แล้วพระเจ้า.. ก็นำเอาความหวานของเกสรดอกไม้ นำเอาความแปรปรวนของกระแสลม นำเอาความปราดเปรียวของกวาง นำเอาความดุร้ายของเสือโคร่ง นำเอาความลึกลับของทะเลมารวมกัน แล้วพระองค์กล่าวว่า.. ....จงเป็นผู้หญิง!!
24 ธ.ค. 2555
ชิงชัง..ระบบอุปถัมภ์
กว่าที่ความคิดอย่างหนึ่งอย่างใด
จะฝังลงจิตใจของใครสักคนได้
คงไม่ใช่แค่ครั้งเดียว วันเดียว
บางคน เจอซ้ำๆ เจ็บซ้ำๆ เกลียดซ้ำๆ
มันก็เป็นธรรมดาที่จะจำ..ฝังใจ
ข้าพเจ้าหลีกหนีระบบราชการ
เพราะชิงชังความเฉื่อยชา
เช้าชามเย็นครึ่งชาม
อีกทั้งระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกในสังคมจนเกินเยียวยา
อันที่จริง ครอบครัวข้าพเจ้าก็มีพื้นฐานมาจากการรับราชการอยู่บ้าง
ปู่เป็นทหาร
ย่าเป็นครู
สมัยเด็กๆ ข้าพเจ้าจะได้อภิสิทธิหลายอย่างที๋โรงเรียน
เพราะย่าเป็นครูที่โรงเรียนประถมนั้น
ข้าพเจ้าเข้าก่อนเกณฑ์ถึงหนึ่งปีเต็ม
แต่ก็ได้เลื่อนชั้นมาเรื่อยๆ
ข้าพเจ้าไว้ผมยาวได้จนถึง ป.1
ทั้งที่เพื่อนๆ ต้องตัดสั้นเห็นติ่งหูตั้งแต่อนุบาล
(เพราะเป็นโรงเรียนรัฐบาล)
ตกเย็น ระหว่างรอรถรับส่ง
ก็จะมีพี่ๆ ป.5- ป.6 มาเล่นเป็นเพื่อน
มาดูแล หลานครูจิ๋ม (ย่าข้าพเจ้าชื่อเล่นว่า จิ๋ม)
และสำหรับครอบครัวข้าพเจ้า
ระบบอุปถัมภ์ก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
จำได้ว่า ตั้งแต่จะเข้าเรียน ม.1
ย่าข้าพเจ้าไปฝากฝังหรือจัดการอะไรสักอย่าง
จะให้ข้าพเจ้าเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมที่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด
ข้าพเจ้าดื้อ ไม่อยากเรียนที่นั่น
อยากเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง
จึงไปสมัครด้วยตนเอง
ย่าโกรธ
แต่ข้าพเจ้าก็หาได้ละความตั้งใจ
ทำได้แค่ขอโทษย่า แล้วตั้งใจเดินหน้าต่อ
ข้าพเจ้าจับฉลากเข้าโรงเรียนนั้นไม่ได้
(ได้สิทธิจับฉลากเพราะบ้านใกล้ แต่ก็ยังเป็นผู้ไม่มีดวงอยู่ดี)
จึงตั้งใจจะสอบ ซื้อคู่มือ ซื้อหนังสือมาเตรียมอ่าน
แต่ขณะเดียวกัน
พ่อก็เตรียมวิ่งเต้น หาทางให้ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนโดยวิธีอื่น
แต่ก็เท่านั้น
ผลออกมา ข้าพเจ้าสอบติด (ได้อันดับดีเสียด้วย หุหุ)
ได้เรียนโรงเรียนนั้นสมใจอยาก
ด้วยความสามารถตนเอง
ความจริงก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก
กับการที่คนในครอบครัวไม่เชื่อใจในความสามารถเรา
ไม่ไว้วางใจในสิ่งที่เราเลือก
แต่ก็มีน้อยใจบ้าง ตามประสา
จนมาอีกครั้งหนึ่ง
ก็ตอนเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี
ข้าพเจ้าหางานอยู่ประมาณเกือบเดือน
เริ่มเครียด
