7 ธ.ค. 2556

ในฐานะสีกา


วันนี้ กำลังนั่งเพลิดเพลินกับการเขียนนิยาย

โทรศัพท์มีสายเข้า

เบอร์ที่คุ้นตา

ว่าจะไม่กดรับ

แต่นานๆ ทีเขาจะโทรมา

เกรงว่าจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า

กดรับเท่านั้นแหละ

ถึงขั้นพูดไม่ออก



"ว่าไงโยม"



อืม...เขาบวชอยู่ 

บวชตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

เขาส่งการ์ดเชิญมาให้ทางไลน์ บอกว่าอยากให้ไป

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไป

และไม่ได้บอกเขาด้วยว่าจะไม่ไป

ข้าพเจ้าอยากหายไปจากชีวิตเขาเงียบๆ

ลากันไป ขาดกันไป ให้เหมือนสายลมพัดผ่าน

ให้แผ่วเบา และค่อยๆ เจือจางความทรงจำระหว่างเรา

ด้วยกาลเวลา


(ข้าพเจ้าลืมไปว่าเขาน่าจะยังไม่สึก -*-)



ภาวะหลังจากตระหนักได้ว่ากำลังเป็นการสนทนาระหว่างพระกับสีกา

ทำให้สั่นๆ นิ่งอึ้ง และพูดผิดๆ ถูกๆ

ความจริงคือ พูดได้แค่ประโยคเดียว คือ "อะ เอ่อ นมัสการค่ะ"

พระหัวเราะหึๆ เล็กน้อย และบอกว่า "ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้"

ข้าพเจ้าทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ กลับไป

เราเงียบกันไปสักครู่

พระถามว่า อยากคุยไหม

สะดวกคุยไหม




ข้าพเจ้ายังเงียบอยู่

จนในที่สุดก็ตอบท่านไปว่า

"เอาไว้ค่อยคุยกันหลังพระสึกแล้วดีไหมคะ"

พระตามใจ

บอกเจริญพร

แต่ไม่ได้กดวาง

ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าควรจะพูดอะไร

การลงท้าย การร่ำลาพระ จะต้องเอ่ยว่าอะไร

สมองมันตื้อไปหมด

สายโทรศัพท์ยังค้างอยู่ เพราะไม่มีใครกดวาง





ถ้าเป็นเมื่อก่อน ในสถานะอื่นๆ

ข้าพเจ้าคงหลุดพูดไปว่า 

เอ้า ทำไมไม่วาง

เพราะเราสองคน เวลาที่อยู่ในภาวะกึ่งๆ อยากคุย แต่ก็กึ่งๆ อยากวาง

เราจะเป็นกันเช่นนี้

จะทำท่าวางสาย แต่ก็ไม่กดวาง

แล้วสุดท้าย ก็จะได้เวลาเริ่มต้นบทสนทนากันใหม่

แต่ตอนนี้ ไม่ใช่...มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น





ข้าพเจ้าไม่ได้อยากคุย แต่ก็ไม่กล้ากดวาง

แต่ในท้ายที่สุด ข้าพเจ้ากดวางอย่างเบามือ





ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า

เมื่อครั้งที่ตัวเองบวชชี

แล้วโทรหาเพื่อนผู้ชายเพื่อสอบถามเขาว่า ข้าพเจ้าจะอยู่วัดต่ออีกหน่อยได้ไหม

(ใกล้ถึงกำหนดลาสิขา แต่ยังไม่อยากกลับ จึงต้องโทรถามเพื่อนว่ามีภารกิจอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า

เพื่อนตอบมาโดยไม่ต้องคิด...ไม่ได้...แม่ชีต้องกลับมา

เอิ่ม กลับก็ได้)

ตอนนั้น เขาเกร็ง และพูดผิดๆ ถูกๆ เอ่อ อ่า เอ่อ อ่า อย่างนี้แหละ

เพิ่งเข้าใจเขาก็วันนี้นี่เอง





ข้าพเจ้าจำเป็นต้องหยุด

ไม่ว่าจะมี หรือ ไม่มีอะไร

ในบทสนทนานั้น

ข้าพเจ้าเคยพลาดมาแล้ว และจะไม่มีวันพลาดอีก

ครั้งนี้ อาจไม่เป็นเช่นครั้งนั้น แต่ก็ไม่ควร





พระรูปหนึ่งเคยเทียวโทรมาหาข้าพเจ้าบ่อยครั้ง

เรารู้จักกันตั้งแต่เมื่อครั้งข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่

ตอนนั้นเขายังเป็นผู้ชายธรรมดา ยังไม่ได้อยู่ในสมณเพศ



เขาเข้ามาทัก ในวันสุดท้าย วันที่ข้าพเจ้ากำลังจะกลับกรุงเทพฯ

เราสอบอารมณ์กับพระอาจารย์รูปเดียวกัน

และเขาเข้ามาทัก มาถามไถ่ ทำความรู้จัก

เพราะเห็นว่าข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติ

และพระอาจารย์มักชมข้าพเจ้าต่อหน้าใครๆ บ่อยๆ

เขาประทับใจ และรู้สึกดีที่เห็นเด็กอย่างข้าพเจ้า 

(ตอนนั้นอายุประมาณ 18...ก็ไม่เด็กแล้วนะ เหอๆ)

เข้าวัดเข้าวา ปฏิบัติจริงจัง

(เขาว่าอย่างนั้นนะ)

เราติดต่อกันบ้าง 

บ้างนี่คือส่วนใหญ่เขาจะโทรมา

ส่งข้อความมา

หรือส่งอีเมลมา

ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้เป็นฝ่ายติดต่อไปนัก เพราะไม่มีเรื่องจะคุยกับเขาสักเท่าไร

จนสองสามปีผ่านไป

ข้าพเจ้าอยู่ ปี 4 

และคิดว่านั่นคือโอกาสสุดท้ายที่จะได้ไปอยู่วัดนานๆ

เพราะเมื่อเรียนจบ ก็ต้องทำงาน ต้องรับผิดชอบภาระต่างๆ

อาจไม่สะดวกยิ่งกว่านี้

จึงคิดจะโดดเรียนเพื่อไปอยู่วัด

สักเดือน

และอะไรดลใจไม่ทราบได้

จู่ๆ ก็บอกตัวเองว่า

บวชชีเสียเลยสิ

จึงโทรศัพท์ไปขออนุญาตแม่...ซึ่งแน่นอน แม่ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว

ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์ไปถามพี่คนนั้น

เพราะเขาอยู่เชียงใหม่ 

โทรเพื่อจะรบกวนถามเขาว่า เขายังไปวัดอยู่หรือเปล่า

หมายถึงวัดที่ข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมและตั้งใจจะไปบวชชี

พอข้าพเจ้าเอ่ยปากว่าอยากจะบวชชี

เขาก็กุลีกุจอเป็นธุระติดต่อสอบถามแม่ชีที่นั่นให้เป็นการใหญ่

ข้าพเจ้าทราบซึ้งน้ำใจไมตรีของเขาอย่างยิ่ง





วันแรกที่ข้าพเจ้าไปถึงวัด

เขาบอกว่า ถ้าถึงแล้วให้โทรหาเขา

จะพาไปหาแม่ชีที่ดูแลเรื่องบวชให้

ข้าพเจ้าก็โทรไป

สักพักเขาก็เดินมา

ข้าพเจ้าแทบค้าง 

นิ่งอึ้ง

เพราะจีวรส้มเด่นมาแต่ไกล

อะไรกัน นี่ข้าพเจ้าคุยกับพระมาตลอดเลยหรือนี่

พระท่านยิ้ม บอกข้าพเจ้าว่า

อยากให้เซอร์ไพรส์

(ค่ะ เซอร์ไพรส์มาก)





ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าบวชชีที่นั่น

มีกัลยาณมิตรหลายคนที่เอ็นดูและเมตตา

ทั้งแม่ชีทั้งหลาย และผู้มาปฏิบัติธรรม

ทั้งอาหาร น้ำปานะ ขนมนมเนย 

จะมีมาแขวนอยู่หน้าประตูห้องอยู่ไม่ขาด

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยได้คุยกับใคร

เลี่ยงได้ก็เลี่ยง

จนวันทีี่ใกล้จะสึกแล้ว จึงได้ปริปากสนทนากับผู้อื่นบ้าง

ได้ขอบคุณผู้คนทั้งหลายบ้าง




รวมถึงหลวงพี่ด้วย

ข้าพเจ้าคิดมาตลอดว่ามันเป็นเพียงความประทับใจ

เป็นความเมตตา

เป็นการเอ็นดูเด็กคนหนึ่ง

และยิ่งไม่คิดไปในทางเช่นนั้น เพราะหลวงพี่บอกว่า

ตั้งใจจะบวชตลอดชีวิต




จนเมื่อข้าพเจ้าจากมา

หลวงพี่ยังโทรศัพท์มาถามสารทุกข์สุขดิบ

ซึ่งหลังจากนั้น

การคุยโทรศัพท์ระหว่างข้าพเจ้ากับท่านก็เปลี่ยนไป

ข้าพเจ้าเกร็งมากขึ้น พูดน้อยลง หรือแทบไม่พูดเลย

มีเพียงการตอบคำถามที่ท่านถามมาเท่านั้น

จนในท้ายที่สุด

เมื่อวันหนึ่ง

ข้าพเจ้าไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบกลับอีเมล

ท่านก็ส่งข้อความและอีเมลมาถึงข้าพเจ้า

ระบายถึงความรู้สึกละอายใจ

และพูดถึงคำกล่าวที่ว่า

"ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"




ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า

ตัวเองนั้น..พลาดไปแล้ว

พลาดที่ไปก่อทุกข์ให้ท่าน

พลาดที่ไปเติมเชื้อเติมไฟเผาใจท่าน

ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจ

แต่ก็คิดน้อยไป รู้เท่าทันกิเลสน้อยเกินไป

และสิ่งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะทำเพื่อหลวงพี่ได้ก็คือ

พาตัวเองออกมาจากชีวิตท่านเสีย

เพื่อท่านจะได้บริสุทธิ์ในเพศบรรพชิต

และตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อไป





การพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับภาวะเช่นนั้น

มีแต่ความร้อนรุ่ม มีแต่ความหม่นหมอง

และข้าพเจ้าค่อนข้าง sensitive กับเรื่องทำนองนี้




ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไปไหว้พระ ทำบุญ

และที่วัดนั้น มีซุ้มบริจาคเพื่อสร้างโบสถ์หรืออะไรสักอย่างทำนองนั้น

ข้าพเจ้าหยอดเงิน

พระที่นั่งประจำที่ซุ้มอวยพร

และเตรียมส่งของที่ระลึก เป็นสายสิญจน์ให้

ข้าพเจ้ารองสองมือด้านล่าง

เพราะตามปกติ พระจะหย่อนทิ้งของนั้นลงมาที่มือเรา

สีกาจะไม่รับของจากมือท่านตรงๆ

แต่ครั้งนั้น

ข้าพเจ้าตกใจ

เพราะพระรูปนั้นวางของลงบนมือ

และลูบมือข้าพเจ้าอย่างจงใจ




ข้าพเจ้าหน้าชา

เดินกลับมาหาคนรัก

ขณะขับรถกลับ

ข้าพเจ้าเล่าให้คนรักฟัง

เขาบอกอย่าคิดมากเลย

นั่นไม่ใช่เจตนา ไม่ใช่การกระทำของเรา



แต่กระนั้น

ข้าพเจ้ายังอดรู้สึกรังเกียจภาพนั้นไม่ได้



เราไม่เข้าไปหาเขา

เขาก็เป็นฝ่ายเข้ามาหาเราได้

อย่าไว้ใจตัวเอง

และอย่าไว้ใจคนอื่น




พูดถึงเรื่องนี้

นึกถึงสีกาแอน

เพียงแค่เราหักห้ามใจตัวเองได้

และพาตัวเองออกมาจากที่ตรงนั้นก่อนที่อะไรๆ จะลุกลามไปจนไม่สามารถควบคุมได้

เรื่องทุกอย่างก็จะมีวันจบลง

ผ้าเหลืองจะอบอุ่นเมื่ออยู่ในที่ที่ควรอยู่

ในสภาวะที่ถูกที่ควร




เรามีหน้าที่ส่งเสริมให้ท่านถึงทางบริสุทธิ์

และหยุดยั้งหากท่านเผลอไผล

ในฐานะสีกาคนหนึ่ง

ไม่พึงเอาตัวไปใกล้สมณเพศ

ไม่ว่าทางใดทั้งสิ้น




๗ ธันวาคม ๒๕๕๖

แพรวา มั่นพลศรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น