10 ก.ค. 2556

บันทึกเล็กๆ หมายเลข 5...มนุษย์เงินเดือนเต็มสูบ


ชีวิตการทำงาน ณ ที่แห่งใหม่

ผ่านมาแล้วเกือบ 3 เดือน


(คงเรียกว่าใหม่ไม่ค่อยเต็มปากแล้วล่ะ ฮะฮ่า)

รวมกับชีวิตการทำงานตั้งแต่จบจากมหาวิทยาลัย ก็ 2 ปีกับอีก 2 เดือนได้แล้ว

วันนี้ คงต้องยอมรับโดยดุษณีว่า

ชีวิตมันยากกว่าที่คิดไว้เยอะ



เรื่องงานก็ยาก

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

งานไหนๆ ก็ยาก ถ้าจะประสบความสำเร็จ

จะฟรีแลนว์ ขายตรง เจ้าของกิจการ หรือมนุษย์เงินเดือน

สตางค์แต่ละบาท มันก็ไม่ได้หามาง่ายๆ นักหรอก

แต่ที่ต้องยอมรับ

ว่าตัวเองพ่ายแพ้จริงๆ

เห็นจะเป็นการจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง

ยามต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ประดาประดังเข้ามา



ใครๆ ก็เป็น

ข้าพเจ้าเห็นผู้คนบ่นกันถมถืดในพื้นที่ต่างๆ 

ไม่ยักมีใครไม่เหนื่อย

และน้อยคนนักที่จะไม่บ่น



ข้าพเจ้าพยายามมองโลกในแง่ที่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์น้อยที่สุด

น่าแปลก ที่ข้าพเจ้าทำได้

ในสภาวะปกติทั่วไป

กับผู้คนทั่วๆ ไป ข้าพเจ้ามีรอยยิ้มและความเอื้ออาทรมอบให้เสมอ

หากแต่

สิ่งไม่ดี สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในใจ

ข้าพเจ้ากลับไปลงที่คนสำคัญ

คนที่ข้าพเจ้าบอกเสมอว่า

ข้าพเจ้ารักเขา




เคยมีหนัง มีละครหลายเรื่องที่สะท้อนปัญหาสังคม

อารมณ์ประมาณว่า

ทำงานกันหนักๆ เลิกงานกันดึกๆ

แล้วกลับมาเหวี่ยง มาพาล ใส่คนในบ้าน

ตะคอกใส่สมาชิกในครอบครัว

ข้าพเจ้ามองดูละครเหล่านั้นแล้วคิดว่ามันช่างไกลตัวนัก

ในชีวิตจริง ใครมันจะไปไร้ความคิดขนาดนั้น



สุดท้าย

ก็เป็นข้าพเจ้าเสียเอง




เมื่อชีวิตมันยุ่งเหยิง 

ไอนู่นก็ไม่ได้ดั่งใจ

ไอนี่ก็ผิดความคาดหมาย

ไอนั่นก็อยู่เหนือการควบคุม

ความขัดใจทั้งหมด

สุมเอาไว้ในหัวใจดวงน้อยๆ

แล้วก็เหวี่ยง ฟาดงวงฟาดงาไปที่คนใกล้ตัว



ถ้าข้าพเจ้ามีครอบครัว

ก็คงลงกับลูก กับผัวไปแล้วเรียบร้อย

แต่นี่ยังไม่มี

อยู่ตัวคนเดียว

ก็ลงกับคนใกล้ตัวที่สุด

คนที่ ณ ขณะนี้ 

ข้าพเจ้ารักมากที่สุด




ช่วงที่ผ่านมา นับเป็นระยะเวลาก็นานพอสมควร

ข้าพเจ้าเปลี่ยนไปทีละน้อย ทีละน้อย

โดยไม่รู้ตัวบ้าง หรือรู้ตัวบ้าง แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้ในบางเวลา

กลายเป็นหงุดหงิดง่าย

ขี้โมโห

เจ้าแง่แสนงอน

และคิดมาก คิดนู่น คิดนี่ ให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ความคิดคนเรามันน่ากลัวเช่นนี้นี่เอง



