16 ธ.ค. 2556

งานอาสา...ท้องคัดท้องแข็ง ณ โรงเรียนประเสริฐวิทยาทาน


15 ธันวาคม 2556 

ตีห้าครึ่งโดยประมาณ 

แพรวาออกจากห้อง ขึ้นรถเมล์สาย 62 นั่งชิลมองข้างทางที่ยังไม่สว่าง

แต่ผู้คนก็ตื่นมาใช้ชีวิตกันมากมายแล้ว

(หรือความจริงคือพวกเขายังไม่ได้นอนหว่า)




ต่อรถไฟฟ้าบีทีเอส

จุดหมายปลายทางคือ จุดนัดพบ ณ ปตท สนามเป้า

6.30 น. คือเวลาที่นัดหมายกัน





วันนี้ เราจะไปทำงานอาสา โครงการแบ่งปันสิ่งของเพื่อเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา

ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


โรงเรียนประเสริฐวิทยาทาน


ข้าพเจ้าไปถึงก่อนเวลาประมาณห้านาที

ยังไม่มีรถตู้หมายเลขทะเบียนที่โพสต์ในเฟสบุ๊คมาจอดที่ปั๊มแห่งนั้น

(รถตู้จอดเรียงรายเป็นสิบ แต่คันของเรายังไม่มา)

กำลังจะกดโทรศัพท์หาผู้จัด ผู้จัดก็โทรมา

ปรากฏว่ารถตู้มาช้า

ข้าพเจ้ายืนรอ ชะเง้อคอยาวอยู่สักพัก ก็มีผู้ร่วมขบวนการเข้ามาทัก

ใช่แล้ว เรามีจุดหมายเดียวกัน

เรารวมตัวกันได้ห้าหกคน

ไม่มีทีมงานมาดูแล 

(ความจริงคือมี แต่ยังไม่มา)

พี่ๆ บ่นกันอุบเรื่องการประสานงานที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

แต่เราๆ ก็ยังไม่ถึงกับอารมณ์ขุ่นเคืองกันมากมายนัก

เพราะเข้าใจว่าทีมงานในครั้งนี้ยังใหม่

ในแง่ของการเป็นผู้จัด

และไม่ค่อยมีทีมงาน หมายถึง มีผู้ร่วมก่อการยังไม่เยอะ

ก็ตะกุกตะกักกันไปบ้าง

พี่ๆ ที่ผ่านประสบการณ์การออกค่ายมาโชกโชน

ก็แนะนำทีมงานไปพอสมควร ว่ามันควรเป็นแบบไหน

และแบบไหนที่ไม่ควรเป็น

เราออกจากกรุงเทพฯ เกือบแปดโมง ทั้งที่กำหนดการจริงๆ คือ เจ็ดโมง

แต่เอาเถอะ

เราก็ยังไปถึงที่หมายในเวลาไม่น่าเกลียด





ลงจากรถตู้ได้

น้องๆ วัยรุ่นทั้งชายทั้งหญิงก็เดินมายกมือไหว้ 

ช่วยขนของ

ข้าพเจ้าแอบตกใจ

เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเด็กโตขนาดนี้

ภาพหน้าปกในเฟสของกิจกรรมนี้ก็เป็นรูปเด็กตัวเล็กๆ

ประมาณระดับประถม

แต่มาที่นี่

เป็นน้องๆ ม.ต้น

ผู้อำนวยการกล่าวเปิดพิธีเล็กน้อย 

เล่าประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ของโรงเรียนนี้

ว่าก่อตั้งขึ้นโดยพระรูปหนึ่ง

ที่สงสารเด็กยากไร้ อยากเรียนหนังสือแต่ไม่ได้เรียน



เด็กๆ ที่นี่เป็นเด็กชาวเขา

จากอ้อมอกพ่อแม่มาเรียนหนังสือ

กิน อยู่ ร่วมกัน

ที่โรงเรียนนี้

พูดไทยชัดบ้างไม่ชัดบ้าง

และสื่อสารกันเองด้วยภาษาที่เราไม่อาจเข้าใจ

แต่กระนั้น ก็ต้องเรียนตามตรงว่า

แพรวาประทับใจน้องๆ มาก

เพราะความเป็นระเบียบ เรียบร้อย อ่อนน้อม

ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง

และที่สำคัญคือ พวกเขากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น

ซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่าช่วงเวลานี้ของชีวิต

พวกเราแก่น เฟี้ยว และสร้างความปวดหัววุ่นวายให้พวกผู้ใหญ่มากขนาดไหน

แตกต่างจากน้องๆ โดยสิ้นเชิง




น้องมีพลัง

มีทักษะการเอาตัวรอดที่ดีมาก

แต่ไม่ก้าวร้าว ไม่เอะอะโวยวาย ไม่โหวกเหวกเสียงดัง

ร่วมทำกิจกรรมกับพวกเราอย่างเต็มที่

ในขอบเขต

อย่างตั้งใจ




(นอกเรื่อง...ทำไมวันนี้ภาษามันดูซีเรียสชอบกล ฮ่าๆ)




ภาคเช้า เราเริ่มกิจกรรมกันด้วยการปลูกผัก ผลไม้ในแปลงผักของน้องๆ 

เพื่อจะให้มันออกดอกออกผลและเป็นอาหารสำหรับน้องๆ ต่อไป

แปลงผักแห้ง ดินแข็งพอสมควร

คนที่ลงจอบเพื่อพรวนดินก็ฮึบๆ กันไป

ที่เหลือก็ถือถังน้ำใบพอประมาณ (ถังประจำตัวของน้องๆ แต่ละคนเอาไว้ซักผ้า ใช้สอยต่างๆ)

ไปตักน้ำจากบ่อมารดดินให้คลายจากความกระด้าง

ทางลงบ่อค่อนข้างชัน และลื่น

น้องๆ จึงลงไปตัก แล้วส่งต่อขึ้นมาให้พี่ๆ อาสาด้านบน

ข้าพเจ้ามองดูน้องก้าวเท้าลงบ่อด้วยความชำนาญ

ปล่อยเท้าข้างหนึ่งให้ลื่นไปจนถึงจุดที่ทรงตัวได้ 

น้องรู้ว่าลื่น และปรับตัวให้ไม่ล้ม

น้องคนแรกที่ลงไปตักน้ำนั้น เป็นเด็กผู้ชาย

ตัวไม่ใหญ่

เขียนชื่อตัวเองในป้ายชื่อว่า "ปรารถ"

ท่าทางคล่องแคล่วมาก ท่าจะก๋ากั่นพอสมควร

(แต่ไม่ได้ใช้มันกับเรา ^^)

น้องคนที่ลงต่อมาเป็นผู้หญิง หน้าตาน่ารักทีเดียว

ก้าวลงด้วยท่าทางเหมือนน้องคนแรก คือ ปล่อยเท้าข้างหนึ่งลื่นไปบนแผ่นไม้

ก่อนจะหยุดยืนทรงตัวมั่นๆ แล้วเอาถังตักน้ำขึ้นมา

แหม่...สำนักเดียวกันเป๊ะ 




ข้าพเจ้าเดินกลับไปตักน้ำครั้งหนึ่ง แล้วไม่มีน้องๆ อยู่

อ่าว เอาแล้วไง ต้องลงเองสินะ

เห็นท่าลื่นๆ ของน้องแล้ว ก็แอบเสียวๆ (ไม่แอบล่ะ เสียวเลย โคลนเลนทั้งนั้น)

แต่ปรากฏว่า...ข้าพเจ้าก้าวลงโดยไม่ลื่นเลย

อัศจรรย์ใจมาก

พับเข่ายกเท้าขึ้นมาดูพื้นรองเท้า

อุ๊ปส์ ลืมไปว่าดอกยางรองเท้าจัดเต็ม

แหะๆ

(รองเท้าตั้งแต่ไปสร้างฝาย นุ่มซื้อให้ ขอบคุณอีกครั้งนะจ๊ะ)

