29 มี.ค. 2556

พื้นที่สงวน



ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

รู้ตัวอีกที ก็แก้ไม่ได้เสียแล้ว

นิสัยไม่ดี ที่ (อาจจะ) ไม่ควรมี



ข้าพเจ้ามักจะมีพื้นที่สงวน

สถานที่สงวน วันสงวน เวลาสงวน

เพลงสงวน

ใช่ คล้ายๆ กับการฟังเพลงนั่นแหละ

เราฟังเพลงหนึ่ง อาจคิดถึงใครคนหนึ่ง

และเมื่อฟังอีกเพลง ก็คิดถึงใครอีกคน

เพลงที่มันเป็นความทรงจำ

ระหว่างเรากับคนๆ นั้น



เช่นเดียวกัน

สถานที่ที่เป็นความทรงจำ

ระหว่างข้าพเจ้ากับใครคนหนึ่ง

ก็ยากเหลือเกิน

ที่ข้าพเจ้าจะไปสถานที่นั้น กับคนอื่นๆ

มันเป็นการทำร้ายทั้งความทรงจำของข้าพเจ้า

และอาจกระทบกระเทือนถึงความรู้สึกของอีกคนที่ไปด้วย

ข้าพเจ้าอาจคิดมากไป  รู้สึกมากไป

แต่มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ



เมื่อไปที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเคยไปกับคนๆ หนึ่ง

แต่ครั้งนั้น ไม่มีเขาไปด้วย

ข้าพเจ้าก็ยังคงเห็นหน้าเขา

เห็นอากัปกิริยาของเขา

เห็นเงาของเขา

ตามความทรงจำที่มีอยู่

และเมื่อเป็นเช่นนั้น

การที่ข้าพเจ้าย้อนไปที่แห่งนั้น กับใครคนอื่น

ข้าพเจ้าอาจมองเผลอมองข้าม ความเป็นปัจจุบัน

ซึ่งนั่น ไม่ดีเลย

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่ชอบ

และพยายามเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนั้น

โดยการ "สงวน" พื้นที่แห่งความทรงจำ



โดยที่ความทรงจำนั้น..สำคัญ

หรือคนที่อยู่ในความทรงจำนั้น..เป็นคนสำคัญ



ประเด็นคือ

ข้าพเจ้าไม่ได้สงวนเฉพาะอดีต

ทว่า กลับลามปามไปถึงอนาคต

เช่น ใครสักคน สัญญาว่าจะไปที่แห่งหนึ่งกับข้าพเจ้า

แต่วันดีคืนดี

เขาก็ไปที่แห่งนั้น กับคนอื่น

เช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ปรารถนาจะไปที่แห่งนั้นกับเขาเสียแล้ว

เพราะมันจะไม่ใช่ความทรงจำระหว่างข้าพเจ้าและเขาอีกต่อไป




หรือ ใครคนหนึ่ง สัญญาว่าจะพาข้าพเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง

แต่เมื่อถึงวัน เวลา ตามที่สัญญา

เขากลับเลือก ที่จะใช้วันเวลานั้น

ไปทำสิ่งอื่น ไปมอบให้คนอื่น

เช่นกัน ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะผูกมัดตนไว้กับสัญญานั้นอีกต่อไป

และสถานที่นั้น ก็อาจกลายเป็นที่ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันเหยียบเลย

ตลอดชีวิตนี้




ฟังดูซีเรียส ฟังดูไร้เหตุผล และจริงจังกับเรื่องอันไม่เป็นสาระ

แต่กระนั้น

ข้าพเจ้าก็ยินดีอนุญาตให้ตัวเองไร้สาระ

ข้าพเจ้าขอใช้สิทธิในความเป็นมนุษย์ผู้หญิง

ที่บางครั้ง

ก็ละเอียดอ่อน  บางครั้งก็บอบบาง

บางครั้งก็งี่เง่า เข้าใจยาก
.
.
.

ข้าพเจ้าสงวนสิทธิที่จะปกป้องตัวเองจากอะไรบางอย่าง







21 มี.ค. 2556

Three Hundreds No.4..เข้าใจธรรมะ ไม่ยาก



เมื่อวาน ไปเลือกซื้อหนังสือ

ตั้งใจว่าจะมอบเป็นของขวัญสำหรับใครบางคน

หยิบและเลือกด้วยความพิถีพิถันพอประมาณ

ได้มา 6 เล่ม

กลับมาถึงห้องพัก ก็เปิดอ่าน

ตามธรรมเนียมของข้าพเจ้าเอง

ที่หากว่า มีเวลาเหลืออยู่บ้าง

ก็จะอ่านมันเสียก่อน

เพื่อเป็นการประเมินในขั้นสุดท้ายว่า

หนังสือเล่มนั้น เหมาะที่จะมอบเป็นของขวัญ

แก่คนๆ นั้น หรือไม่

บางคนอาจมองว่า อ้าว ถ้างั้นก็เหมือนเป็นการให้ของมือสองแก่เขาน่ะสิ

ก็อาจจะใช่

เพียงแต่ในมุมของข้าพเจ้า

มีแค่ความรู้สึกที่ว่า

เราจะให้อะไรใคร ก็ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์มาเสียก่อนว่า

ของนั้น เป็นของอันสมควรให้

เป็นของที่แม้ไม่ประเสริฐ ก็ควรสร้างประโยชน์อะไรให้แก่ผู้รับบ้าง

และถ้าจะให้ข้าพเจ้ากว้านซื้อหนังสือทั้งหมดมาอ่าน

แล้วกลับไปซื้อเล่มใหม่เพื่อมามอบเป็นของขวัญ

ข้าพเจ้าก็จนตายพอดี -*-


เล่มนี้ เป็นหนึ่งในเล่มที่ถูกเลือก




เหตุผลง่ายๆ ที่หยิบมา เพราะเป็นการ์ตูน

สำหรับผู้ที่ข้าพเจ้าจะมอบให้นี้

ข้าพเจ้าพยายามเลือก เล่มที่อ่านง่ายๆ

สนุกสนาน และเบาสมอง

จึงได้หยิบเล่มนี้มา

และต้องยอมรับตามตรงว่า เป็นเล่มที่เลือกโดยผ่านกระบวนการไตร่ตรอง น้อยที่สุด

เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเล่มแรก ที่ถูกเปิดพิสูจน์ความเหมาะสม