เช้าวันนี้ 

ข้าพเจ้าเขียนอีเมลล์ไปถึงคนรัก

บรรยายความมอัดอั้นตันใจให้เขาได้รับรู้

ว่าข้าพเจ้าเจ็บปวด และทุกข์ทรมานเพราะเขาเพียงไหน



ข้าพเจ้าคาดหวังอะไร

หวังว่าจะได้รับคำปลอบโยน

ได้รับคำขอโทษ

หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ข้าพเจ้าสบายใจ



หากแต่ เปล่าเลย

อีเมลล์จากเขาที่ตอบกลับมา

ก็เป็นความอัดอั้นตันใจของเขาเช่นกัน

ข้าพเจ้าอ่านไป โดยที่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้

แต่ก็ควบคุมให้มันไหลน้อยที่สุด

คิดถึงเพื่อนคนหนึ่ง 

ซึ่งคอยหยิบกระดาษทิชชู่ให้ในยามข้าพเจ้านั่งร้องไห้ที่โต๊ะทำงานเก่า

แต่ตอนนี้ ไม่มีเขา

ข้าพเจ้าไม่พร้อมให้ใครเห็นน้ำตา




เมื่ออ่านจบ

ข้าพเจ้ารู้สึกว่างเปล่า

แต่ก็สับสน

ช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่ใคร่มีมากนักในชีวิต

มันก็สาหัสอยู่เหมือนกันเมื่อผ่านเข้ามาแต่ละที



คนรักของข้าพเจ้า

ไม่ใช่จะง้อคน

เขาเป็นผู้ใหญ่ และพยายามสอนให้ข้าพเจ้าเติบโต

สอนโดยละมุนละม่อมบ้าง

ไม้อ่อนบ้าง

ใช้อุบายอันแยบคายบ้าง

แต่เมื่อเหล่านั้นไม่ได้ผล

เขาก็พร้อมจะใช้ไม้แข็งฟาดลงมาไม่ยั้ง

ประมาณว่า

ถ้าไม้แข็งนี้ ไม่อาจทำให้ข้าพเจ้าสำนึกได้

ก็จงตายไปเสีย

อยู่ไปก็รังแต่จะโง่งมและจมอยู่กับความเหลวไหลไปเท่านั้น


เขาก็เป็นเช่นนี้เอง



ถามว่าคราวนี้

ไม้อะไร

ข้าพเจ้าตอบได้ว่า

ไม้แข็ง

แต่ไม่แข็งขนาดจะฟาดข้าพเจ้าให้ตายได้

เพราะแข็งกว่านี้

เจ็บกว่านี้ เขาก็เคยใช้มาแล้ว

และครั้งนั้น

ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่า

เขากล้ามาก ที่ทำกับข้าพเจ้าเช่นนั้น

เพราะมันหมายถึง การเดิมพันด้วยความสัมพันธ์ของเรา

หากข้าพเจ้าคิดไม่ได้ ตามืดบอด

เราก็เป็นอันจบกันแน่นอน

แต่จนท้ายที่สุด

ข้าพเจ้าก็เกิดปัญญารับรู้ขึ้นมาได้

แม้เขาจะต้องปล่อยให้เวลาแห่งความอึมครึมและน่าอึดอัดยิ่งปกคลุมเราอยู่เป็นสัปดาห์

ข้าพเจ้าถามเขาว่า

ทำไมเขาถึงรู้ว่าข้าพเจ้าจะคิดได้

ทำไมเขากล้าเสี่ยง

เป็นคนอื่น ก็ไม่มีใครอยู่หรอก

ไม่มีใครสามารถทนกับไม้แข็งขนาดนี้ได้หรอก



ข้าพเจ้าจำคำตอบของเขาได้ขึ้นใจ

ละไว้รู้กันเพียงสองคน




ครั้งนี้

คำที่กระแทกใจข้าพเจ้าเข้าอย่างจัง

ก็คงเป็นคำยอดฮิตที่ทำให้คู่รักจำนวนมากต้องเลิกกัน




มันก็เจ็บ จุก เป็นธรรมดา

แต่ข้าพเจ้าจะรับเอาเฉพาะข้อผิดพลาด

ที่เป็นความผิด เป็นความโง่งมของตัวเองมาขบคิดและใคร่ครวญเท่านั้น



ข้าพเจ้าหงุดหงิดเพราะปัญหาสังคมที่ต้องเจอทุกวัน

รถติด ฝนตก ผู้คนมากมาย

ข้าพเจ้าลืมคำสอนของครูบาอาจารย์

ลืมว่าควรมองที่ใจตน

ประคองที่ใจตน

มิใช่บังคับกะเกณฑ์ผู้อื่น


นั่นเป็นความผิดของข้าพเจ้าโดยแท้






อย่างน้อย ข้าพเจ้าก็ยังดีที่มีคนคอยเตือนสติ

เพราะทุกวันนี้ 

บ่อยครั้งที่ความเผลอเรอมาแย่งชิงพื้นที่ใจหัวใจ

ยามโกรธก็ไม่อาจควบคุมตัวได้

ยามหงุดหงิดก็ระงับยากนัก



"คนโกรธ ไม่มีหูหรอกนะ แพรวา"

หนึ่งในคำที่คนรักเตือนข้าพเจ้าในเช้าวันนี้



น้อยคนจะได้เห็นข้าพเจ้าในอารมณ์หม่นหมองเต็มรูปแบบเช่นนั้น

น่าแปลก ที่มันเป็นเรื่องชินตา สำหรับคนใกล้ตัวของข้าพเจ้า

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น



เพราะสภาพแวดล้อม ความเครียด สังคม

หรือเพราะใจเราเอง







2 ความคิดเห็น: