ชีวิตเราเดินทางมาเนิ่นนานเท่าไหร่
ระยะทางเท่าใด
และต้องไปอีกไกลแค่ไหน
ไม่อาจรู้ได้
คำคมเขาว่ากันว่า
"ชีวิตคือการเดินทาง"
ถ้าเป็นเมื่อก่อน
วาทะนี้สำหรับข้าพเจ้า
คงเป็นแค่การเปรียบ และมีความหมายแค่เชิงนัยยะ
แต่สำหรับช่วงนี้ของชีวิต
เรียกว่าเป็นช่วงชีวิต
เพราเป็นเช่นนี้มาได้สักพัก (ใหญ่ๆ)
ชีวิตคือการเดินทางที่ว่านี้
มีความหมายทั้งโดยนัยและโดยตรง
ชีวิตของข้าพเจ้าเดินทาง
และข้าพเจ้าก็เดินทาง
รถ "อ้วน" ของข้าพเจ้าและคนรัก
เพิ่งถอยจากศูนย์เมื่อประมาณเดือนเมษายน
บัดนี้ ล่วงเลยมาเพียง 9 เดือน
เจ้าอ้วน ใกล้จะได้เข้าไปเช็คสภาพ
ด้วยระยะทาง 40,000 กิโลเมตรแล้ว
สาบานได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้แอบเอาเจ้าอ้วนไปรับจ๊อบขับแท็กซี่แต่ประการใด
ข้าพเจ้าเดินทางโดยเจ้าอ้วน
คนรักของข้าพเจ้า เดินทางโดยเจ้าอ้วน
หลายครั้งเราไปด้วยกัน
และหลายครั้ง ไปเพียงลำพัง
เดิมที ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะขับรถเท่าใดนัก
ข้าพเจ้าเกลียดรถติด
หวานกลัวความุทะลุของมนุษย์
และสะอิดสะเอียนความเห็นแก่ตัว
บนท้องถนน มีสิ่งเหล่านี้อยู่มากเกินไป
แต่เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ ปรับตัว และเอาชีวิตรอด
ไปให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ทั้งข้าพเจ้าและเจ้าอ้วน
ข้าพเจ้าปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
แม้ในบางสถานการณ์ จะไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
แต่ก็นั่นเอง ข้าพเจ้าไม่อาจแน่ใจได้ว่า
เวลาไหนจำเป็น และเวลาไหนผ่อนผันได้
อะไรๆ ก็ไม่แน่ไม่นอน
และสิ่งที่ฝังอยู่ในความคิดข้าพเจ้าก็คือ
หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
มีการชนกัน เบียดกัน สีกัน จูบกัน
ข้าพเจ้าจะต้องไม่ใช่ฝ่ายผิด
ข้าพเจ้าเคร่งครัดทั้งกับตนเองและผู้อื่น
หากข้าพเจ้านั่งรถ ที่คนขับไม่มีมารยาทบนท้องถนน
มันจะอึดอัด
ต่อให้คนๆ นั้น สามารถควบคุมรถได้ดีแค่ไหน
ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ
สิ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญคือ
น้ำใจ และมารยาทในการขับขี่
ข้าพเจ้ายินดีนั่งบนรถที่คนขับ ขับมุทะลุ ขับเร็ว หรือเหยียบเบรคหัวทิ่ม
แต่หยุดรถตรงทางม้าลายให้คนข้าม
ไม่ทับเขตปลอดภัย
เข้าคิวเลี้ยวซ้าย
หรือมีน้ำใจให้ผู้อื่นในสถานการณ์ที่สมควร