เข้าเรื่องเลย

ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ใคร่ชอบใจนัก

กับการพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อจำหน่ายแสวงหาผลกำไร

ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง

ข้าพเจ้าก็เชื่อเสมอว่า ธรรมะไม่ใช่สมบัติของใครคนหนึ่ง

ไม่ใช่ของซึ่งสมควรนำมาเป็นวิถีทางแห่งความร่ำรวย

พระพุทธองค์ตรัสรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่

และมอบไว้เป็นมรดกแก่เหล่าสาวก โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ครูบาอาจารย์ พระนักปฏิบัติที่ญาติโยมเคารพนับถือ

ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นท่านใด รูปใด

พิมพ์หนังสือธรรมะ หรืออัดเสียงธรรมเทศนาลงแผ่นซีดี แล้วจำหน่ายเลยสักราย

มีแต่แจก มีแต่ให้กันฟรีๆ เท่านั้น

ส่วนใครใคร่ถวายปัจจัย ก็ตามแต่ศรัทธา

ปัจจัยที่ถวายไป ก็หาได้เข้ากระเป๋าส่วนตน

ก็ไปปรับปรุง ไปพัฒนา ไปทำประโยชน์ต่อๆ ไปนั่นเอง

อันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิงถึงใคร

ข้าพเจ้าเพียงยกตัวอย่างสิ่งที่เห็นกันอย่างชัดเจน


ธรรมะแท้ ได้จากการปฏิบัติ

หาใช่นั่งเทียน เขียน อ่าน



ข้าพเจ้าเปิดอ่าน ตั้งแต่บทบรรณาธิการ ไปจนแนะนำประวัติผู้เขียน

อ่านทุกหน้า ทุกบรรทัด

บางครั้งก็รู้สึกว่า เออ ก็เข้าท่าดี

แต่นั่น เป็นแค่บางครั้ง และเป็นแค่ส่วนน้อย


เพราะเท่าที่เห็น สิ่งที่แสดงอย่างแจ่มชัดในหนังสือเล่มนี้

มีเพียงความมักง่าย

จริงอยู่ ที่หนังสือก็บอกตัวเองอย่างชัดเจนตั้งแต่หน้าปกไปยันปกหลังว่า

ธรรมะขั้นต้น เข้าใจง่าย

แต่นี่...







หาใช่ธรรมะขั้นต้น ที่เข้าใจง่าย

หากแต่เป็นการหยิบเอานั่นนู่นนี่มาแปะ

อธิบายไว้ราวกับหนังสือเรียนพระพุทธศาสนา

เล่มที่เราๆ เรียนกันมาตั้งแต่เด็ก

แต่ก็ไม่ช่วยให้สังคมดีขึ้นสักเท่าไหรนั่นแหละ

เราเพียงอ่าน เพียงรู้ บ้างก็ท่องจำ

แต่ไม่อาจเข้าใจได้ เพียงแค่ข้อความ 6-7 บรรทัดข้างต้น

เกร็ดอย่างนี้ อย่ามีเสียจะดีกว่า

ไม่เกิดสารัตถะอันใด หรือทำให้ผู้อ่านประเทืองปัญญาได้แม้เพียงสักนิด



นี่ยังไม่นับเรื่องเนื้อหาแต่ละบท ที่พร่ำสอน

สอนจริงๆ

ถามว่าดีไหม ก็อาจจะดี

ถามว่าเกิดประโยชน์ไหม

ส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าน้อย

เพราะการเรียบเรียงคำพูดนั้น

ไม่อาจกระแทก หรือแม้จะซึบซาบเข้าไปในอารมณ์ ในหัวใจของผู้อ่านได้เลย

หนำซ้ำ บางบท ยังก่อให้เกิดความฉงนโดยใช่เหตุ

เช่น




ผู้เขียนยกตัวอย่างดังข้างต้น กรณีที่เราตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะซื้อของสักชิ้นดีไหม

บอกว่า หากซื้อมาแล้ว มันแตก มันหัก มันหาย หรือ สลายไป เราจะเสียดายไหม

ถ้าเสียดาย จะเอามาทำไม ให้เป็นห่วง เป็นทุกข์เพิ่มขึ้น


หรือหากซื้อมาแล้ว มันหายไป เราก็ไม่เสียดาย ไม่อาดูรกับมัน

เช่นนั้น มันจะมีความสำคัญถึงขนาดต้องไปเสียเงินซื้อมาทำไม

อ้าว??

แล้วตกลงว่า...

ถ้ามันสำคัญ ถ้ามันเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นของที่ต้องใช้ ต้องซื้อ

มันหัก มันพัง เราก็ต้องเสียดายอยู่แล้วสิ

แต่เราไม่ควรซื้อมัน เพราะถ้ามันหายไป เราจะเป็นทุกข์เช่นนั้นหรือ

หรือถ้าเราจะไม่เสียดาย ก็ยิ่งไม่ต้องซื้อ เพราะมันไม่สำคัญอยู่แล้วตั้งแต่แรก?

