30 พ.ย. 2556

One by One...Three Hundreds No.45 "เชิงทนาย"...คนึง ฤาไชย





เล่มนี้

ประกอบด้วยเรื่องตลก สั้นๆ

จากกระบวนการพิจารณาคดีในศาล

แต่เป็นศาลในต่างประเทศนะจ๊ะ

ไม่ใช่ศาลไทย

ศาลไทยเราไม่ดุเดือด

ไม่กัดจิกขนาดนั้น (มั้งนะ)




ใครใคร่อ่าน อ่าน

หาซื้อกันได้ตามร้านหนังสือทั่วไทย

ราคาไม่แพง

รับประกันความพึงพอใจ

ฮา ฮามาก ฮามากที่สุด

ตามระดับความลึกของต่อมอารมณ์ขันในแต่ละผู้คน





ยกตัวอย่างมาเรียกน้ำย่อย

อย่าหาว่าสปอยล์กันเลย

มันก็เป็นเช่นนั้นแล

อิอิ




ทนายโจทก์รูปร่างใหญ่โต สูงถึง 7 ฟุต

ส่วนทนายจำเลยเป็นคนเตี้ยต่ำอย่างเปรียบกันมิได้ 

(แหม่ ช่างบรรยายได้เห็นภาพเสียจริงๆ)

แต่ก็เป็นคนมีปฏิภาณเฉียบแหลม

ทั้งสองกำลังโต้เถียงอย่างหน้าดำหน้าแดงในข้อกฎหมายบางข้อ

ในที่สุด ทนายโจทก์โพล่งออกมาว่า

"คนอย่างคุณนี่ผมจะจับยัดใส่กระเป๋าเสื้อเสียเมื่อไหร่ก็ได้"

"เอาซี" ทนายเตี้ยตอบทันควัน

"เมื่อนั้นแหละ คุณจะรู้ว่าคุณมีหลักกฎหมายในกระเป๋ามากกว่าที่มีอยู่ในหัวของคุณเสียอีก"

โอ้ววว แร๊วงงงงส์ ฮ่าๆๆ





อีกนิดละกัน (ใครอ่านแล้วก็ถือว่าระลึกความทรงจำละกันนะฮะ ^___^)

เรื่องนี้ เปลี่ยนมาเป็นการปะ ฉะ ดะ ของทนายกับท่านกันบ้าง พอหอมปากหอมคอ



คดีเรื่องหนึ่งเกิดในอินเดีย ทนายพื้นเมืองคนหนึ่งเดินมากรุงเพื่อแถลงอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์

ทนายผู้นี้แต่งตังยาวรุ่มร่ามแบบพื้นเมือง มีทั้งผ้าโพกหัวและผ้าพันคอเต็มไปหมด

เมื่อเขาลุกขึ้นแถลงต่อศาล

ผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารวมสามตลบด้วยสายตาอันเหยียดหยาม

แล้วถามว่า

"นี่คุณเคยมาว่าความที่ศาลนี้มาก่อนบ้างหรือเปล่า"

ความจริง ทนายผู้นี้เป็นผู้มีอาวุโสแล้ว และเป็นหัวหน้าสมาคมนักกฎหมายประจำท้องถิ่นของตน

และเป็นนักกฎหมายที่ประชาชนในท้องที่นั้นยกย่องมาก

เขาตอบว่า

"เคยขอรับ เคยมามากกว่าครั้งที่หนึ่ง ในเวลาที่ดีกว่านี้ และต่อหน้าผู้พิพากษาที่ดีกว่านี้ด้วย"



เอื้อออออ!!! 



นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

^___^


One by One...Three hundreds No.44 "ต้นส้มแสนรัก"...โจเซ่ วาสคอนเซลอส





"ต้นส้มแสนรัก"


เรื่องนี้ ได้ยินชื่อเสียงและตามหามานาน

อยากอ่าน แต่หายากเหลือเกิน

บังเอิญคนรักไปเจอในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง จึงหยิบมาฝาก

ใครๆ ก็อ่านแล้วร้องไห้

ใครๆ ก็ต้องเสียน้ำตา 

ไม่ว่าผู้นั้นจะอายุอานามสักเท่าไหร่

ข้าพเจ้าไม่แปลกใจเลย

เพราะตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน



อ่านๆ อยู่ดีๆ ร่าเริงอยู่ดีๆ

คนรักหันมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงสูดน้ำมูก 

ถึงกับต้องลุกจากที่นั่งมาแซว

แพรวาร้องไห้ขี้มูกโป่ง



อืม...มันสะเทือนใจนิดหน่อยน่ะ (หืม...นิดหน่อยเองหรอ)

เหมือนสะกิดโดนปมในใจที่ทุกคนต้องเคยพบพาน

สถานการณ์ที่ถูกผู้ใหญ่รังแก

ถูกพ่อแม่ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม

เราไม่มีสิทธิโต้แย้ง ไม่มีสิทธิเถียง

บางคนอาจโดนดุ โดนว่า

บางคนโดนตีเล็กน้อย

แต่บางคนก็โดนอย่างหนักหน่วงเหมือนเซเซ่




โดนทำโทษโดยไม่มีคำอธิบายว่าเพราะอะไร ทำไม อย่างไร





เมื่อเราเติบใหญ่ขึ้น เราย่อมสามารถรับรู้เหตุผลของผู้ใหญ่ได้

แต่เราไม่อาจเข้าใจผู้ใหญ่คนใดได้เมื่อเรายังไม่โตพอ

แม้ว่าเราจะเป็นเด็กฉลาด หรืออัจฉริยะเพียงใดก็ตาม



บางที ก็สมควรเป็นหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ต้องนึกถึงความจริงข้อนี้

มันเจ็บปวด

เด็กทุกคนเคยถูกทำให้เจ็บปวด

ไม่มากก็น้อย

น่าสงสารเซเซ่

ที่มีความเจ็บปวดมากเกินไป

มากจนเมื่อมีใครสักคนที่ยอมรับฟังเขาบ้าง

เชื่อในตัวเขา เข้าใจการกระทำของเขา

กอดเขา

และแสดงออกว่ารักเขา

ก็สามารถทำให้เด็กน้อยคนนี้ทุ่มเททั้งหัวใจให้คนๆ นั้นได้

และเราๆ ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้เลย

เมื่อเห็นเซเซ่ต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

เมื่อสูญเสียคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจเขาไป




อันที่จริง ฉากเศร้าตอนท้ายเรื่อง

ข้าพเจ้าไม่ร้องไห้แล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

อาจเพราะตามันบวม อาจเพราะน้ำตาไม่มีจะไหล

ไม่แน่ใจเหมือนกัน




ข้าพเจ้าร้องไห้ไปมากมาย

กับฉากที่เซเซ่ถูกกระหน่ำตี

โดยพ่อ

พ่อบังเกิดเกล้า

มันคือความอยุติธรรมโดยแท้

เจตนาบริสุทธิ์ของเด็กน้อย

ถูกตอบแทนด้วยรอยแผลแสนสาหัส

หากข้าพเจ้าต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นนั้น

ข้าพเจ้าก็คงไม่ต่างอะไรกับเซเซ่

มันคงฝังลึกลงในใจ

จนเมื่อเติบใหญ่ ก็มิอาจลืมเลือน



ผมสะอึกสะอื้นอยู่นาน "ไม่เป็นไร ผมจะฆ่าเขา"

"อะไรกันเด็กน้อย...จะฆ่าพ่อของตัวเองอย่างนั้นหรือ"

"ผมจะฆ่า ผมเริ่มไปแล้วด้วยซ้ำ 

ฆ่านี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเอาปืนของบัค โจนส์มายิงโป้งนะ ไม่ใช่อย่างนั้น 

ผมฆ่าอยู่ในใจ เพียงแต่ผมเลิกรักเขาแล้ว วันหนึ่งเขาก็จะตาย"




ต้นส้มแสนรัก จะเป็นอมตะตลอดไป

ตราบที่ผู้ใหญ่ยังเป็นผู้ใหญ่ และเด็กยังเป็นเด็ก




เด็กหลายคนฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง

พ่อแม่บางคนที่ถูกฆ่า สามารถเกิดใหม่ในใจลูกได้

แต่นั่นก็เพียงบางคน หาใช่ทุกคน



ด้วยรัก

แพรวา


25 พ.ย. 2556

สร้างฝาย ณ บางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์


เหตุเกิดเมื่อ 16-17 พฤศจิกายน 2556

ณ บ้านห้วยเกรียบ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์



การสร้างฝายชะลอน้ำ ครั้งแรก



ข้าพเจ้าชวนนุ่ม กับพัดชา

(ความจริงส่งคำเชิญของกิจกรรมไปให้ใครหลายคนอยู่เหมือนกัน

แต่มีผู้หลวมตัวมาเพียงเท่านี้ ฮ่าๆๆ)