มากกว่าจะยินดีนั่งกับคนไม่มีมารยาท ปาดหน้าผู้อื่น แซงคิว
หรือแม้กระทั่งวิพากษ์การขับรถของผู้อื่นในเชิงว่าผู้อื่นนั้นอ่อนด้อย
อันหลังนี้ เป็นความหมั่นไส้ส่วนตัว
เห็นลักษณาการนี้ มันทำให้นึกแย้งไม่ได้ว่า
"เมิง (แก) ก็เคยเป็นคนหัดขับไม่ใช่รึ จะไปวิพากษ์คนอื่นที่เขาแค่เพิ่งหัดขับทีหลังทำไม"
เอาเถอะ ว่าจะเขียนถึงการเดินทางที่โรแมนติกเสียหน่อย
กลายไปเข้าเรื่องสะกิดต่อมความเคืองได้ยังไงกัน 555
ส่วนใหญ่ หากเดินทางกับคนรัก
ก็จะเป็นเขาที่ขับรถ
ยกเว้นบางกรณี และเวลาที่เขาขี้เกียจ
ครั้งหนึ่ง (ไม่นานมานี้)
คนรักให้ข้าพเจ้าขับรถกลับจากอุดรธานี มากรุงเทพฯ
ในช่วงเทศกาล
รวมเวลา 12 ชั่วโมง
และเขาขับต่ออีก 4 ชั่วโมง จึงถึงจุดหมาย
ก็เป็นอันว่า
ข้าพเจ้าได้เรียนรู้การขับรถในสถานการณ์ไม่พึงประสงค์จนเกือบครบแล้ว
ทั้งขับรถตอนกลางคืน
ขับทางไกล
รถติดบรรลัย
ถนนขรุขระ
ขับในดงรถบรรทุก
ฝนตกหนักจนที่ปัดน้ำฝนเอาไม่อยู่
ขับมาราธอน
อาจจะเหลือการขับขึ้น-ลงเขาชันๆ กระมัง หึๆ
บางครั้ง ข้าพเจ้าก็หยิบกล้องมาถ่ายรูป
ท้องฟ้าสวยๆ
เมฆเป็นก้อนๆ แผ่นๆ
ภูเขาสลับซับซ้อน
พระอาทิตย์ตกเขา หรือซ่อนในพุ่มไม้
บางที เจอสถานการณ์ตลกๆ ถ้าคว้ากล้องทัน
ก็ได้เก็บภาพ ไว้เป็นที่ระลึก
เจ้า "เอ๋อ" GPS ที่ไปกับเราเสมอๆ เป็นคู่หูของเจ้าอ้วน
อ้วน-เอ๋อ
บางครั้งก็พาเราไปถึงที่หมายอย่างราบรื่น
แต่หลายครั้ง ... "เมิงพากูมาที่ไหนเนี่ย???"...หึๆ
ครั้งหนึ่ง เราเดินทางไปโคราช ฝนตกหนักมาก จนภาพที่เห็นเบื้องหน้า..มีเพียงเท่านี้
ทั้งที่เวลาขณะนั้น น่าจะไม่เกิน 6 โมงเย็น
ที่พัทยา เราตามหลังรถทัวร์คันหนึ่ง
สภาพมันเป็นอย่างเนี้ย
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า
จะไปถึงที่หมายกันอย่างปลอดภัยไม๊ฮึ??
*****************
ต้นไม้บังตะวัน ภูเขาสลับซับซ้อนยามเย็น และคนขับเจ้าอ้วน ^^
เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ
11 ธันวาคม 2555
ข้าพเจ้าชอบการเดินทาง
การเดินทางที่มีข้าพเจ้าและคนที่ข้าพเจ้ารัก
เราไปด้วยกัน
เหนื่อยด้วยกัน
พักด้วยกัน
เห็นและเรียนรู้อะไรๆ ด้วยกัน
เราอาจเดินทางด้วยกันมาเนิ่นนาน
และเราอาจต้องเดินทางด้วยกันไปอีกเนิ่นนาน
ข้าพเจ้ายินดี
ด้วยรัก
วันที่ ๑๑ ธ.ค. ป่าว
ตอบลบ555
วันเสาร์เอารถไปล้างดีกว่าเนอะ
มันเปื้อนมากเลยอ่ะ
นกมาขี้ใส่ด้วย
เออ 11 จริงด้วย 555
ตอบลบ