เออ ดูเป็นตรรกะประหลาดๆ ชอบกล



ข้าพเจ้าสงสัยว่า

การจะเลือกซื้อของสักชิ้น ไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องเหตุผล ใช้ปัญญาพิจารณากันหรอกหรือ

เมื่อเห็นว่าสมควรต้องซื้อ ต้องใช้ ก็ซื้อมันมา ใช้ให้คุ้มค่า

หากว่ามันเสียหายไป นั่นก็เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการกับอารมณ์ของตัวเองต่างหาก

ความทุกข์มันต้องมีบ้างอยู่แล้ว เมื่อเราสูญเสียอะไรสักอย่างไป

สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่เราต้องไม่มีเจ้าสิ่งนั้น

แต่อยู่ที่เราจะกำจัดความทุกข์ หลังจากไม่มีมันอย่างไรมิใช่หรือ



สุดท้ายแล้ว

ถ้าคนๆ หนึ่ง ตัดสินใจไม่ซื้อของชิ้นนั้น ด้วยวิธีคิดดังข้างต้น

แล้วกิเลส แล้วความอยากที่มีในใจ จะหายไปได้หรือ

มันก็ยังอยากได้อยู่นั่นแหละ

เพราะไม่ได้ขจัดความอยากนั้นออกไปจริงๆ



อันที่จริง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ

หรือแม้กระทั่ง มิได้เป็นผู้มีปัญญาอะไรมากมาย

แต่เนื้อหานี้ มันทำร้ายหลักการคิดที่มุ่งกำจัดกิเลสที่ต้นเหตุมากเกินไป

มันเป็นการหลอกตัวเอง เป็นการสร้างอุบายให้ตัวเอง

ให้มืดบอด ให้มองไม่เห็น ว่าแท้แล้ว ควรคิด ควรมอง จากมุมไหน




อันนี้ยังไม่นับการพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ ในหลายๆ จุด

เช่น หิ่งยะโส (หยิ่งยะโส) 

หรือการใช้ ฯ สำหรับการยกตัวอย่าง (ฯ เขาเอาไว้ใช้ย่อคำ ถ้าจะปิดท้ายการยกตัวอย่าง ต้อง ฯลฯ)

และ เปิดมาหน้าแรกๆ กันเลยทีเดียว  ... "อุปสรรค์"




อันที่จริง จะตั้งหน้าตั้งตาตำหนิติเตียนเสียทั้งหมด

ก็ออกจะรุนแรงเกินไป

เนื้อหาดีๆ ก็มี

ถ้อยคำดีๆ ก็พอมีอยู่บ้าง

ทว่า มันเป็นถ้อยคำที่เขาใช้กันเยอะแล้ว

มีทั่วบ้านทั่วเมือง  แชร์กันใน Social network มาเป็นชาติแล้วนี่สิ




ข้าพเจ้าพยายามทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เขียน

และพอจะนึกได้ว่า

แท้จริง ก็ไม่มีใครมีเจตนาร้าย

หรือประสงค์ไม่ดีต่อผู้ใด

เพียงแต่วิธีการที่ทำนี้

ข้าพเจ้าไม่ใคร่เห็นด้วยเท่าไรนัก

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

และข้าพเจ้าได้เห็นแล้วดังนี้




ผู้เขียนเป็นนักวาดภาพประกอบอิสระที่พยายามศึกษาแก่นแท้ของศาสนาพุทธ

ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งแรกที่ผู้เขียนท่านนี้ควรทำ คือศึกษาวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์

ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  แล้วดำเนินรอยตาม

กับทั้ง ยุติการหากิน โดยใช้ธรรมะที่ไม่แท้ เป็นเครื่องมือเสียเถิด


หรือหากอยากเขียน

ก็ควรให้มีอะไร ที่สามารถทำตามข้อความบนโปรยปกได้จริงๆ

อย่างการเขียนให้คนอ่านเข้าใจง่ายเหมือนท่าน ว.

หรือการสื่อสารออกมาเป็นการ์ตูนดีๆ ที่ไม่ส่งๆ

อย่างเช่น หลวงพี่แตงโม

หากใครได้เคยอ่าน คงนึกถึงรอยยิ้ม และอากัปกิริยาการพยักหน้าอยู่เนืองๆ

หนังสือนั้น หรือการ์ตูนนั้น จึงจะได้ชื่อว่า เข้าใจ..ไม่ยาก จริงๆ











ทว่า..ธรรมะ ก็ยังเป็นของที่ไม่สมควรมีราคาอยู่ดี

เพราะธรรมะ มีคุณค่ามากเกินกว่าจะตีเป็นราคา แล้วขายกันตามท้องตลาด

ทั้งยังมิใช่สิ่งสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ใดอีกด้วย



ด้วยความเคารพ โดยส่วนตัว Strongly Disagree






18 มี.ค. 2556

Three Hundreds..คั่นเวลา .. วันก่อนค่ะ






เล่มนี้

อ่านคั่นเวลาและแก้เครียด

ระหว่างการอ่านหนังสือสอบ

มุขซ้ำๆ บ้าง

แป้กๆ ไปหลายดอกติดๆ กันบ้าง

แต่โดยรวม ก็ถือว่า

สามารถเรียกรอยยิ้มที่มุมปากได้

พอสมควร



อาจเพราะเป็น "วันก่อนค่ะ"

ที่อยากขายความฮาแบบเน้น Story หญิงๆ

เหมือนที่โน้ต อุดม เดี่ยวถึงสาวๆ

เอา Nature เพศแม่มาเล่าซะฮากระจาย

ในมุมมองของผู้ชาย

ผู้เป็นที่รองรับอารมณ์เหวี่ยงวีน

และอะไรหลายๆ อย่างในตัวผู้หญิง

ที่ผู้ชายไม่สามารถหาเหตุผลมา Support การกระทำได้

จึงต้องมองให้เป็นเรื่องตลก และพยายามปล่อยวาง




เล่มนี้

365 มุข ว่าด้วยความเป็น "ผู้หญิง"

