25 พ.ย. 2556

กอดอุ่นๆ ณ บ้านโฮมฮัก


ตั้งใจว่าจะเขียนบันทึกความทรงจำ

ว่าด้วยการเดินทาง

เพื่อไปในที่ๆ อยากไป

เพื่อทำอะไรๆ ที่อยากทำ



ครั้งหนึ่ง ณ บ้านโฮมฮัก จังหวัดยโสธร

ไปเมื่อหลายเดือนก่อน

(14 - 15 กันยายน 2556)

แต่ไม่มีเวลาเขียนไว้สักที 



วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี

(เนื่องด้วยลาป่วยเพราะปวดท้องและปวดหลังอย่างหนัก เอิ่ม -*- มันโอกาสอันดีตรงไหนฟระ)

ที่พอจะมีเวลา มานั่งทบทวนความทรงจำ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปมากกว่านี้



บ้านโฮมฮัก เป็นหนึ่งในสถานที่พักพิง โอบอุ้มดูแลเด็กๆ

ที่ได้รับผลกระทบจากโรคร้าย

(ใช้คำว่าได้รับผลกระทบ เพราะเด็กๆ ที่บ้านนี้มีทั้งที่เป็นและไม่เป็นโรคนั้น

แต่ถึงแม้จะไม่เป็น พวกเขาก็ได้รับความเดือดร้อน

ชีวิตหลงทาง ขาดเสาหลัก และเกิดมาพร้อมกับการขาดหายของบางสิ่งที่ควรจะมีดังเช่นผู้คนทั่วไป)



ข้าพเจ้าสมัครไปค่ายนี้กับอาสาอุ่นไอใจร้อยใจ

ตั้งใจตอบคำถาม

ตั้งใจส่งใบสมัคร

และสุดท้ายก็ได้ไป (มะได้เลือกจากการตอบคำถามหรอก เขาสุ่มเอาน่ะ ฮ่าๆ)

และเป็นความบังเอิญ

ที่นุ่มก็ได้ไปเช่นเดียวกัน

เราต่างคนต่างสมัคร

แต่โชคชะตาคงอยากให้เราไปด้วยกัน ^^



ค่ายนี้ มีข้อจำกัดเรื่องการถ่ายรูป

เพราะเด็กๆ ที่บ้านโฮมฮักสมควรได้รับการปกป้อง

คือ เราต้องยอมรับว่าสังคมสมัยนี้

ถึงแม้จะมีองค์ความรู้ในเรื่องการติดเชื้อ HIV ออกมายืนยันแล้วว่าติดกันทางไหนได้บ้าง

แต่ก็น้อยคนนัก ที่จะเข้าใจและยอมรับในตัวพวกเขาจริงๆ

เคยมีหลายเคสที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด

เมื่อสาธารณชนรู้ว่าเด็กบางคนมาจากบ้านโฮมฮัก

พวกเขาปฏิเสธเด็กเหล่านั้น

ด้วยเหตุผลธรรมดาสามัญ ที่มาจากการขาดความเข้าใจ




การไปเป็นอาสาในครั้งนี้ พวกเราจึงถูกขอให้ระมัดระวังการถ่ายภาพเด็กๆ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำภาพเด็กๆ มาเผยแพร่สู่โลกออนไลน์

ที่บ้านโฮมฮักจะมีป้ายผ้าสีแดงเขียนไว้ว่า

งดแสดงภาพในโซเชียลเน็ตเวิร์ค

ข้าพเจ้าไม่ได้เอากล้องไป

เอาซัมซุง note 10.1 ไป

แต่ก็ได้ใช้แค่จดบันทึกความทรงจำ ไม่ได้ใช้ถ่ายรูป

ไม่กล้าถ่าย เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกินขอบเขตไหม

เลยตัดปัญหา อย่ามีภาพเหล่านั้นเลย

เก็บน้องๆ ไว้ในความทรงจำก็พอ

จะมีก็แต่รูปคู่กับแม่ติ๋ว 

ที่ขอถ่ายไว้เป็นที่ระลึก ในฐานะบุคคลที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจ

ให้ทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น




ข้าพเจ้ายังจำความรู้สึกตอนที่รถบัสเลี้ยวเข้าไปถึงบ้านโฮมฮักได้

เด็กๆ ไม่เยอะมาก ราวๆ 20-30 คนโดยประมาณ

มีตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงเด็กโตๆ 

มันเป็นบรรยากาศที่ชวนเรียกน้ำตาโดยแท้

มีกิจกรรมที่เสมือนเป็นพิธีเปิดกันเล็กน้อย

มีการแสดงจากเด็กๆ

และเด็กๆ นำดอกไม้มาให้ เอาสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้

เป็นการต้อนรับ




ข้าพเจ้านั่งลุ้นอยู่เหมือนกันว่าจะมีน้องคนไหนให้ดอกกุหลาบข้าพเจ้าไหม

จะมีน้องคนไหนมาผูกข้อมือให้หรือเปล่า

เพราะดันไปนั่งอยู่ข้างใน

น้องอาจเข้าไม่ถึงเท่าไหร่

แต่ก็น้องเข้ามาผูกข้อมือให้ข้าพเจ้าจนได้

ยอมรับว่าตอนนั้น ยิ้มทั้งน้ำตา

ทั้งที่ปกติเป็นคนร้องไห้ยาก

แต่นั่นอาจเป็นอดีตไปแล้ว

หรือข้าพเจ้าอาจต้องยอมรับและวางตัวเองเสียใหม่ว่า

แกน่ะ เป็นคนบ่อน้ำตาตื้นนะเฟ้ย เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว




สองวันหนึ่งคืน เราทำกิจกรรมกับน้องๆ

กินข้าวกับน้องๆ

เล่นกับน้องๆ 

กอดน้องๆ

พวกเขาน่ารัก และบริสุทธิ์



ค่ำคืนของวันที่ 14 

เรามีกิจกรรมกลุ่มร่วมกับน้องๆ

แสดงละครเงา

คิดบท ซ้อมคิว 

ข้าพเจ้าเสนอบทซึ่งเป็นนิทานเรื่องหนึ่งไป

ดีใจที่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ พี่ๆ ในกลุ่ม

เป็นเรื่องพี่หมี กับเพื่อนๆ ตัวเล็ก

พี่หมีเป็นสัตว์ตัวใหญ่ แปลกแตกต่างไปจากเพื่อนๆ 

เพื่อนทั้งสาม ถ้าจำไม่ผิดจะมีกระต่าย เต่า และกวาง

(อาจจะจำผิดก็ได้นะ ชักเลือนลางเต็มที ฮ่าๆๆ)

สัตว์ทั้งสามไม่ชอบพี่หมี 

แต่วันหนึ่ง กระต่ายเกิดเดือดร้อน

พี่หมีเข้าไปเห็น ก็ให้ความช่วยเหลือ

วันต่อมา เจ้าเต่าต้องการความช่วยเหลือ

พี่หมีไม่รีรอ

และอีกวัน

เจ้ากวางดันซวย

พี่หมีก็เข้าไปช่วย (เหมือนเดิม)

สรุปคือ สัตว์ทั้งสาม หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากพี่หมี

ก็เห็นว่าพี่หมีเป็นสัตว์ดี (คนดี)

จึงเป็นเพื่อนด้วย

จบ


ความจริง ฉบับ original มีเรื่องราวมากกว่านี้

จะมีฉากที่สัตว์ตัวแรกที่ได้รับความช่วยเหลือ

ไปบอกเพื่อนๆ ตัวอื่นด้วยว่า พี่หมีเป็นคน เอิ่ม สัตว์ใจดีนะ

แต่เพื่อนๆ ตัวอื่นไม่เชื่อ

เพราะตัดสินพี่หมีจากรูปร่างหน้าตาที่ดุร้ายและใหญ่โตไปแล้ว




ละครออกมาตามบท แต่ไม่ได้สรุปดังความตั้งใจแรกของข้าพเจ้า

การแสดงจบลงด้วย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่าตัดสินคนจากรูปกายภายนอก


โชคดีที่พิธีกร (พี่โละ กับพี่กอล์ฟ)