รอบนี้ ด้วยความที่การเดินทางไม่ได้ใช้เวลายาวนานมากนัก

ผู้จัดกิจกรรมจึงนัดรวมพลที่สนามเป้า เวลาห้าทุ่มกว่า

ก็ชิลๆ กันไป นุ่มขับรถจากชลบุรีมาถึงก็ค่อนข้างโอเคร

ไม่ต้องรีบตาลีตาเหลือกกันมากนัก 

เรามาพบกันที่หน้าหอข้าพเจ้า แล้วเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง ซึ่งมีผู้โดยสารมาลงพอดี

แล้วแวะไปรับพัดชาที่หน้าตึกศุภาลัย

เป็นค่ำคืนที่ Amazing มากสำหรับการขึ้นรถแท็กซี่

เพราะ...ขึ้นปั๊บ ก็โดนสตั๊นไปตามๆ กันด้วยการเปิดฉากแนะนำตัวเอง

แนะนำรถ รูปพรรณสัณฐาน เลขทะเบียน รวมถึงประวัติความเป็นมา

และแนวทางในการประกอบอาชีพโดยสังเขป (อย่างยาว) ของคุณลุงคนขับ

ข้าพเจ้าจดเลขทะเบียนรถไว้ตามคำโฆษณา

"ทศ 1772" 

แท็กซี่คนดังที่ออกสื่อหลายแห่ง

เนื่องจากเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการพูดจาปราศรัย

และไม่ปฏิเสธผู้โดยสารนั่นเอง

มา search ดูใน google 

เฮ้ย ลุงไม่ได้โม้ด้วยอ่ะ ลุงเขาดังจริง

หัวเราะกันตั้งแต่ก้าวขึ้นและปิดประตูรถ จนกระทั่งถึงสถานีรถไฟฟ้าอโศก

ฮามาก

คุยไปคุยมา

เอ้า คนโคราชคือกันดอกเด้

นุ่มเลยจัดภาษาโคราชไป เพื่อเพิ่มดีกรีความมันส์ในการสนทนา

เอิ่ม อย่าถามถึงแพรวาค่ะ

คนโคราชแต่พูดโคราชมะล่าย แหะๆ

(แต่ฟังรุเรื่องนะ)

ถือเป็นการเริ่มต้นทริปนั้นอย่างพิเศษจริงๆ




มาถึงจุดนัดรวมพล

พบคนหน้าคุ้นหลายคน และไม่คุ้นหน้าก็เยอะพอควร

เราออกเดินทางประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ 

ด้วยรถพัดลมอีกเช่นเคย (เหมือนที่ไปยโสธร)





แต่คืนนั้น

ไม่เหมือนเดิม ตรงที่ไม่ได้นั่งกับนุ่ม (นั่งกะพัดชา)

จึงไม่มีหมอน (ปกติจะหนุนตักนุ่ม ฮ่าๆๆ)

หัวจึงโคลงไปเคลงมา ซ้ำพัดลมก็เป่ากระจาย

หัวเปิง และหนาวมาก

เป็นเหตุให้นอนไม่หลับอย่างยิ่งยวด



เมื่อถึงที่หมาย

จึงอ่อนเพลียพอสมควร (หืม แค่พอสมควรเองหรอ ฮ่าๆ)

กินข้าวต้ม ทำกิจกรรมกันเล็กน้อย

จับฉลากคำคมสำหรับกิจกรรมบัดดี้บัดเดอร์

(เราออกไปแนะนำตัว จับคำคมขึ้นมาหนึ่งชิ้น อ่าน

เราอ่านได้ของใคร คนนั้นต้องดูแลเรา 

เช่นกัน ใครจับได้ของเรา เราต้องดูแลคนนั้น)