มีหลายวัย หลายบทบาท หลายสถานะ

แต่ทั้งหมดทั้งมวล เขียนโดย

ผู้ชาย..3 คน



และดูเหมือนว่า จะเป็นผู้ชาย ที่ยังรู้จักผู้หญิง

ไม่มากพอที่จะเฟ้นความตลกออกมาได้ถึง 365 บท

เลยทำให้วกไปวนมา ขาดความสนุกสนาน ไปเยอะ



และหนังสือเล่มนี้

ขายแพง

อาจเพราะ Plate การพิมพ์

หรืออาจเพราะ สร้างสรรค์และจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ที่สามารถเล่นตัวได้แล้ว

อันนี้ก็ไม่แน่ใจ



แต่ที่แน่ใจคือ

ถ้ามิใช่เพราะคนรักอยากมีไว้ในครอบครอง

ข้าพเจ้าคงได้ยืนอ่านฟรีที่ร้านจนจบ

และไม่ได้เสียสตางค์ให้เล่มนี้แน่นอน

หึๆ





13 มี.ค. 2556

เด็กอ้วนคล้ำ

ไม่รู้หมู่นี้เป็นอะไร

แลดูจะนิยมชมชอบและนึกเอ็นดู

เด็กที่มีลักษณะตัวอ้วนๆ ผิวคล้ำๆ ยิ้มง่ายๆ

มันดูน่าฟัด น่าหยิกอย่างไรชอบกล

หรือข้าพเจ้าเป็นพวกนิยมของดำไปเสียแล้ว



จะว่าดำก็ดูน่าสงสาร

เดี๋ยวจะเป็นปมด้อยแก่เด็กเสียเปล่าๆ

เอาแค่คล้ำๆ ก็พอมั้ง

เด็กอ้วนคล้ำ :p



วันนี้ ไปกินก๋วยเตี๋ยว

ร้านนี้ คนเยอะตลอดกาล

ขนาดมีพนักงานมากมาย วิ่งไปมาแทบจะชนกันตาย

ก็ยังไม่วาย บริการไม่ทัน

ทว่า

ข้าพเจ้าสะดุดตา

เด็กผู้ชายสองคน

หน้าตาเหมือนกันมาก

อ้วนๆ คล้ำๆ

มองไปมองมา

ฝาแฝดกันนั่นเอง

แต่คนหนึ่งใส่เสื้อแดง

อีกคนใส่เสื้อเขียว

(แหม ถ้าแฝดสาม คงเสื้อเหลืองเป็นไฟจราจรเลยสินะ)

ทั้งสองขยันขันแข็ง

วิ่งไปเช็ดโต๊ะ เก็บถ้วย เก็บจานที

ไปล้างจานที

ไปตักข้าวที

ทำทุกอย่าง ที่ผู้ใหญ่ทำ ยกเว้น รับออเดอร์และเก็บตังค์

ทำงานกันกระตือรือร้นมาก



ข้าพเจ้านั่งมองอยู่นาน

อดยิ้มไม่ได้

ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม

เด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน

ก็น่ายินดี ที่เด็กบางคน

เอาเวลาเหล่านั้น มาช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน

ได้เรียนรู้ ว่างานมันหนัก มันเหนื่อย

ได้เห็นคุณค่าของการทำงาน

เรื่องเงินคงไม่ต้องพูดถึง

เด็กเขาคงรู้ของเขาเอง ว่ามันหายาก หรือไม่ยาก

นี่เป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด

ดีกว่ามานั่งพร่ำบอกว่า ให้ประหยัดนะลูก

อย่ามัวแต่เอาเงินพ่อแม่ไปเล่นเกม ไปซื้อของฟุ่มเฟือย

พ่อแม่เหนื่อย เงินมันหายาก ลำบากนักกว่าจะได้มา



ตัวข้าพเจ้าเอง

เมื่อยังเด็กขนาดนี้ ก็ไม่ได้ทำงานทำการอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันแบบนี้

ปิดเทอม ก็อยู่บ้าน

อยู่กับโทรทัศน์ ที่เปิดไว้งั้นๆ ดูบ้างไม่ดูบ้าง

อยู่กับสมุดภาพระบายสี และสมุดคัดลายมือกองเบ้อเริ่ม

ที่พ่อซื้อไว้ให้

อยู่กับหนังสือแบบเรียน

หรือแบบไม่เรียน

อยู่กับหมาแพนด้า

(หมาจริงๆ ชื่อแพนด้า ไม่ได้ต้องการจะผวนคำแล้วพิมพ์ผิดแต่อย่างใด)