เรียกคนคิดบทออกไปพูด

จึงได้ที ขอสรุปเพิ่มเติมตามความตั้งใจเสียหน่อย


เพราะประเด็นของเรื่องนี้

ข้าพเจ้าแค่อยากจะบอกน้องๆ ว่า

ไม่ว่าใครจะตั้งท่าไม่ชอบเรา รังเกียจเรา หรือทำไม่ดีกับเรายังไง

ก็ขอให้เราอดทน และมุ่งมั่นทำความดีต่อไป

แล้วสักวัน ความดีจะชนะใจพวกเขาเอง



ข้าพเจ้าเพียงแค่คิดว่า

ในอนาคต เมื่อน้องๆ ออกไปสู่โลกภายนอก 

ไปใช้ชีวิตในสังคมกว้าง

อาจเจอสถานการณ์อย่างพี่หมี

และข้าพเจ้าปรารถนาเหลือเกิน

ที่จะให้น้องๆ เข้มแข็ง และอดทนกับเรื่องราวเหล่านั้นได้มากเพียงพอ

จนกว่าจะถึงวันที่มันผ่านพ้นไป






ข้าพเจ้าชอบน้องคนหนึ่ง

รู้สึกถูกชะตาด้วยอย่างยิ่ง

แต่ไม่ได้อยู่ใกล้น้องคนนั้นเท่าไหร่

เพราะเป็นเด็กผู้ชาย

และมักไปคลอเคลียอยู่กับพี่ๆ อาสาผู้ชายเสียมากกว่า

ข้าพเจ้าชอบรอยยิ้มสดใส

ชอบอาการทะเล้นขี้เล่นของเด็กคนนั้น

เราได้คุยกันแค่ประโยคเดียว

คือ ตอนที่อาสากำลังจะกลับ

รถบัสกำลังจะออกเดินทาง

ข้าพเจ้ายังไม่ได้ขึ้นรถ

เพราะกำลังเก็บของบางอย่างอยู่

น้องยิ้มกว้าง ตะโกนบอกว่า

"รถจะออกแล้วนะค๊าบบบบ"

ข้าพเจ้ายิ้มตอบ อยากกอดน้องสักที แต่ก็ไม่มีเวลาแล้ว

เราไม่ได้กอดกัน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าเสียดาย

สำหรับการเดินทางในครั้งนั้น




รถบัสขากลับ

ข้าพเจ้านั่งริมหน้าต่าง

ลมเย็นปะทะหน้า

ไม่ได้สุงสิงกับใครสักเท่าไหร่

ไม่ได้ยิ้มแย้มเฮฮาถ่ายรูปกับเหล่าเพื่อนร่วมเดินทางในครั้งนั้น

เพราะหัวใจมันกำลังห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก

เหมือนไม่อยากกลับกรุงเทพฯ

เหมือนแววตาและใบหน้าน้องๆ ยังชัดเจนในความทรงจำมากเกินไป

ข้าพเจ้าจำคำของแม่ติ๋วได้

และจะถือว่าเป็นคนชวนตลอดไป

"ถ้าเมื่อไหร่ที่ท้อแท้ หรือรู้สึกผิดหวัง รู้สึกเหนื่อย กลับมาหาแม่ติ๋ว มานอนกับน้องๆ มาอยู่กับน้องๆ นะ"




บอกตามตรงว่า

อยากเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไปอยู่ที่นั่นสักหลายๆ เดือน





อ้อมกอดของแม่ติ๋วอบอุ่นมาก

คิดว่าคงเป็นพลังงานที่ส่งตรงมาจากหัวใจ




แม่ติ๋วบอกว่า "แล้วกลับมาอีกนะ"

ข้าพเจ้าถือเป็นหนึ่งในคำมั่นสัญญา

สักวันจะกลับไป




ด้วยรัก

แพรวา

2 ความคิดเห็น:

  1. อยากไปอีกจัง คิดถึงเด็กๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เนอะๆ คิดถึง ปีนี้เราไปหาน้องๆ อีกไหมคะพี่แป๋ม ชวนพี่โละไป ถ้าพี่โละไม่ว่างไป เราเหมารถไปกันเองมั้ย หาเกมเสริมทักษะหรือกิจกรรมไปทำกับน้องๆ ^^

      ลบ