รู้งี้ลงไปเองตั้งแต่แรกละ ไม่ต้องให้น้องไปลื่นๆ อย่างงั้นหรอก เหอๆ




ปลูกผักผลไม้เสร็จ ก็ได้เวลาอาหาร (11.00 น. น่ะนะ)

เมนูอาหารเป็นข้าวมันไก่ทอด และมีไข่เจียวด้วย

น้องๆ กินกันเก่งมาก

น้องผู้ชายจัดไปคนละสองจาน

ส่วนน้องผู้หญิง ข้าวหมดก็ไปมุงถังไอศกรีมเลยจ้า

ชายหญิงแตกต่างกันตรงนี้สินะ ฮ่าๆๆ

(ข้าพเจ้ารู้ทีหลังว่ามื้อเช้าของน้องๆ เป็นไข่ต้ม ไข่ต้มเพียวๆ เลย)



สำหรับกิจกรรมในภาคบ่าย

เราเริ่มต้นด้วยการละเล่นเล็กๆ น้อยๆ ในร่ม

ประเดิมด้วย

"เก้าอี้ดนตรี" 

(อ้อ ลืมบอกว่า เราถูกแบ่งกลุ่มเป็นสี คละกันทั้งน้องและพี่อาสา 

แพรวาอยู่สีชมพู แหววๆ)

ส่งตัวแทนสีละ 9 คน พี่ 2 น้อง 7

พี่อาสาหันมองกันเลิกลั่ก สรุปคือ แพรวาออกไปเล่น

เอิ้บ...

เล่นเก้าอี้ดนตรีกับน้องๆ จอมพลังเนี่ยนะ

-*-



นั่นไง

หงายหลังถลอกปอกเปิกตั้งแต่รอบแรก

ข้าพเจ้าลำดับเหตุการณ์ไม่ถูก เพราะเมื่อเพลงหยุดก็เหมือนเวลาถูกหยุดไปชั่วขณะ

รู้ตัวอีกทีก็ลงไปกองกับพื้นแล้วเรียบร้อย

อาสาทีมเดียวกันกวักมือเรียกอย่างเร็ว

"มาๆ ป้าๆ ออกมา ออกมา" 

-_-"

ได้แผลถลอกมาประดับอีกหนึ่งรอย เอิ้กๆ




พอได้มานั่งดูอยู่รอบนอกเท่านั้นล่ะ

ถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว

แหม่

ไปเจอเซียนๆ ทั้งนั้นนี่หว่า

เท้าเกาะเกี่ยวมือกระหวัดยื้อแย่งยุดฉุดกระชาก

ป๊าดดดดด

ลืมไปว่าตัวเองแก่ (กว่าน้อง) ไปมากแล้ว

สู้ไม่ไหวจริงๆ ฮ่าๆๆ

หรืออันที่จริงก็คือ ข้าพเจ้าสู้ใครเขาไม่ได้หรอก

เรื่องการแย่งชิงนี่น่ะ เหอๆ



ได้แต่ยืนหัวเราะท่าทางของน้องแต่ละคน

นี่เก้าอี้ดนตรีซีเกมส์รึป่าวฮะ

โปรเฟสชันน่อลลลลล สุดๆ



ผู้รอดชีวิตในรอบสุดท้ายคือ น้องผู้ชายสองคน

ท่าทางจะซี้ปึ้ก

ออกสเต็ปกวนกันเรียกเสียงหัวเราะได้สุดฤทธิ์

มีท้ากัน "แน่จริงออกไปไกลๆ เด้" 

(แปลออกมาเป็นประมาณนี้ล่ะ)

แหม่...


ข้าพเจ้าเสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้เอากล้องติดตัวไว้

(เพราะลงไปเล่นเกมเอง)

ภาพนั้นน่ารักจริงๆ





เกมต่อมา สุดคลาสสิค

เหยียบลูกโป่ง

แหม น้องแต่ละคน

เป่าลูกโป่งประจำตัวแบบเจ้าเล่ห์สุดๆ

เป่าลูกเล็กๆ เหี่ยวๆ และมัดหนังยางไว้ซะสูง

ขึ้นมาเกือบถึงข้อเข่า

กรรมการต้องตามเช็คตามแก้กันจ้าละหวั่น

ประมาทไม่ได้จริงๆ ฮ่าๆ

แต่ที่ข้าพเจ้าขำสุดๆ สำหรับเกมนี้ก็คือ

น้องเหยียบกันมันส์มาก

มันส์จนหลายจังหวะ สีเดียวกันเกือบเหยียบกันเอง

กร๊ากๆ





สุดท้ายในร่ม คือ กินวิบาก

เป็นกินวิบากที่น่าจะทรมานสุดๆ 

เพราะเป็นขนมเปี๊ยะติดฟัน ติดปาก ติดคอ

แล้วต่อด้วยโค้กกระป๋องซาบซ่า

บรึ๋ย..แค่คิดก็อะจึ๋ยแล้วค่า





นั่นไง

สภาพแต่ละคน

กองเชียร์เป็นกำลังใจให้อย่างดีเยี่ยม

นั่งหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง

โดยเฉพาะสีน้ำเงิน

ที่สองพี่น้องนั่งดื่มโค้กกันชิลๆ 

ไม่สนใจสิ่งใดในโลกอีกแล้ว

(แหงสิ สองสีเขาชนะไปแล้วนิ เหลือสองสีสูสีกันเรื่องความฮานี่แหละ ฮ่าๆ)

หน้าตาพะอืดพะอมที่สุดในสามโลก

ขอโทษจริงๆ นะ

เรากลั้นหัวเราะไม่ไหวจริงๆ ฮ่าๆๆ





จบเกมในร่ม นั่งพักกันได้สักครู่

ก็ออกสู่กลางแจ้ง

แชร์บอล

น้องๆ ชูทแม่นยังกับทีมชาติ

ทั้งระยะไกล ระยะใกล้

ทีมสีชมพู (ของข้าพเจ้า) ลอยลำผ่านเข้ารอบชิงไปนั่งรอสบายใจ

เพราะฝีมือการปัดตะกร้าของข้าพเจ้านี่เอง กร๊ากๆ

(เหรออออ -*-)


