ในชีวิตข้าพเจ้า
มีบุคคลตัวอย่างหลายคน ที่ข้าพเจ้าชื่นชมและแอบดำเนินรอยตาม
หยิบส่วนนั้นส่วนนี้ของผู้คนเหล่านั้น
มาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในความคิด
และการดำเนินชีวิต
แน่นอน ข้าพเจ้าพยายามเลือกแต่สิ่งดีๆ
แต่ก็นั่นแหละ
บางทีก็มึนๆ ว่าไอ้ที่เลือกรับมา มันดีจริงหรือเปล่า เอิ้กๆ
หลายวันมานี้
มีนักคิดนักเขียนผู้หนึ่งเข้ามาวนเวียนในจิตใจ
ตามชื่อกระทู้นั้นแหละ
"พี่แขก คำ ผกา"
(เนียนๆ นับเป็นพี่เป็นน้องกันไปซะเลย ฮ่าๆๆ)
ความจริง ขอสารภาพโดยตรงว่า
ยังไม่เคยอ่านหนังสือของคนผู้นี้จบทั้งเล่มเลย
แม้เพียงสักเล่มเดียว
ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ
กระนั้น ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับนักเขียนผู้นี้อยู่บ้าง
และข้อมูลเท่านั้น ก็น่าจะเพียงพอ
สำหรับการยึด หรือดำเนินรอยตาม
เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชม
และอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง
หาใช่สิ่งใดที่ลึกซึ้ง
หาใช่ความลี้ลับอันใด
หรือต้องสนิทสนมชิดเชื้อมากมายจึงจะสัมผัสได้
เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากมีหรือเป็นให้ได้
แม้เพียงสักครึ่งหนึ่งของเธอก็คือ
การมี..ความกล้า
ข้าพเจ้าอยากได้ความกล้า
กล้าที่จะยอมรับผลที่ตามมา
จากการกระทำของเรา
ยอมรับอย่างสง่าผ่าเผย และมีความสุขอยู่ได้
แม้จะมีคนรักและคนชังเท่าๆ กัน
หรือบางสถานการณ์ มีคนชังมากกว่าคนรักเสียด้วยซ้ำ
ข้าพเจ้าอยากเป็นตัวของตัวเอง
อยากพูดในสิ่งที่คิด
อยากเขียน อยากแสดงออกในสิ่งที่เป็น
โดยที่สามารถยอมรับได้ทั้งความรักและความเกลียดชังที่จะตามมา
ข้าพเจ้ายังคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น
และอ่อนไหวต่อแรงคัดค้าน การต่อต้าน หรืออคติอื่นใด
อันที่จริง ข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์ขี้เกียจ
ข้าพเจ้าอาจมีเหตุผลสำหรับการตัดสินใจอย่างหนึ่ง
แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายให้ใครฟัง
หรือบางครั้ง
เมื่อมีความไม่ลงรอยเกิดขึ้น
หากมันไร้สาระนักและไม่เกิดประโยชน์อันใดที่จะพูดจากันให้เข้าใจ
ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ
เพราะขี้เกียจนั่นเอง
หรือแท้แล้ว
ข้าพเจ้ากลัวการบาดหมาง แคลงใจกับผู้อื่น
โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด
หรือแม้กับคนไม่ใกล้ไม่ชิดแต่เป็นคนหมู่มาก
มากันเป็นโขยงนี่ยิ่งแล้วใหญ่
หากข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่แตกต่าง
เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางผู้คน
ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะนั่งเงียบๆ
ไม่ขอออกความเห็นอันใด
โดยเฉพาะ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ
แม้จะเป็นความเชื่องมงาย ไร้สาระ ไม่เกิดสารัตถะอันใดแก่ชีวิต
แต่หากมันไม่ทำร้ายพวกเขามากเกินไป
ข้าพเจ้าก็ปล่อยไป
ไม่อยากยุ่งด้วย
เปลี่ยนความคิดคน..มันยาก
โดยเฉพาะความคิดของผู้มีอายุมาก
ยิ่งเหนียวแน่น
แค่นั่งฟังเฉยๆ ก็เหนื่อยแล้ว
ถ้าต้องเอาตัวไปขวางโลกเหล่านั้น คงได้เละตายคาที่ หึๆ
และถ้าจะคิดว่าคำพูดของข้าพเจ้าอาจเป็นการชี้แนะให้ใครสักคนตาสว่างขึ้นมาบ้าง
เป็นการทำวิทยาทานบ้าง
ให้ใครสักคนได้คลายจากโมหะบ้าง
แม้ข้าพเจ้าจะสามารถยกเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสนับสนุนได้
ข้าพเจ้าก็อาจยังมีเมตตาต่อคนเหล่านั้นน้อยเกินไป
หรืออาจติดอยู่ที่ว่า
โตๆ กันแล้ว
ถ้าโตกันขนาดนี้แล้ว ยังมีความคิด มีความเชื่อกันได้อย่างนี้
ก็อาจเปล่าประโยชน์ที่ข้าพเจ้าจะพูดไป
รอให้บุญพาวาสนาของคนเหล่านั้น ส่งตัวเองไปกันเอง
บางคนอาจหูตาสว่างจากประสบการณ์ในภายภาคหน้า
บางคนอาจมีผู้หวังดีมาชี้แนะ
หรือบางคนอาจโง่ดักดาน
ก็ตามแต่บุญกรรมทำมาเถิด
นั่นไง ข้าพเจ้าจึงเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นลอยมา
ถ้าได้สักครึ่งหนึ่งของเธอ
คงได้พูด ได้เสนอความคิด ได้แสดงออกบ้าง
และก็เป็นไปได้ว่า
ข้าพเจ้าคงโพล่งออกมาด้วยคำพูดระคายหูคนทั้งโต๊ะ
ฮ่าๆๆ
ข้าพเจ้าพยายามเคารพในตัวตน
พยายามยอมรับในความแตกต่าง
เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของอีกคน
เกิดมาก็ต่างกันแล้ว
โตมาก็ยิ่งต่างกัน
จะให้ใครมาคิดเหมือนเรา ทำเหมือนเราไปเสียทุกอย่าง
ให้ได้ดั่งใจทุกอย่าง ก็คงยาก
ถ้ามันต่างมากเกินไป
จนยากจะรับได้
ก็เพียงไปให้ไกลจากกันเสีย
จะได้ไม่ต้องกระทบกระทั่งบาดหมาง
เป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน
มิฉะนั้น ก็จะต้องพบเจอกันไปอีกหลายชาติ
แม้จะอยากเป็นมนุษย์ประจันหน้า
มีความกล้าอย่าง คำ ผกา
ข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นแพรวา
เป็นแพรวา..อยู่ร่ำไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น