ข้าพเจ้าทำงานครั้งแรก

ก็ตอนปิดเทอม ม.3 จะขึ้น ม.4




ข้าพเจ้าเชื่อว่า เด็กที่ได้ทำงาน

จะเป็นเด็กที่สามารถคิด ก่อนการใช้จ่ายเงิน

มากกว่าเด็กที่ไม่เคยประสบกับการขั้นตอนการหาเงินจริงๆ




ส่วนเด็กจะประหยัดหรือไม่นั้น

ก็เรื่องของเขา

ไม่จำเป็นเลย ที่เมื่อรู้ว่า หาเงินยากแล้วจะต้องประหยัดสุดขั้ว

เพราะบางคน Work hard Play hard

ให้รางวัลตัวเอง ให้สมกับที่เหนื่อย

มีเงินก็ใช้

แค่ใช้อย่างไรให้คุ้มค่า ก็เท่านั้น

และคุ้มค่าของแต่ละคน ก็วัดกันไม่ได้เสียด้วย

ต้องขึ้นอยู่วิจารณญาณ และความพึงพอใจ

ส่วนบุคคล

เท่านั้น




ข้าพเจ้าเอ็นดูเด็กแฝดสองคนนั้นมาก

ขนาดคิดว่า จะให้ทิปดีไหม

แต่ก็กลัวอะไรหลายๆ อย่าง

เพราะเคยเจอมาเหมือนกัน

ที่ข้าพเจ้าให้ เพราะอยากให้

ให้เพราะเห็นว่าเขาสมควรได้

แต่ตัวเขาเอง

ไม่อยากรับ จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม

เขามีเหตุผลของเขา

ที่เราไม่อาจก้าวล่วง



แต่ด้วยความที่พี่ๆ ที่ไปด้วยก็เชียร์

บอกว่าให้เลย ให้น้องเขาเองเลย

ฝากพนักงานคนอื่นให้ เกรงว่าจะไม่ถึง

และน้องก็มายืนรอเก็บโต๊ะด้วยแล้ว

ข้าพเจ้าจึงหยิบเงินยื่นให้น้อง

ให้เอาไปกินขนม

แต่น้องไม่รับ

นั่นไง

เป็นไปตามการคาดคะเนลึกๆ ของข้าพเจ้าจริงๆ




ข้าพเจ้าชื่นชมน้อง

ที่ขยันขันแข็ง

มันเป็นความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง



ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

ตอนนี้ ผ่านมาครึ่งวัน

เมื่อได้พักแล้วคิดถึงเด็กสองคนนั้น

ข้าพเจ้า...ยังอมยิ้มอยู่เลย




12 มี.ค. 2556

เป็นมะเหงกอะไรนักหนากับเสื้อผ้าหน้าผมของผู้อื่น



วันนี้ เป็นหนี่งในวันที่ค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด

แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

กระทบต่อความเป็นไปของชีวิต

แต่ก็ก่อกวนอารมณ์มิใช่น้อย



ใครๆ ก็มักต้องการความั่นใจในตนเอง

ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจอารมณ์แท้ๆ ของผู้หญิงก็วันนี้

เพราะเมื่อเช้า

กว่าจะออกจากห้องได้

แต่งตัว ทำผมให้ดูดี ทำหน้าให้ไม่โทรม

ฟาดไปครึ่งชั่วโมง

บางคนอาจจะบอกว่า

นี่ยังน้อยนะ

แต่สำหรับข้าพเจ้า

มันถือเป็นการเสียเวลาทำมาหาประโยชน์ค่อนข้างจะอย่างยิ่ง




มิหนำซ้ำ

ออกมาจากห้องแล้ว

แรกๆ ก็มั่นใจดี

มีคนทักหลายคน

เนื่องจากวันนี้ใส่กางเกง

ทั้งที่ทำงานมาเกือบจะสองปี ณ สถานที่ทำงานนี้

ยังไม่เคยใส่กางเกงเลยสักวัน

อย่างมากก็ใส่เลคกิ้งซ้อนข้างใน เวลาที่รู้สึกว่า เดรสที่ใส่ มันสั้นไปนิด





หลายคนทักว่าสวย แปลกตา

แต่ก็น่าโมโหตัวเอง

มีคนทักในแง่ดีตั้งหลายคน

พอมีคนทักในแง่ตรงข้าม

กลับเก็บมาคิดซะงั้น


เช่น

เมื่อวานยังสวยๆ อยู่เลย

วันนี้มาเป็นอาซิ้ม ยังกับเพิ่งมาจากแผ่นดินใหญ่ซะงั้น

-*-


นั่นไง

เล่นกรูซะแร้ว





อันที่จริง ต้องยอมรับตามตรงว่า

ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงที่ไม่เน้นแฟชั่น

(เน้นฟังค์ชั่นและความคุ้มค่า ว่างั้น)

เสื้อผ้าที่ใส่ทำงาน ณ ปัจจุบัน

ร้อยละ 60

คนรักเลือกและซื้อให้

อีกร้อยละ 20

แม่ซื้อให้

อีกร้อยละ 10

ยืมของเพื่อนมาใส่

หึๆ




ใส่ก็วนไปวนมา อยู่เท่านั้นล่ะ

เท่าที่มีอยู่พอดีกับตู้เสื้อผ้าไม่เล็กไม่ใหญ่

แต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่า

เสื้อมันเต็มตู้มากเกินไป

เพราะแขวนก็เต็มราว พับไว้อีกก็พูนขึ้นมา

ความจริง น่าจะแยกได้เป็นสองตู้ ถ้าเอามาแขวนเสียทั้งหมด

ทว่า ... ก็ยังไม่รู้จะใส่อะไรดี




ปัญหาที่ไม่น่าเป็นปัญหา

มีเสื้อผ้าเต็มตู้

แต่บอกว่า ไม่รู้จะใส่อะไร

ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่



ความจริง ถ้าพูดเช่นนี้ มันไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงเราๆ

ไม่มีเสื้อผ้าในตู้หรอกนะ

มันหมายความว่า

ไม่มีที่มันเหมาะ ที่จะใส่ในวันนั้น

หรืออาจมีที่เหมาะ

แต่ไม่ชอบ ไม่อยากใส่ตัวนั้น ไม่อยากใส่สีนั้น




ถ้ามีชุดทำงานที่เป็นยูนิฟอร์มก็ดีไป

ตัดปัญหาการเลือกเสื้อผ้าไปได้เยอะ

แต่เมื่อไม่มี

ก็ต้องสละเวลามานั่งคิด ยืนคิด สำรวจตู้

เพื่อจะได้ก้าวออกจากห้องด้วยความมั่นใจ

เพราะเมื่อไหร่ที่ขาดความมั่นใจ

วันนั้น...โลกจะหม่น จะม้วน จะมึน จะหมองทันที




ข้าพเจ้าอยากได้ความมั่นใจ

แต่ไม่ใช่ความมั่นใจที่มาจากคำชมของคนอื่น

อยากได้ที่

แม้คนจะว่าเชย เฉิ่ม หรือ แรงไป แรดไป

ข้าพเจ้าก็ยังมั่นใจอยู่ดี




เมื่อวาน  ข้าพเจ้าใส่ชุดใหม่

ที่มีสไตล์แตกต่างไปจากที่เคยใส่มา

เป็นเสื้อเชิ้ตสีดำ และกระโปรงเอวสูงสีชาเย็น

ข้าพเจ้าไม่มั่นใจเลย

เพราะรู้สึกว่า เอวสูง มันทำให้ตัวข้าพเจ้า

ซึ่งเล็กๆ อยู่แล้ว

ดูสั้นๆ เข้าไปอีก

ทว่า

ใครๆ ก็ต่างชม

บ้างก็ทักว่า วันนี้มีนัดหรอ สวยเชียว แต่งหน้าด้วย

(ความจริงก็ทาแป้ง ปัดบรัชออนตามปกติ

แต่สงสัย ลืมเปิดไฟตอนปัด เลยปัดแก้มเข้มไปหน่อย

หน้าเลยไม่ซีดๆ เหมือนทุกวัน ฮ่าๆๆ)