ที่บ้านก็ปฏิบัติการคะยั้นคะยอให้ข้าพเจ้าไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง
อาข้าพเจ้าเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลที่ ปตท
และค่อนข้างมีเพื่อนฝูงเครือข่ายอยู่พอสมควร
เพื่อนอาคนหนึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลอยู่ที่บริษัทนั้น
ข้าพเจ้าบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง
แต่เมื่อไม่ได้งานเสียที
ก็จำต้องไปตามคำสั่งของผู้ใหญ่หลายคนในครอบครัว
เมื่อไปถึง
ข้าพเจ้าก็กรอกใบสมัครตามปกติ
รออยู่นาน เจ้าหน้าที่ก็เรียกเข้าไปคุย
เขาไม่อ่านใบสมัครที่ข้าพเจ้ากรอกไปแม้แต่น้อย
คำถามแรกที่เอ่ยออกมาคือ
"รู้จักใครในนี้หรือเปล่า ทำไมถึงมาสมัครที่นี่"
ข้าพเจ้าก็บอกเขาไปเพียงว่า
อาแนะนำมา บอกว่าที่นี่เปิดรับ
เขาถามต่อว่า แล้วทำไมอาให้มาสมัคร อารู้จักใคร
ข้าพเจ้าจึงเอ่ยชื่อเพื่อนของอาออกไป
เท่านั้นแหละ
เขาตกลงรับข้าพเจ้าเข้าทำงานทันที
แต่ตำแหน่งอะไรยังไม่แน่ใจ
เงินเดือนได้เท่าไหร่ยังไม่รู้
เดี๋ยวจะให้คุยกับเพื่อนอาอีกที
ข้าพเจ้าโกรธมาก
อึดอัด
และรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างรุนแรง
ข้าพเจ้าออกมาจากที่นั่น ยืนร้องไห้ที่ป้ายรถเมล์
โทรศัพท์หาอา
บอกว่าจะไม่ทำงานที่นี่ ข้าพเจ้ารังเกียจบริษัทนี้
และรับไม่ได้การวิธีการคัดเลือกบุคลากรของเขา
อาตกใจ
และคงโกรธที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนั้นออกไป
อาบอกว่า ผิดที่ข้าพเจ้าเองที่ไม่สามารถแสดงความสามารถให้เขาเห็นได้
ก็อาจใช่
ข้าพเจ้าไม่มีเรี่ยวแรงนำเสนอความสามารถตัวเอง
ให้คนที่มีหลักเกณฑ์การทำงานเช่นนั้นมองเห็นได้
อาบอกอีกว่า
สถานะข้าพเจ้าในตอนนั้น
ไม่สำคัญหรอกว่าจะเข้าได้ยังไง
ขอแค่เข้าให้ได้ แล้วค่อยแสดงความสามารถก็ยังไม่สาย
แต่มันก็เป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง
ที่ไม่อาจทำใจก้าวเข้าไปในที่แห่งนั้นได้
ไม่กี่วันถัดมา
ข้าพเจ้าได้งานที่บริษัทกฎหมาย
ซึ่งข้าพเจ้ายังคงทำมาจนถึงปัจจุบันนี้
ด้วยความสามารถของข้าพเจ้าเอง
อาข้าพเจ้าดีใจ
ข้าพเจ้าก็ดีใจ
ข้าพเจ้ารู้อย่างแน่ชัดแล้วว่า
ความชิงชังระบบเอื้อเฟื้อเพื่อนพ้องที่มีในใจข้าพเจ้า
มันมากมายเพียงไหน
และมันยังคงมีอยู่
ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ในสถานะเป็นผู้ได้ประโยชน์หรือไม่ก็ตาม
ขออย่าให้ได้เจอกับความเห็นแก่ตัวเช่นนี้อีกเลย
ข้าพเจ้าไม่ต้องการการอุปถัมภ์ในลักษณาการเยี่ยงนี้
ข้าพเจ้ารังเกียจมัน
จากก้นบึ้งของหัวใจ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น