวอึด ตกจากหลังน้องปิงปอง (เล่นขี่หลังกัน)

แขนกระแทกลงพื้น ไม่ร้องไห้ด้วย

(ตอนแรกทำหน้าเหยเก แพรวาก็ใจแป้วละค่ะ ลูกเขาแขนหักมาจะทำไงหนอ เอิ้กๆ)

น้องปิงปองจอมพลัง

จับแพรวาแบกขึ้นหลังทุกวัน เหอๆ -_-"




โฟโต้บาย น้องปิงปอง ^^




ด้วยรัก

แพรวา






1 ความคิดเห็น:

  1. พืชได้เติบโตท่ามกลางแวดล้อมอันดี...งดงาม
    ซึ้งในน้ำใจของเด็กๆ
    และผู้อบรมสั่งสอน

    ตอบลบ