ข้าพเจ้าแอบมีความมั่นใจขึ้นมานึดหน่อย

แต่ก็ต้องย้อนมาถามตัวเองว่า

นี่เรา เอาความมั่นใจในตัวเอง

ไปฝากไว้กับคนอื่นๆ ขนาดนี้เลยหรือ

หึๆ





ข้าพเจ้ายังนึกชื่นชมผู้หญิงหลายคน

ที่ไม่สูญเสียความมั่นใจ

ให้กับขี้ปากใครๆ ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น




ความพอดี อยู่ที่ตัวเรา

เราอาจถ่อมตนให้กาละเทศะ

แต่ไม่จำต้องอ่อนน้อมให้ทัศนะใครต่อใครมากมาย

เป็นตัวของตัวเอง ตราบเท่าที่ตัวตนนั้น ไม่เบียดเบียนใคร

เท่านี้ ไม่พอหรือ





11 มี.ค. 2556

Three Hundreds No.3..BE Magazine Vol.44




ข้าพเจ้าเป็นแฟนคลับของนิตยสาร BE Magazine ตั้งแต่สมัยเรียนปี 3 ปี 4

เนื่องจากไปเข้าค่าย Social Entrepreneur ซึ่งจัดโดย TK Park

ว่าด้วยการทำงานที่สามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้

กับทั้งก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม

ซึ่งในครั้งนั้น

คุณต้น อารันดร์ อาชาพิลาส

ผู้บริหารของ BE Magazine ได้รับเชิญให้มาเป็น Guess speaker

ร่วมกับพี่หนูหริ่ง แห่งมูลนิธิกระจกเงา




ค่ายนั้น เป็นอีกหนึ่งค่ายที่รู้สึกดี

รู้สึกไม่เสียเวลาเปล่า

และรู้สึกไม่อยากจากมา

เพราะหัวใจ สัมผัสได้ ถึงผู้มีความคิดดีๆ

ทั้งผู้ร่วมค่าย และพี่ๆ ผู้จัดค่าย

เป็นคนประเภทคล้ายๆ กัน

มีอุดมการณ์คล้ายๆ กัน

อยากทำอะไรๆ คล้ายๆ กัน

ได้ลงมือทำจริงหรือไม่ อันนี้ก็แล้วแต่คน

อย่างน้อย เราได้มาช่วยกันคิด

ว่าจะทำอะไรๆ คืนสู่สังคมได้บ้าง

ได้วางแผน ได้ทดลองร่างโครงการ

เพื่อระดมสมอง หาจุดบกพร่อง

หาทางแก้ไข

เติมแต่งความเข้มแข็ง

ให้โครงการนั้น สามารถทำได้จริง

และผู้ที่มาร่วมค่ายนี้

มีไม่น้อย

ที่กำลังทำโครงการของตัวเองอยู่





ข้าพเจ้าตามอ่านนิตยสารฉบับนี้

แต่จะซื้อ

เฉพาะกับผู้ขาย ที่เป็นคนในโครงการเท่านั้น

คนในโครงการของ BE Magazine

หมายถึง ผู้ด้อยโอกาส

ผู้พิการ Homeless หรือนักเรียนนักศึกษา

ที่ขาดแคลนรายได้

BE จะให้คนกลุ่มนี้ รับนิตยสารไปขาย

โดยจะให้ฟรีในครั้งแรก จำนวน 30 เล่ม

นำไปขายราคาเล่มละ 45 บาท

เมื่อขายได้หมด ก็จะได้เงินนั้น เป็นทุนตั้งต้น

จากนั้น

ก็สามารถนำเงินกลับมาซื้อนิตยสารไปขายได้

ในราคาเล่มละ 25 บาท

เท่ากับว่า

คนขาย จะได้กำไร เล่มละ 20 บาทเลยทีเดียว




ข้าพเจ้าชื่นชอบแนวคิดของการจัดทำนิตยสารแบบนี้

อีกทั้งเนื้อหาภายในก็ไม่ไร้สาระ

จะเน้นการทำประโยชน์

เน้นตัวอย่างผู้ทำความดีต่างๆ เพื่อสังคม

หรือผู้ที่มีเรื่องราวในชีวิตน่าสนใจ

น่าสงสาร น่าหดหู่ แต่พวกเขาก็ข้ามผ่านมันมาได้

เป็นหนังสือ สำหรับสร้างเสริมกำลังใจ

ให้คนท้อ

และเติมไฟแห่งการทำดี

ให้ใครหลายๆ คน




เมื่อก่อน ข้าพเจ้าไปแถวรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิตบ่อยๆ

ก็จะแวะซื้อ BE จากน้องผู้ชายคนหนึ่ง

เราค่อนข้างคุ้นหน้ากัน

เขาจะจำข้าพเจ้าได้หรือไม่ อันนี้ก็ไม่แน่ใจ

แต่ข้าพเจ้าจำเขาได้

แล้ววันหนึ่ง น้องเขาก็บอกว่า

"พี่ครับ ช่วงอาทิตย์หน้า ผมจะไม่ได้มาขายแล้ว

จะเป็นแม่ผมมาขายแทน พี่ช่วยซื้อด้วยนะครับ"

ข้าพเจ้าก็ตกใจ

"อ้าว น้องจะไปไหน"

น้องยิ้มๆ แล้วบอกข้าพเจ้าว่า เขาจะต้องเข้ารับการผ่าตัด

อะไรสักอย่าง

ข้าพเจ้าจำรายละเอียดไม่ได้ (ทั้งที่น้องเขาก็เล่าค่อนข้างเยอะ -_-")

แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นความหดหู่ หรืออ่อนไหวในดวงตาคู่นั้น

ข้าพเจ้าเห็น....เพียงความหวัง..

