5 ธ.ค. 2556

New Year Party (ที่แรกของประเทศเลยมะ? ^__^) ณ บ้านพักพิง Ronald Mcdonald House เพื่อครอบครัวผู้ป่วยเด็ก


วันนี้ ( 4 ธันวาคม 2556)

มีนัดกับมูลนิธิ Ronald McDonald House 

ไปเป็นอาสาสมัครช่วยจัดกิจกรรมสังสรรค์วันปีใหม่ให้กับเด็กๆ ผู้ป่วย 

(ไม่ป่วยก็มาด้วยเหมือนกัน)

ณ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี

แถวสวนสยามนู่น (ใช้คำว่านู่น เพราะไกลจากพระราม 3 มว้าก)

ทีมงานโทร Confirm สองครั้ง ครั้งแรกเป็นการสอบถามความสามารถพิเศษ

เพื่อดูว่าจะให้เราช่วยงานตรงส่วนไหน

ส่วนอีกครั้ง โทรก่อนวันงาน 1 วัน เพื่อยืนยันว่า เราจะไม่เบี้ยวชิมิ?




ข้าพเจ้าสมัครไปเป็นจิตอาสาในกิจกรรมนี้ผ่านทางธนาคารจิตอาสา

และจากการสัมภาษณ์พูดคุยในรอบแรก

ทางทีมงานบอกข้าพเจ้าว่า

ถ้างั้น เดี๋ยวให้น้องเป็น MC ละกัน ช่วย entertain น้องๆ

เป็นผู้ดำเนินรายการว่านั้นเถอะ

ข้าพเจ้าแหะๆ ไปสองสามที แต่ก็ตอบตกลง

เอาวะ ไม่เคยก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้




ความจริงแล้ว ข้าพเจ้ากรอกในใบสมัครตรงส่วนความสามารถพิเศษว่า

การพูดในที่ประชุมชน แต่ก็ยกตัวอย่างไว้ด้วยว่า

อาทิ โต้วาที

ฮ่าๆๆ

คือ เอาตรงๆ เลย

ตั้งแต่พูดจาภาษาคนรู้เรื่อง

จนถึงตอนนี้

ที่ (พอจะ) มั่นใจก็แค่การโต้วาที และแถลงการณ์ในชั้นศาลเท่านั้นแหละ

(ก็ฝึกจริงจังมาแค่นั้นน่ะ เหอๆ)

แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็พูดได้นะ เพราะเวลาต้องรายงานหน้าชั้นเรียน

หรือ present อะไรๆ ก็ (คิดว่า) ยังสามารถทำได้ในระดับที่ดีพอสมควร

(ถ้าไม่นับเรื่องเสียงเล็กงุ้งงิ้งเหมือนยุงตีกันซึ่งยากจะแก้ได้น่ะนะ -*-)



นอกเรื่องซะยาว มาเข้ารายละเอียดกิจกรรมเลยดีกว่า

ก่อนอื่น (อะไรอีกยะ...ไหนจะเข้าเรื่อง?) 

ต้องขออธิบายก่อนว่า (อันนี้จำเป็นต้องกล่าวถึงจริงๆ นะ เป็นการเป็นงานเลย อิอิ)

มูลนิธิ โรนัลด์ แมคโดนัลด์ นี้ ก็คือร่างอวตารของร้านแฮมเบอร์เกอร์นั่นแหละ

แต่เป็นร่างที่มีหน้าที่เป็นนางงามรักเด็ก 

ทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย...เด็ก

โดยโครงการที่ทำในปัจจุบัน จะเป็นไปในรูปแบบของการสร้างศูนย์พักพิง

สำหรับครอบครัวผู้ป่วยเด็กเหล่านั้น

พูดง่ายๆ คือ

สร้างบ้าน (ชั่วคราว) ไว้ให้ผู้เป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายมาพักพิง

เวลาที่ลูกเด็กเล็กแดงเจ็บไข้และต้องนอนโรงพยาบาล




โดยหลักการและเหตุผลสืบเนื่องมาจาก

เวลาที่เด็กไม่สบาย 

ครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก คือ ไม่ร่ำรวย และค่อนไปทางยากจน

จะมีปัญหาเรื่องที่พักเวลาต้องมาเฝ้าไข้เด็กๆ

บางรายไม่สามารถสู้ค่ารถ ค่าเดินทางไปมาได้

ทำให้พ่อแม่หลายคนไม่สามารถดูแลลูกๆ หลานๆ ได้อย่างเต็มที่

ทั้งยังต้องทำมาหากิน หาเงินค่าหยูกยาอีกต่างหาก

มูลนิธิฯ จึงผุดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัวผู้ป่วยเด็ก