ผู้ใหญ่อ้อย (ผู้ใหญ่บ้าน) มาทักทาย กล่าวเปิดพิธีเล็กน้อย


จากนั้นก็ลุยเลยจ้า





(ผู้ใหญ่เอาผ้าขาวม้ามาแจกคนละผืนด้วย ซึ่งช่วยได้เยอะมากตอนที่ต้องตากฝน ^^)





เราแบ่งเป็นแผนกทำคอกหมู และแผนกทำกระสอบทราย

แน่นอน ข้าพเจ้าอยู่แผนกทำกระสอบทราย

ตักทราย มัดกระสอบทราย ขนกระสอบทราย

คนที่ทำคอกหมู ก็ตัดไม้ไผ่

ผูกมัดไม้ไผ่ ขึ้นโครงสำหรับวางกระสอบในน้ำ



ฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

เพราะพายุเข้าพอดี 

ความจริงข้าพเจ้า นุ่ม และพัดชาเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย

เพราะข้าพเจ้าดูพยากรณ์อากาศแล้วพบว่า

พายุดีเปรสชั่นจะกระทบสามถึงสี่จังหวัดในช่วงที่สร้างฝายพอดี

แต่เราทั้งสามก็ไม่มีใครหยิบเสื้อกันฝนออกมาใส่

เราทำงานและตากฝนไปเหมือนคนอื่นๆ


ฝนตกๆ หยุดๆ ทั้งวัน

ข้าพเจ้าปวดเอวมาก ปวดเหมือนการบีบตัวของกล้ามเนื้อในยามที่เป็นวันนั้นของเดือน

ทำให้นึกไปว่า เอ้า นี่มันช่วงที่ต้องเป็นพอดีนี่หว่า

แต่โชคดีที่วันนั้นไม่ได้เป็น

นุ่มจึงตั้งข้อสังเกตว่า ที่ปวดอย่างนั้น

คงเพราะไม่ได้นอน ประกอบกับตากฝน

วันนั้นข้าพเจ้ากินยาแก้ปวดที่พยาบาลชุมชนให้ไป 3 เม็ด

บ่าย เย็น และก่อนนอน

โชคดีที่เช้าวันอาทิตย์ตื่นมา อาการปวดนั้นหายไปแล้ว



กลับมาๆ 

ยังสร้างฝายไม่เสร็จ ฮ่าๆๆ

ฝ่ายทำกระสอบทราย ขุดทรายจากลุ่มแม่น้ำนั่นแหละ 

เป็นหลุมกันประมาณสามสี่หลุม ได้กระสอบทรายเยอะมาก

แต่เราก็ยังทำกันต่อไปเรื่อยๆ

เพราะหลายๆ คนที่มีประสบการณ์ในการสร้างฝายบอกว่า

แค่นี้ยังไม่พอหรอก


กว่าคอกหมูจะเสร็จก็ปาไปบ่ายเกือบบ่ายสอง

จึงจะได้เริ่มลำเลียงกระสอบทรายไปวาง

แน่นอน ถึงเวลาที่ต้องใช้แรงงานกันจริงๆ

คือแบก ขน ลาก ถู ไถ โยน กระสอบทราย

จากจุดที่บรรจุ ไปสู่คอกหมู

แรกๆ ก็แรงดีกันอยู่หรอก

ผ่านไปสักพัก เราต่างก็เริ่มล้า เพราะมันหนักมาก

และยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ

แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง

ก็ต้องตกใจตัวเอง และคนรอบข้าง

เพราะไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน

ทั้งโยน ทั้งลากมันไปได้

เหมือนพลังไม่เคยหมด

หรือเหมือนจะหมด แต่ก็กลับชาร์จขึ้นมาได้ใหม่



ถ้าให้เดา ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะมาจากการส่งต่อพลัง

หมายความว่า

ยามเมื่อเราเหนื่อย

แล้วมองไปเห็นคนอื่นที่เขาก็เหนื่อยเหมือนกัน

แต่ก็ยังทำต่อไป ยังแบก ยังลาก ยังยกมันต่อไป

ภาพเหล่านั้นจะทำให้เราฮึดขึ้นมาเอง

สำหรับข้าพเจ้า มันเป็นเช่นนั้นนะ

ภาพนุ่มบ้าพลัง ภาพก็อฟ กองพัน (ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งก็ตัวไม่ได้ใหญ่มาก)

