25 ส.ค. 2554

ว่าด้วยการพูด

เมื่อวาน มีอิเลคโทรนิคเมลล์ฉบับหนึ่งส่งมาถึงฉัน
เป็นเมลล์ภายในบริษัท
ถามว่า

"น้องแพรวาเปงไรเหรอ เห็นเงียบๆ มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้นะ จะเก็บเป็นความลับ"

ฉันเงียบไป อย่างนั้นหรือ
แทบไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย
ว่าเงียบอยู่
หรืออาจเพราะ เมื่ออยู่ที่ทำงาน
ฉันคงพูดเท่าที่จำเป็น
แต่ฉันก็พูดนะ

ความจริง ฉันมีความรุสึกหนึ่ง
เกิดขึ้นสักพักแล้วเหมือนกัน
เรียกว่าความรุสึก เพราะมันคือการกระทำที่เกิดขึ้นตามความรุสึก
แล้วจึงมีเหตุผลจากความคิดตามมาในภายหลัง

ฉันรุสึกว่า ฉันไม่อยากพูด
อารมณ์คล้ายๆ ขี้เกียจพูด
แต่ก็ไม่เชิงว่าอยากเป็นใบ้ซะทีเดียว
แค่ว่า ถ้าไม่อยากพูด ต่อให้คิดอะไรอยู่มากมาย
ปากก็ไม่ขยับ เส้นเสียงไม่สั่นสะเทือน และลมไม่ออกจากลำคอ

ฉันอยากอยู่เงียบๆ
ทำอะไรที่ต้องทำ อยากทำ และควรทำ
ฉันรุสึกว่า การสนทนาอะไรๆที่มากมายเหล่านั้น
เป็นเรื่องค่อนข้างไร้สาระและสิ้นเปลืองเวลา


แต่ก็ใช่ว่าฉันไม่พูดอะไรกับใครเลย
ฉันก็ยังคงสนทนากับเพื่อนร่วมงานและผู้คนอื่นๆตามปกติ
เรื่องอะไรที่คนเหล่านั้นเปิดประเด็นและถามความเห็นของฉัน
ฉันก็ตอบเขาไป
แค่ว่า..ฉันไม่เคยเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อนก็เท่านั้น
ฉันอาจมีโลกส่วนตัว..ที่สูงมากเกินไป
แต่ตราบใดที่สิ่งนั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
ฉันก็จะยังคงเป็นฉัน..

อันที่จริง ฉันคุยได้กับทุกคน
และในที่ทำงาน ฉันก็รู้สึกได้ว่า มีหลายคนที่อยากเข้ามาในโลกของฉัน
อยากรุจักฉัน อยากพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดนู่นนี่นั่น
ฉันได้รับเมลล์หลายฉบับในแต่ละวัน
เป็น forward mail เรื่องราวแปลกๆเพื่อจุดประเด็นการสนทนาบ้าง
หรือบางที ก็มาแบบจดหมายลับ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ
"ทานข้าวกับอะไร"
"งานเยอะไหม"
"กลับบ้านกี่โมง"
เหล่านี้ มีมาทุกวัน จนบางที ขี้คร้านจะตอบ
ก็ปล่อยไว้อย่างนั้น

ใช่ว่าฉันไม่แคร์ความรุสึกของคนถามเหล่านั้น
หากแต่ ฉันแคร์และเป็นห่วง
สวัสดิภาพของความสงบภายในโลกของฉัน
มากกว่า..

ในชีวิตของฉัน จะว่าไปแล้ว
ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที๋ฉันจะอ้าปากเล่าเรื่องราวที่พบเจอ
หรือความคิด ความรุสึกที่เกิดให้ได้รับรู้
อาจเพราะถ้าจะต้องอธิบายอะไรที่มันมากมาย
และทำให้คนๆนั้น เข้าใจความคิดหรือความรุสึกต่างๆเหล่านั้นได้
ฉันคงเหนื่อย และยิ่งถ้าผลสุดท้าย
สารที่ฉันต้องการสื่อ กับสารที่คนฟังได้รับ
มันไม่ตรงกัน
ฉันจะเสียความรุสึก..อย่างมาก
ฉันจึงเลือกที่จะไม่พูด ในระดับลึกซึ้ง
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
ในระดับตื้นๆ ทักทาย แลกเปลี่ยนเรื่องทั่วไป สักสองสามประโยค
ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าจะให้สาธยายยืดยาว เพื่อหาคนเข้าใจ
ฉันไม่ทำ

ฉันมีคนสำคัญในชีวิตเพียงน้อยนิด
แต่คนที่ฉันจะยอมพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตัวตน
มีน้อยนิดยิ่งกว่า

แต่ใช่ว่าความรุสึกนี้จะเกิดขึ้นและตั้งอยู่เองลำเพียงพัง
มันมีเหตุผลเป็นคู่หูด้วยเช่นกัน
ฉันไม่พูด มีสาเหตุมาจากทั้งการไม่อยากพูด กับอยากพูดแต่ไม่พูด
ไม่อยากพูด ก็เพราะไม่มีอะไรเป็นสาระควรค่าแก่การพูด
อยากพูดแต่ไม่พูด เพราะรู้ว่าเมื่อพูดออกไปแล้วอาจทำร้ายใครสักคน
หรือหลายคน และหนึ่งในนั้น อาจเป็นตัวฉันหรือคนที่ฉันรัก

อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ยิ่งจำนวนคำที่เราพูดมีมากเท่าไร
จำนวนกรรมที่เกิดจากวาจาก็มีมากเท่านั้น
และส่วนมาก ก็มักไม่ใช่กรรมดีเสียด้วย
ถ้าไม่ทำร้ายใครเข้าสักประโยค
ก็เป็นคำโกหก เสริมสร้าง ปั้นแต่ง บางทีเป็นคำหยาบ
และโดยส่วนมาก มักประกอบด้วยวาทะอันเพ้อเจ้อ
ไม่มีการพูดครั้งใดที่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด
และฉัน ก็ไม่ต้องการ ก่อกรรมชั่ว โดยมิตั้งใจ
วจีกรรม...แม้ไม่อาจรักษาให้บริสุทธิ์ได้ดุจน้ำที่ผ่านการกลั่น
อย่างน้อย ก็ควรทำให้สะอาดที่สุด
กรองมันหลายๆรอบ หลายๆชั้น
โบราณถึงว่า..คิดก่อนพูด

คิดเพื่อไตร่ตรองว่า พูดเพื่ออะไร
พูดแล้วเกิดประโยชน์อันใดแก่ผู้ฟัง
จะใช้ถ้อยคำใดในการพูดเพื่อสื่อสาร
เมื่อทบทวนและไตร่ตรองดีแล้ว
เห็นว่าสมควรแล้ว
จึงพูด

ฉันอาจไม่ได้ทำเช่นนั้นในทุกๆครั้งของการอ้าปากพูด
แต่ฉันก็พยายาม

ฉันรักความสงบ ในโลกของตัวเอง
และไม่ต้องการก่อกวนโลกเล็กๆใบนี้
ด้วยคำพูดที่ไม่คู่ควรและผลที่ตามมาของมัน
อนึ่ง ฉันก็นึกเคารพในความสงบของโลกที่ผู้อื่นครอบครองด้วย
เฉกเช่นและเสมอกับโลกของฉัน

ขออภัย กับการเป็นมนุษย์ที่ปรารถนาโลกแห่งความสงบเงียบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น