เพื่อเด็กจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพ่อแม่

เพื่อญาติๆ จะได้มีโอกาสมาเฝ้า มาดูแลลูกหลานของตนเอง

เพราะกำลังใจนั้น...เป็นสิ่งสำคัญ




บ้านพักพิงนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่อยู่เดี่ยว

คือ นอนเตียงเดี่ยว

เป็นห้องนอนรวม

มีเตียงสองชั้น

แต่ชั้นเดียวก็มี

มีผ้าม่านกั้นเป็นสัดส่วนของใครของคนนั้น

มีพัดลมประจำเตียง

และมีแอร์ประจำห้อง

มีล็อคเกอร์เก็บของ

มีห้องน้ำสะอาด

ส่วนของห้องนอนรวมนี้จะแยกชายหญิง

และต้องสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตูเท่านั้น

safety สุดๆ เลยใช่ไหมล่า 




อีกส่วนหนึ่ง

เป็นห้องนอนใหญ่

คือ อยู่กันเป็นครอบครัว

อยู่ได้หลายคน

มีห้องน้ำในตัว มีโต๊ะเครื่องแป้ง เฟอร์นิเจอร์

ห้องนอนใหญ่นี้มีทั้งหมด 3 ห้อง

สำหรับ 3 ครอบครัวว่างั้น



บรรยากาศเวลามีผู้พักอาศัยแล้วเป็นยังไง 

อันนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้สัมผัส

เพราะบ้านพักพิงที่โรงพยาบาลนพรัตนฯ นี้

เพิ่งก่อร่างสร้างตัวแล้วเสร็จ และยังไม่ค่อยมีผู้ใดเข้าอยู่

ถ้าอยากเห็นบรรยากาศจริงๆ

คงต้องไปดูที่โรงพยาบาลเด็ก

ซึ่งเป็นบ้านพักพิงหลังแรกของมูลนิธินี้




เอาล่ะ เกริ่นซะยาว (เริ่มเมื่อย)

มาเข้าเรื่องกิจกรรมกันดีกว่า



ความจริง ข้าพเจ้าเคยทำกิจกรรมกับเด็กๆ มาบ้าง

อาทิ สอนการบ้านเด็กตาบอด

เล่านิทานให้เด็กฟังที่มูลนิธิบ้านอารีย์

ไปกอดน้องที่บ้านโฮมฮัก

ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเด็กๆ อยู่บ้าง

แต่ก็น่าแปลก ที่ครั้งนี้ ดูแตกต่าง

อืม...ก็คงต่างจริงๆ 

เพราะอย่างน้อย ทุกๆ กิจกรรมที่ผ่านมา

เด็กๆ ที่ข้าพเจ้าสัมผัส จะเป็นเด็กแข็งแรง

เป็นเด็กที่สามารถทำกิจกรรมกระโดดโลดเต้นได้ค่อนข้างสบาย

หรือแม้กระทั่งเด็กๆ ที่บ้านโฮมฮัก

ก็ยังแข็งแรง เต้นบีบอย เล่นฮูล่าฮูป เล่นบาส ปั่นจักรยานกันได้สนุกสนาน

แต่เด็กๆ ในวันนี้...ไม่ใช่




หลายคนมาพร้อมรอยสายน้ำเกลือ

หลายคนมาทั้งชุดคนไข้

หลายคนมีผ้าพันข้อมืออย่างหนาแน่น

ตอนแรก...ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเด็กๆ ป่วยด้วยโรคอะไร

รู้แค่ว่า ก็คงป่วย และที่ต้องพันผ้าตรงข้อมือหนาๆ 

ก็เพราะมือเด็กยังอ่อน เวลาเสียบสายน้ำเกลือจะเคลื่อน จะเจ็บ หรืออะไรก็ว่าไป

(แหม่ จบนิตินะฮะ คิดเป็นตุเป็นตะเลย)

เด็กบางคน...ระบายสี ด้วยมือข้างที่เจ็บนั่นแหละ

เห็นท่าทางก็รู้ว่าเจ็บ




และมันก็สะเทือนใจไม่น้อยเมื่อรับรู้ว่า

เด็กๆ ยอมแลกความเจ็บปวด (ที่ไม่รู้ว่าเล็กน้อยหรือเปล่า) กับการได้ระบายสีรูปภาพสวยๆ




เด็กบางคนสดใสร่าเริงเกินกว่าจะเชื่อว่าป่วยหนัก

พี่ๆ พยาบาลออกมาเต้น "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร" (เพลงนี้อีกละ)

เด็กๆ ยังลุกขึ้นเต้นตาม 

แถมเต้นอย่างเมามันส์มากกว่าเสียด้วย

ยกแขนสองข้างเหวี่ยงไปมา

ราวกับไม่มีผ้าพันแผลนั้นอยู่ในความรู้สึก


นี่สินะ ความบริสุทธิ์ของเด็ก



รู้แค่ว่าสนุก รู้แค่ว่าอยากทำ

ไม่รู้หรอกว่าทำอะไร ยังไง แล้วจะเจ็บตัวไหม จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ข้อดีของการเป็นเด็กคือ...ไม่กลัว