แบกกระสอบทราย ขุดดิน ตักดิน ในลักษณาการที่แบบว่า

แม่ม ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนฟระ



หรือกลุ่มสาวสาวสาว ที่มีทั้งสาวแท้สาวเทียม

พากันถูลู่ถูกัง โยน ไถ กระสอบทราย

ไปพร้อมกับเสียงเหมือนตอนอรอุมา (นักยกน้ำหนักทีมชาติไทย) เรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง

หากแต่เปลี่ยนจาก "สู้โว้ย"

เป็น "อร๊าย", "อึ๊ย", "เอื้อ", "อ๊ากกก" ประมาณนั้น

บางจังหวะ มาแต่เสียง กระสอบทรายไม่มาก็มี

หรือบางจังหวะ

คนออกแรงคือข้าพเจ้ากับนุ่ม

แต่มีเสียงข้างๆ มา "อึ๊ย เอื้อ อ๊าย" แทน

ฮ่าๆๆ




ภาพบรรยากาศเหล่านี้

ทำให้เราลืมว่ากำลังจะหมดแรง

ทำให้ลืมว่ากำลังเหนื่อย

ทำให้ลืมว่ากำลังตากฝน ลืมความเจ็บไข้

เรามีแต่เสียงหัวเราะ

มีความสามัคคีในแบบที่ไม่ต้องเรียกหา

มันมาเอง




จนเวลาประมาณบ่ายสามกว่าๆ

เราปลุกใจกันด้วยประโยคที่ว่า

อีกยี่สิบกระสอบ

ทุกคนพากันฮึด กระจายตัวอยู่รอบปากหลุม 

แผนกขุด แผนกกรอก แผนกยก แผนกไถ แผนกโยน แผนกส่ง แผนกวาง

สุดท้าย

เราก็ผ่านมันไปได้



ข้าพเจ้าได้แผลถลอกมาเป็นของแถม

บนเท้าทั้งสองข้าง

แต่ก็เอาเถอะ

คุ้ม 

^___^



ข้าพเจ้าหลงใหลภาพเหล่านั้นมาก

มันเป็นบรรยากาศที่มีกลิ่นอายของความสดชื่นแฝงอยู่มากมายเหลือเกิน

หลายคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ไม่เคยพูดจา ไม่แม้กระทั่งจะได้สบตากัน

แต่เมื่อถึงเวลาแห่งความหนักหน่วง

เราไม่ได้ทิ้งกัน

ไม่ได้โยนภาระความรับผิดชอบให้กัน

เราแบกรับมันด้วยกัน

สู้ด้วยกัน

ไม่มีเสียงบ่น

ไม่มีเสียงแห่งความไม่พอใจ

ไม่มีการหงุดหงิดโวยวาย

ข้าพเจ้าชอบจริงๆ 

จากใจเลย









เรากลับมาที่พัก

ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้อาบน้ำเป็นคนแรก และหลายคนบอกว่าข้าพเจ้าทำเวลาได้ดีมาก ฮ่าๆ

ชุดพื้นเมืองพร้อม (ได้รับการสนับสนุนจากแม่ อิอิ)

กินข้าวกับคั่วกลิ้งไปสองจาน

แตงกวาฉ่ำ อร่อยมาก



ตามกำหนดการเดิม เราจะไปเที่ยวงานลอยกระทงของหมู่บ้าน

แต่เนื่องจากฝนกระหน่ำทั้งวัน

งานนี้เลยต้องพับไป

ซึ่งก็ไม่มีใครโอดครวญเท่าไหร่

เพราะทุกคนก็อยากพักผ่อนกันเต็มที

ค่ายนี้ จึงเลิกกันด้วยเวลาที่เร็วมาก (ถ้าเทียบกับค่ายอื่นๆ)

คือ สี่ทุ่ม

ข้าพเจ้านอนเต๊นท์กับนุ่ม

พัดชาไปนอนบนบ้านผู้ใหญ่กับผู้หญิงคนอื่นๆ

หลับสนิทมาก

ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส (มากๆ)





กิจกรรมก่อนแยกย้ายกันสลบ



ร้องเพลง และจุดเทียนร่วมกัน 



ช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ผู้ใหญ่อ้อยก็มาปิดพิธีเล็กน้อย