แต่อีกคู่หนึ่งทำเอาทีมเราหนาวๆ สั่นๆ

เพราะสีฟ้ามีแต่ตัวฉกาจ

ผู้ชายหุ่นเพรียว มือวางอันดับต้นๆ ในเรื่องการชูทแทบทุกคน

ป๊าดดดด ชนะไป 12 ต่อ เอ่อ ต่อเท่าไหร่หว่า สัก 2 หรือ 3 นี่แหละ แหะๆ



รองชิงชนะเลิศ

ข้าพเจ้าลงไปปัดตะกร้าเหมือนเดิม

ปัดถึงไม่ถึง ปัดได้ไม่ได้ไม่รู้ รู้แต่กรี๊กกร๊าด อั้ยย่ะ อ๊ากๆ ไว้ก่อน

และจิ้มพุง ทำร้ายร่างกายน้องผู้หญิงคนถือตะกร้าไปหลายที

ฮ่าๆๆ



จบเกมด้วยสีฟ้าเป็นผู้ชนะ

เราหน้าอมชมพูกันถ้วนหน้า

อโรม่าตัวเองด้วยเหงื่อไหลและขี้ไคลย้อยๆ 

แต่ก็สนุกสนานราวกับย้อนเวลาไปช่วงกีฬาสีประจำโรงเรียนตอนสมัยเด็กๆ

เอิ่ม ตะกร้าผ้าน้องแตกไปหนึ่งใบด้วย 

เล่นกันยังไงฮ๊าาาา เอิ้กๆ



ช่วงสุดท้ายเป็นการเซอร์ไพรส์วันเกิดน้องๆ และอาสาที่เกิดในเดือนธันวาคม

เรียกน้ำตาพอสมควร

ก่อนจะมีพิธีมอบของบริจาคให้กับทางโรงเรียน

และปิดกิจกรรมในวันนี้



อนึ่ง เนื่องด้วยเวลายังพอมีเหลือ

(คือเสร็จสิ้นกิจกรรมก่อนเวลาในกำหนดการพอสมควร)

เราจึงแวะไปนมัสการหลวงพ่อโต ณ วัดสะตือ

นั่งกินก๋วยเตี๋ยว 

แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทาง

เม๊าท์มอยเรื่อยเปื่อยกันสักพัก

ก่อนจะเดินทางกลับสู่ กรุงเทพฯ

อาสาหลายคนทำงานประจำ

ข้าพเจ้าไม่ได้ทำงานประจำแล้ว 

แต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรๆ มากมายต้องทำไม่ต่างกัน

เหอๆ



กลับมาด้วยอาการเพลียสุดชีวิต 

ทั้งเล่น ทั้งออกแรง วิ่ง กระโดด กรี๊ด (ห๊ะ? เกี่ยวด้วยหรอ) ตากแดดตากลม

หนำซ้ำคืนก่อนไป (คืนวันเสาร์) ยังกระแดะนอนดึกเพราะเขียนนิยายเพลินอีกต่างหาก

แต่ก็ยังซ่า นั่งทำดูรูป ทำรูป ทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

ดูรูปไปยิ้มไป หัวเราะเบาๆ กับตัวเอง

วันนี้ช่างสนุกสนานเหลือเกิน



ข้าพเจ้าแอบคิดบนรถตู้ตอนเดินทางกลับ

อยากไปเป็นครูที่โรงเรียนนี้จัง

อยากสอนน้องๆ เล่นคำคม Crossword A-math 

(สอนได้แค่อย่างแรก สองอย่างหลังเล่นไม่เป็นนะฮะ)

น้องๆ ที่นั่นเป็นเด็กที่สมควรได้รับการดูแล

และเป็นเด็กที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า

ถ้าเราให้อะไรพวกเขาไป

เราจะไม่มีวันเสียดายสิ่งเหล่านั้นเลย

พวกเขาสมควรได้รับมันจริงๆ

นี่ไม่ได้หมายความถึงเฉพาะการยากไร้หรือไม่

หากหมายถึงการพิจารณาเรื่องนิสัยใจคอ 

เป็นเด็กวัยรุ่นที่น่ารักสมวัย แต่ก็ไม่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า

ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและผู้ใหญ่

ใครบางคนพูดและข้าพเจ้าบังเอิญได้ยินว่า


พวกเขาอาจอยู่ในสภาวะที่รู้ฐานะของตัวเองดี

จึงได้มีท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างนั้น



การเดินทางแต่ละครั้ง

งานอาสาแต่ละหน

ให้ประสบการณ์ไม่เคยซ้ำกันเลย

และแต่ละครั้งก็มีเสน่ห์ ตราตรึงใจในแบบของตัวเอง

เทียบกันไม่ได้จริง

หยุดเดินทางไม่ได้จริงๆ

อ้าว...ก็ใช่ไง

เพราะชีวิตคือการเดินทางนิ 

:P



ป.ล. ครั้งนี้ ตั้งใจว่าจะบันทึกเป็นคำพูด 

บรรยายความประทับใจในแต่ละช่วงเวลาของกิจกรรมให้ได้มากที่สุด

เพราะการเป็นอาสาที่ต้องร่วมกิจกรรมกับน้องๆ

ทำให้ไม่อาจถือกล้องติดมือได้ตลอดเวลา

ภาพบางภาพ

ข้าพเจ้าชอบ ชอบมาก ชอบที่สุด

แต่เมื่อไม่อาจบันทึกด้วยอุปกรณ์เสริม

ก็ต้องใช้หัวใจ และถ้อยคำ 

เก็บเอาไว้ ให้นาน นาน


ป.ป.ล. ใครอยากช่วยเหลือ สนับสนุนการศึกษาของเด็กดอยน่ารักๆ

ไม่ต้องไปไกลถึงชายแดน

อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน

ใกล้ๆ นี่เอง

ฝากน้องๆ ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ






ตามธรรมเนียม (ของตัวเอง)

ดูรูปกันดีกว่า ^___^




ราวๆ ริมๆ ตีห้า ฟ้ายังมืด ถนนโล่ง รถเมล์ว่าง





นักเรียนน่าจะร้อยกว่าๆ ครูไม่น่าเกินสิบ แต่ก็อบอุ่นอบอวลด้วยความรักใคร่ และเมตตา





โอ่งรึแอปเปิ้ลยักษ์?? สดใสสุดๆ






ในวันที่ีมีความสุข แม้แต่เสายังสดใส





บอกแล้วว่าหนุ่มๆ แน่นๆ ทั้งนั้น (ไม่นับรวมเจ้าตัวเล็ก ป.2 ที่เนียนมาแจมด้วยนะ อิอิ)






ของฝาก ของบริจาค (บอล 3 ลูกจะอยู่ได้กี่วัน โดนหนามต้นไม้แตกปั้งๆ ตลอด)






อ่านว่า ชม-รม-พัน-ทาง





ผู้อำนวยการ เล่าประวัติโรงเรียน กล่าวเปิดพิธี




ต้นไม้ (ออกดอกออกผลได้) ที่เราปลูก




ตะไคร้ ตะไคร้ ตะไคร้




สนามกลางแจ้ง แดดเป็นแดด ดำเป็นดำ เอิ้กๆ




สุภาษิตคำคมมีอยู่ทุกต้น




ขอรักชาติเบาๆ บนเพดาน




องค์พระ ณ ลานกลางแจ้ง




จะมีใครเหยียบแตกไหมล่ะนั่น หึๆ




เจ้าตัวเล็ก แสบใช่ย่อย




เหยียบอย่างเมามัน




สนามแข่งกินวิบาก

แค่เห็นขนมเปี๊ยะ กับโค้กกระป๋องก็บรึ๋ยแทนแล้วจ้า





โฉมหน้าผู้เข้าแข่งขัน




สีชมพูสู้ๆ (น้องคนนี้ชูทแม่นมาก และอ่อนน้อมน่ารักสุดๆ)





เริ่ม...





คนสวยก็สู้สุดใจขาดดิ้น ชนะเลิศด้วยนะเออ




อะเหอะ เออะ



โค้กระเบิดตอนเปิด หัวเราะร่าเลย ได้ซ่าน้อยลง ฮ่าๆ






สีน้ำเงินไม่แคร์แล้วจ้า ค่อยๆ จิบ ค่อยๆ ซ่า กร๊ากๆ






เมื่อไหร่จะแตก ???  มันลุ้นนะรู้ป่ะ -*-





หลวงพ่อโต วัดสะตือ




ใหญ่มว้ากกกก





ฟ้าสดใส




พระบรมสารีริกธาตุ





เณรน้อยให้พรได้ด้วยนะ




ต้นไม้ในวัด




ฟลอร่าในห้องน้ำวัด




ห้องน้ำวัดจริงๆ ติดแอร์เย็นๆ กลิ่นหอมชื่นใจ





หนทางแห่งการปลดทุกข์





จะจดจำเสียงหัวเราะในวันนี้ไปตราบเท่าที่สมองและหัวใจยังทำงาน


ด้วยรัก

แพรวา