และเมื่อไม่กลัว ก็ย่อมไม่พลาด เรื่องมันส์ๆ




วันนี้ ความรู้สึกที่มี...มันมากกว่าความสงสาร

แต่จะเป็นอะไรยังไง

ขออภัยจริงๆ

ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นถ้อยคำได้เลย



หลังจบกิจกรรม

พี่คนสวยซึ่งเป็น Head ใหญ่ของมูลนิธิฯ

บังเอิญมานั่งข้างๆ ข้าพเจ้าเพื่อรอถ่ายภาพ

พี่เขาทักทาย ถามไถ่ ความรู้สึกสำหรับกิจกรรมในวันนี้

คุยไปคุยมา ซักไซ้ประวัติกันพอสมควร

ข้าพเจ้าก็อึ้งกิมกี่

เพราะถูกชักชวนด้วยสีหน้า ท่าทาง และคำพูดจริงจังว่า

สนใจมาเป็น Certified Volunteer ให้เรา (มูลนิธิฯ) ไหม

ประมาณว่า ทำเป็นประจำ (แต่น่าจะไม่ใช่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ประจำ)

คือ เอาตัวเข้ามาทุ่มเททำงานให้มูลนิธิฯ 

ทำเพื่อเด็กๆ อย่างที่ทำในวันนี้

แต่จะเป็นการทำ...ในทุกๆ วัน หรือเกือบทุกวัน



พี่คนสวยอธิบายการทำงานของมูลนิธิฯ ในต่างประเทศ 

และพูดถึงแนวทางของสาขาในประเทศไทย

ว่าอยากได้คนแบบไหนมาร่วมสร้างสรรค์ความดีด้วยกัน

(แอบดีใจลึกๆ ว่าพี่เขาเห็นว่าข้าพเจ้ามีคุณสมบัติอย่างที่ต้องการนั้นหรือ

แต่นึกอีกที น้ำหนักส่วนใหญ่อาจมาจากการที่ข้าพเจ้าบอกเขาไปว่า

ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน....ฮ่าๆๆ)



เราถูกขัดจังหวะด้วยการไปชักภาพสักครู่

จากนั้น พี่คนสวยก็เรียกพี่บอย ผู้ประสานงานอาสา และเป็นหัวเรือหลักของกิจกรรมครั้งนี้

"บอยๆ เนี่ย พี่กำลังทาบทามน้องเขาให้มาเป็น Certified Volunteer ให้เรา"

พี่บอยทำตาโต (ปกติก็โตอยู่แล้วนะ)

"โห น่ีน้องเขาเป็นทนายความด้วยนะเนี่ย"

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็กลายเป็นผู้ฟังอย่างสมบูรณ์แบบ

ยืนยิ้ม ได้แต่ขานรับ ค่ะ ค่ะ และค่ะ

พี่คนสวยบอกว่า...ถ้าน้องมาเป็น และทำได้ 

น้องจะเป็น Certified Volunteer คนแรกของประเทศไทยเลยนะเนี่ย

จะส่งไปเมืองนอกด้วยเลยดีไหม 

(ไปแลกเปลี่ยนว่าการดำเนินการของโครงการในแต่ละประเทศเป็นยังไงบ้าง)

[ฮึ่ย ตกใจมากกว่าเดิม]

ข้าพเจ้าพยายามเก็บข้อมูล

และบอกพี่คนสวยไปว่า...เดี๋ยวจะขอถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับพี่บอยก่อนนะคะ 



ข้าพเจ้าชอบรอยยิ้ม ชอบบุคลิกของพี่เขาเหลือเกิน

เป็น Working woman แบบที่ข้าพเจ้าอยากเป็น

ดูมีออร่า (จริงๆ นะ)



หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมทั้งหมด

พี่บอยเรียกอาสาที่มาช่วยงานในวันนี้ไปนั่งล้อมวงสรุปผลการทำงาน

แลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน

และพี่บอยถามทุกคนด้วยคำถามที่ว่า

"วันนี้ให้คะแนนความสุขกับตัวเองเท่าไหร่"

น้องๆ หลายคนตอบว่า เต็มสิบ





ข้าพเจ้าน่ะหรือ

"คะแนนเต็มเท่าไหร่ ก็มีเท่านั้นน่ะค่ะ"

เอื้อ...แกจะตอบดีๆ อย่างชาวบ้านเขาไม่ได้หรือไง

ต้องทำเท่ให้คนเขาหมั่นไส้ทำไมฟระ -*-

(เพิ่งนึกได้ตอนพูดออกไปแล้ว เอิ้กๆ)