ข้าพเจ้าก็รับปากน้องว่า ถ้าเจอแม่น้องมาขาย

ก็จะซื้อตามปกติ





แต่ .. ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบทั้งน้องและแม่ของน้อง




ด้วยความที่นานๆ ที

ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสซื้อ

ดังนั้น เมื่อเจอคนขายที

ก็จะซื้อหลายๆ เล่ม

ซื้อย้อนหลัง

ตามแต่เงินในกระเป๋าจะอำนวย

ข้าพเจ้าทราบว่า BE Magazine ก็มีวางขายบ้าง

ตามร้านหนังสือทั่วไป

แต่ก็ไม่ได้คิดจะซื้อ

ยินดีจะซื้อ Direct sale เสียมากกว่า




คราวนี้ ไปเจอแถวสีลม

กวาดมา 4 เล่ม

แต่เหลือไว้อ่านเพียง 2 เล่ม

เพราะให้พี่และเพื่อนที่ทำงาน ไป 2 เล่ม

อยากให้คนที่เรารู้สึกดีด้วย

ได้รู้จักอะไรๆ ที่เราคิดว่าดี




หนึ่งในเล่มที่เหลือ คือ




BE Magazine .. Ray Issue  Vol. 44  ปก "เร" แม๊คโดแนลด์

เข้าใจว่าเป็นเล่มล่าสุด ณ ตอนนี้

(11 มีนาคม 2556)

จากเท่าที่ติดตามใน facebook




โดยไม่อ้อมค้อม

พุ่งประเด็นไปที่เรื่องเนื่องจากปก

บทสัมภาษณ์คุณ "เร"

พาดหัว หรือยกคำพูด ค่อนข้างน่าอ่าน

ดึงดูด ให้อยากรู้ว่า เขาคุยอะไรกัน

แต่เมื่อเปิดอ่านจริงแล้ว

กลับรู้สึกว่า มันค่อนข้างกลวง

คือ

มันไม่แน่น

ทั้งที่เป็นแก่น เป็นจุดโฟกัส เป็นปกของเล่ม

กลับทำบทสัมภาษณ์ออกมา

ให้คนอ่าน รู้สึกไม่ได้ว่า อ่านจบแล้ว ได้อะไร

เหมือนคนถามก็ถามตามสคริปท์

คนตอบก็ตอบมึนๆ

คนถามไม่เจาะลึก เหมือนเปิดประเด็นทิ้งไว้

พอเขาตอบมา ก็ไม่ได้ซัด ไม่ได้ย้ำ

ไม่ได้เค้นความคิด หรือตัวตนของผู้ถูกสัมภาษณ์ออกมา

แต่ก็พอจะเข้าใจ

ว่าทำไมคุณเร ถึงตอบมึนๆ

เพราะเจอคำถามแรกเข้าไป

เป็นข้าพเจ้าก็คงตอบมึนๆ เช่นกัน

หรือไม่ ก็ขอเวลาสักอาทิตย์ พร้อมกระดาษ A4 สักปึกกลับไปนั่งทดที่บ้าน

คำถามเปิด มีว่า

"ตอนนี้ คุณเรมีความเชื่ออะไรอยู่บ้าง"

(ตรึง O_o!)




ถามว่าข้าพเจ้าเชี่ยวชาญมากไหม

ในบทบาทผู้สัมภาษณ์คนอื่น

ข้าพเจ้าก็ตอบตามตรงว่า ไม่

ทว่า ครั้งนี้ ข้าพเจ้าพูด

ในฐานะ คนอ่าน

ที่พยายามอ่านด้วยสติ ขบคิดด้วยปัญญา

แต่พยายามแล้ว ก็ยังรู้สึกว่า

เนื้อหาอ่อนไป




เทียบกับบทสัมภาษณ์อื่นๆ

ภายในเล่มเดียวกัน

ที่มีเนื้อที่เพียงคนละหน้า

บางบทสัมภาษณ์ ยังทำให้รู้สึกประทับใจ

ได้มากกว่า 4 หน้าของคุณเร เสียอีก




ข้าพเจ้าชอบบทสัมภาษณ์

"Living legends" ว่าด้วยมุมมองของคุณเวียง วชิระ บัวสนธ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์สามัญชน

"Story of Yesterday" ว่าด้วยกำลังใจของ Miss Wheelchair Thailand 2012

และ "จอมพรานแห่งกุยบุรี" ว่าด้วย ความรักของ "ลุงใจ" ที่มีต่อผืนป่าอุดมสมบูรณ์




และ

ข้าพเจ้าชอบ Think BE อันนี้



อ่านแล้ว..จุกๆ จี๊ดๆ ยังไงชอบกล













10 มี.ค. 2556

Three Hundreds No.2..100 เรื่องน่ารู้..เสือ!!



ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะอ่านเล่มนี้

แลดูเป็นความรู้หมวดหมู่เด็กและเยาวชนไปหน่อย

แต่ก็นะ

เอาเข้าจริง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีความรู้มากไปกว่าเด็กๆ เลย

ในเรื่องเจ้า "เสือ" นี้



เพราะไปเข้าร้าน Asia Book แล้วคนรักหยิบหนังสือ Photo Book 

ของท่านปองพล อดิเรกสาร

เป็น Photo Book พร้อมคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม

สิงสาราสัตว์ทั่วทุกมุมโลก

ที่ท่านเดินทางไปพบไปเจอมา

ทว่า มีหน้าหนึ่ง

เป็นรูปเสือ บรรยายไว้ว่า เป็นเสือดาว

คนรักเปิดหน้านั้น พร้อมบอกข้าพเจ้าว่า

"พี่ว่ามันน่าจะเป็นเสือจากัวร์นะ มันไม่น่าใช่เสือดาวหรอก"

และอธิบาย พร้อมยกเอาหนังสือ 100 เรื่องเสือเล่มนี้มาอ้างอิง






เปิดให้ดูกันจะๆ เทียบลายกันชัดๆ ว่ามันไม่ช้ายไม่ใช่ เอิ่มๆ -*- จริงจังมากอะไรมาก

(แถมยังบอกด้วยว่า เสือดาวมันหากินตอนกลางคืน

ไม่มีทางไปถ่ายรูปมันได้ขนาดนี้ในตอนกลางวันหรอก 

นั่น!! ข้อมูลปึ้กเว่อร์ๆ)
 
แล้วก็บังเอิญ มีพี่ผู้ชายอีกท่านหนึ่ง มาร่วมวงอภิปรายด้วย

ว่าตกลง เสือในรูปนั่น คือเสืออะไร

ข้าพเจ้ายืนฟัง แบบงงๆ 

ก็ไม่รู้อะไรเลยนี่นา

ไม่รู้แม้กระทั่งว่า

"เสือดาว" กับ "เสือดำ" มันเสือเดียวกัน  -_-"

เฮ้อ เพลียเจ้าของ




สุดท้าย เลยต้องมานั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยความแค้น (ตัวเอง)

แล้วความรู้สึกก็เปลี่ยนไป 

แท้ที่จริง

หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ผลิตมาเพื่อเด็กๆ เท่านั้น

ในความคิดของข้าพเจ้า

เราๆ ผู้ใหญ่ คนโตๆ กันแล้วนี่แหละ

ยิ่งสมควรต้องอ่าน




ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยรู้

แล้วก็สงสัยว่า

ตัวเองไปอยู่ที่ไหน โตมาได้ยังไงตั้ง 23 ปี

โดยที่ไม่เคยนึกสนใจเรื่องพวกนี้

มันน่าตื่นเต้น น่ารัก น่าสนุกจะตาย

กับการได้เรียนรู้เจ้าแมวยักษ์แมวใหญ่เหล่านี้



อ่านแล้ว จากที่เฉยๆ กับเจ้าเสือ

กลับรู้สึกรักพวกมันมากขึ้น

ค่อยๆ บ่มเพาะความอ่อนโยนให้หัวใจ

จนหน้าสุดท้าย ก็ตกหลุมรักพวกมันโดยไม่รู้ตัว




ข้าพเจ้าอ่านไป ไฮไลท์ไป

(คนรักแซวว่า นี่จริงจังถึงขั้นต้องไฮไลท์กันเลยหรือ)

หึๆ ข้าพเจ้าไม่ได้ไฮไลท์เนื้อหาวิชาการ

ข้าพเจ้าไฮไลท์ความน่ารักน่าชังของพวกมันต่างหาก


เช่น

"ชีตาห์จะหมดแรงหลังวิ่งไปเพียง 30 วินาที(เท่านั้น !!!) 

ดังนั้น ถ้าเหยื่อสามารถวิ่งหนีจากคมเขี้ยวของชีตาห์ได้นานกว่านั้น มันก็อาจหนีรอดได้"

ข้าพเจ้าแอบ โถๆๆ ให้เจ้าชีตาห์ 

และนึกจินตนาการเห็นหน้าเหยื่อที่หัวเราะฮ่าๆ หลังจากวิ่งหนีรอดไปได้เกิน 30 วินาที

ทว่า ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า มีเหยื่อสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่สามารถหัวเราะใส่เจ้าชีตาห์ยอดนักวิ่งได้

ความเร็วขนาดเร่งได้ 75 กิโลเมตรภายใน 2 วินาที (เทพกว่ารถยนต์เราๆ เสียอีก)

กับเวลาที่จำกัดไว้ครึ่งนาที

จะทำให้ใครเป็นผู้ชนะมากกว่ากัน ระหว่างเจ้าเสือกับเหยื่อน้อย




หรือ

"ขนเม่นเพียงเส้นเดียว อาจทำให้เจ้าเสือพูมาถึงขั้นลาโลกได้"



หรือ 

"สาเหตุที่แมวชอบเอาตัวมาถูกับขาเรา ก็เพราะ มันกำลังบอกให้แมวตัวอื่นๆ รู้ว่า

เราเป็นสมบัติของมัน !!!  (ตรึง ใครเป็นของใครกันแน่ เพิ่งรู้ก็วันนี้ เอ๊ะ หรือเราเป็นของกันและกัน อิอิ)"


เป็นต้น




อ่านแล้ว รักเสือ มากขึ้น เป็นกองเบ้อเริ่ม

นี่ไม่ได้โฆษณาให้อัมรินทร์นะ แค่อยากแชร์หนังสือดีๆ

อวยมากไป ก็อย่าว่ากันเลย




เปิดด้วยความแค้น (ตัวเอง)

ปิดด้วยความรัก (เพื่อนร่วมโลกเดียวกัน)





ให้โอกาสพวกเขา ได้วิ่งเล่น ได้ใช้ชีวิต เหมือนที่มนุษย์เรา ก็อยากได้โอกาสนั้น

หยุดทำร้ายกันและกัน 

ความรักไม่ได้มีไว้แค่เพื่อการแบ่งปันแก่พวกพ้องสปีชีส์เดียวกัน

สิ่งใดมีชีวิต มีลมหายใจ สิ่งนั้นย่อมต้องการ "ความรัก" และ "เมตตา"