และไปส่งเราที่วัด

ข้าพเจ้าชอบการนั่งริมหน้าต่าง

ชอบให้สายลมปะทะใบหน้า

และเหม่อมองท้องฟ้าไปเรื่อยๆ

ขากลับนี้

ไม่เหมือนการกลับจากบ้านโฮมฮัก

ค่ายนั้น ข้าพเจ้าเอาใจผูกไว้ที่บ้านโฮมฮัก จึงจากมาด้วยความคิดถึง

แต่ค่ายนี้ ใจข้าพเจ้าผูกไว้กับเหล่าเพื่อนผู้ร่วมเหน็ดเหนื่อยและหัวเราะเฮฮา

ประกอบกับกิจกรรมบนรถ คือ การเฉลยบัดดี้ บัดเดอร์

ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความสนุกสนาน



ข้าพเจ้าขอสารภาพตามตรงว่า

เพิ่งเคยได้ฟังเพลง "ขอใจเธอแลกเบอร์โทร" แบบเต็มๆ ก็บนรถนี้นี่เอง

(เชยสะบัดเลยล่ะสิ)

และท่าเต้นของพี่นัท ติดตามาก ฮ่าๆๆ

แต่ก็ชอบนะ ชอบเพลงที่ร้องว่า "จีบได้ แฟนฉันตายแล้ว"

และเพลงอื่นๆ

ให้สงสัยว่า ในขณะที่คนอื่นๆ ทั้งร้องทั้งเต้นกันได้อย่างสนุกสนาน

ข้าพเจ้ากลับเพิ่งเคยฟังเพลงเหล่านั้นเป็นครั้งแรก



อืม ข้าพเจ้าไม่ชอบฟังเพลงลูกทุ่งของไทยน่ะ

และความจริง นั่นเป็นเพลงแนวเดียวที่ข้าพเจ้าไม่ชอบฟัง

มันหดหู่ มันซ้ำซาก ดนตรีก็เดิมๆ 

แต่การเดินทางครั้งนั้น ทำให้ทัศนคติของข้าพเจ้าที่มีต่อเพลงลูกทุ่งเปลี่ยนไป

คิดถึงหน้าพ่อ

คิดถึงเพลงที่พ่อเปิดตอนข้าพเจ้าเป็นเด็ก

ว่าแล้วก็ฟัง "ไก่ พรรณิภา" กับ "อรวี สัจจานนท์" บ้างดีกว่า อิอิ




ขอความสนุกสนานคงอยู่ในหัวใจตราบนานเท่านาน



นับวันนับคืน รอคอยช่วงเวลาแห่งเสียงหัวเราะหมุนกลับมาอีกครั้ง


^________^





แวะ ถ่ายภาพ เล็กๆ น้อยๆ

พัดชากระโดดไม่ขึ้น ฮ่าๆๆ







รูปนี้คอมเม้นท์ใน facebook กันฮามาก

เป็นได้แค่ตัวประกอบสินะ เอิ้กๆ







สุดท้าย

ของที่ระลึกจากบัดดี้และบัดเดอร์

มุมน้ำเงิน บัดเดอร์ พี่โละ 

และมุมแดง บัดดี้ พี่ฮุย



ป.ล. ขอบพระคุณรูปสวยๆ จากพี่ฮุย

ขอบคุณเด็กชาย อารีย์ แบ่งปันสิ่งดีๆ สู่สังคมและน้องตอง รวมถึงคณะผู้จัดกิจกรรมทุกท่าน

ขอบคุณพี่โละที่จุดเทียนให้ใครหลายๆ คนรวมถึงแพรวา

ขอบคุณพี่นัท สำหรับการดูแล ตักข้าวหยิบขนมมาให้ และ ตะลิงปลิงจี๊ดมาก 

ขอบคุณอั้ม สำหรับการเริ่มต้นมิตรภาพ แม้จะพูดกันไม่เยอะ แต่เราก็ชื่นชมนายมาก 

ขอบคุณพี่กระต่าย ที่ไม่ถือสาการโยนกระสอบทรายไปทับเท้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฮ่าๆๆ

ขอบคุณนุ่มและพัดชา ที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน

และขอบคุณทุกๆ ท่านสำหรับประสบการณ์ประทับใจ จริงๆ 




ด้วยรัก

แพรวา