วันนี้ ปวดขากรรไกรเล็กๆ 

เพราะหัวเราะทั้งวัน

ยิ้มทั้งวัน

เด็กๆ ในวัยนี้

มีแต่ความสดใส

มีแต่ความไร้เดียงสา

เพราะยังไม่รู้อะไร

ไม่รู้อะไรเลยสักนิดเดียว



ป.ล. พี่คนสวยมาเฉลยตอนที่นั่งคุยกันว่า

เด็กๆ ที่มีผ้าพันแผล มี mask ปิดปากปิดจมูก

คือเด็กๆ ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง

อืม...พูดไม่ออกเลยทีเดียว

ชีวิตวัยเด็กที่ไม่ได้วิ่งเล่น แต่ต้องมานอนซมอยู่โรงพยาบาล

ใช้ชีวิตอยู่กับหยูกยา อยู่กับความเจ็บปวด

ไม่ได้สัมผัสเอง...ก็รับรู้ได้ว่า มันไม่สนุกเอาเสียเลย



ป.ป.ล. ข้าพเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ MC เพราะคนมาเยอะมาก ชุลมุน อลเวงมาก

มากเสียจนใครทำหน้าที่อะไรก็ถูกโยกย้ายไปเสียเกือบหมด

มากเสียจนปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งคือ

จะเอาตัวเองไปยืนตรงไหน ฮ่าๆๆ

ครั้งนี้ พี่บอยเหมารวบเรื่องพิธีการและentertain

(ไมโครโฟนมีแค่ 2 ตัวด้วย...นั่นเป็นอีกประเด็น

1 ตัวพี่บอยถือประจำ และอีก 1 ตัวเอาไว้ให้ผู้ร่วมกิจกรรมในช่วงนั้น)

พี่บอยบอกข้าพเจ้าตอนที่สรุปผลการทำงานว่า

ไม่เป็นไร ครั้งแรก ให้เซิร์ฟๆ ศึกษาดูงานก่อน ฮ่าๆๆ




จบความประทับใจ

ครั้งแรกกับมูลนิธิ Ronald Mcdonald House

เป็นอีกวันที่งดงาม

งานอาสาไม่เคยหักหลังข้าพเจ้าเลย...จริงๆ



สุดท้าย...เช่นเดิม...ภาพบรรยากาศเจ้าค่ะ :)




ห้องนอนรวมค่ะ เป็นระเบียบเรียบร้อยสุดๆ

ส่วนห้องเดี่ยว อย่าให้ลงเลยเนาะ น้ำตาจิไหล

ใหญ่กว่าห้องหนูอีก T^T




(อย่าถามว่าทำไมไม่โฟกัสทั้งภาพ...มันคือศิลปะ ฮ่าๆๆ)





มุมของขวัญจ้า (นี่แค่บางส่วนนะ)




มือน้อยข้างนั้น...





ไม่หวั่นแม้โดนเจาะมา





หรือจะไฝว์?? ... อูยยย พี่ไม่กล้าหรอกจ้า ฮ่าๆๆ






นั่น...ต้องยิ้มสวยๆ อย่างนั้น





น้องแบงค์ (อาสาสมัคร) กำลังวาดรูปเหมือนให้เด็กๆ

น้องสะกิดกระซิบบอกตั้งแต่ก่อนวาดว่า

พี่...หนูวาดไม่เหมือนอ่ะ 

(ประมาณว่าไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือตัวเอง กลัววาดไม่สวย)

เลยปลอบใจน้องไปหลายรอบ 

รอบสุดท้ายปลอบด้วยประโยคที่ว่า

อ้าว..นั่นวาดคนไหนน่ะ ฮ่าๆๆ

ล้อเล่นจ้า อิอิ






น้อง Alert มาก นี่ไม่ป่วย (มั้ง) แต่มาแจม (มากะแดดดี้)





เธอชื่อ อรทัย...หน้าตาเรียบร้อยมาก แต่อย่าให้ดนตรีขึ้นเชียวนะ ฮ่าๆๆ




ออกสเต็ป...คนเดียวก็เต้นฮ่ะ

(เพื่อนยืนปรบมือ ฮ่าๆๆ)




กำลังศึกษาท่าเต้นอยู่ค่ะ





น่ารักอ่ะ





ขอใจเธอแลกเบอร์โทร...เวอร์ชั่นไม่แคร์แขน (เจ็บ) ฮ่าๆๆ





อีกสำนัก..ไม่น้อยหน้า อรทัย





รู้สึกจะล้ำหน้านะ ฮ่าๆ





งงกะท่าเต้นชั่วครู่








ด้วยรัก

แพรวา







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น