เราอาจรักใครมาก
และหลายครั้งที่รู้สึกว่า
ความรักที่เราให้เขา
กับรักที่เขาให้เรา...มันไม่เท่ากัน
แน่นอน
เมื่อใดที่รู้สึกหรือนึกเช่นนั้น
ย่อมหมายความว่า
เรากำลังเจ็บปวด
กำลังน้อยใจ
เสียใจ หรือรู้สึกอะไรสักอย่างเทือกนี้
เราสู้อุตส่าห์ทำนู่นทำนี่ให้เขา
แล้วเขาล่ะ?
หลายครั้งที่คำถามนี้ถูกตั้งขึ้นมา
เราอาจกำลังทนหิวเพื่อกินข้าวกับเขา
แต่ก็ต้องพบว่า
เขาอิ่มมาแล้ว
เราอาจซื้อก๋วยเตี๋ยวไว้รอเขา
แล้วก็ต้องนอนท้องร้องฟังเสียงเขากัดกินข้าวโพดอย่างเอร็ดอร่อย
โดยไม่แม้จะเอ่ยปากถามว่าเราหิวไหม
หรือชวนเรากินด้วยสักคำ
เหล่านี้
มันเล็กนัก
หลายครั้งที่เราต้องรู้สึกอย่างว่า
เพราะเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจยิ่งกว่านี้
หลายร้อยหลายพันเท่า
แต่ก็เอาเถอะ
จะหนักหนาแค่ไหน
มันก็เป็นความเจ็บปวดที่มาจากสาเหตุอย่างเดียวกันนั่นแล
เขาที่เรารัก
อาจใจร้าย
อาจเห็นแก่ตัว
อาจนึกถึงแต่ตัวเอง
เหล่านี้
เป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน
เป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ
ที่ใครๆ จะคำนึงถึงปากท้อง
และความรู้สึกของตัวเอง
ก่อนที่จะเหลียวมองคนรอบข้างเสมอ
ไม่ว่าคนข้างๆ
จะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม
ข้าพเจ้าติดนิสัยหลายอย่างมาจากครอบครัว
ตอนเด็กๆ
เราสามคน (ตอนนั้นน้องยังไม่เกิด)
พ่อ แม่
ลูก จะรอกินข้าวเย็นพร้อมหน้ากัน
แม่ชอบอยู่ทำโอที
และจะกลับถึงบ้านสองทุ่มครึ่ง
ดังนั้น
เมื่อข้าพเจ้ากลับจากโรงเรียน
ก็จะมีขนม
มีอาหารรองท้อง
พ่อจะเตรียมไว้ให้บ้าง
หรือไม่เตรียม
ก็หากินเองบ้าง
พ่ออาจอยู่บ้าน
หรือไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน
แต่เราก็จะกินข้าวด้วยกัน
ตอนสองทุ่มกว่าๆ
เสมอๆ
เวลาที่เรากินข้าวด้วยกัน
หากเห็นว่ากับข้าวกำลังจะหมด
ก็จะพยายามวางมือ
วางช้อนวางส้อม
ข้าพเจ้าเห็นภาพพ่อแม่ทำท่าอิ่มก่อนเสมอ
อิ่มหรือไม่อิ่มไม่รู้
รู้แต่ว่า
จะให้ลูกอิ่ม
ช่วง ม.ต้น
วันเสาร์อาทิตย์
ข้าพเจ้าอยู่บ้านกับพ่อ
แม่ไปทำงานตามเคย
เราสองคนจะมีเมนูประจำ
คือ
ผัดหมี่ร้านโปรด
(จำชื่อป้าคนขายไม่ได้แล้ว)
จะสั่งพิเศษ
ซึ่งได้มากล่องแทบปริ
กินกันสองคน
กินไปกินมา
พ่อจะต้องวางช้อนก่อนข้าพเจ้าเสมอ
และทำท่าอิ่มแล้ว
ให้ข้าพเจ้ากินต่อให้หมด
ให้อิ่ม
ลักษณาการเช่นนี้
จะเรียกว่าเป็นธรรมเนียมก็ได้
หรือจะเรียกว่าเมตตาก็คงไม่ผิด
ข้าพเจ้าก็ติดนิสัยนี้จากพ่อจากแม่
และมาใช้กับเกือบทุกคน
ข้าพเจ้าไม่แย่งใครกิน
และมักจะเป็นผู้วางช้อนวางส้อมก่อน
เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
(ไม่นับรวมการกินแบบเหลือทิ้งเหลือขว้าง
หรือกินกันไม่มีลิมิต)
ครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้าไปกินข้าวกับอดีตคนรักที่ร้านอาหารแถวสะพานพุทธ
เราสั่งกับข้าวสองอย่าง
หนึ่งในนั้นมีต้มยำหม้อไฟ
กินๆ ไป
(ตอนนั้นเริ่มกินเยอะแล้ว)
ข้าพเจ้าก็กวาดปลาหมึก
กวาดเนื้อต่างๆ ในหม้อไฟ
ไปทางฝั่งเขา
แล้ววางช้อนส้อมตัวเองลง
เขาถามข้าพเจ้าว่า
อิ่มแล้วเหรอ
(คงงงที่เห็นข้าพเจ้าอิ่มเร็ว
หึๆ)
ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าตอบอะไรเขาไปหรือเปล่า
รู้แต่ว่า
เขายิ้ม
เงียบไปสักครู่
แล้วก็พึมพำออกมาว่า
“ก็เป็นซะอย่างนี้
ใครไม่รักก็บ้าแล้ว”
ข้าพเจ้าก็งง
รู้ว่าเขายังรักข้าพเจ้าอยู่
(ในขณะนั้น)
แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่อถึงการเป็นเช่นไรในตัวข้าพเจ้า
ก็ถามเขา
เขาตอบว่า
“ก็คิดถึงแต่คนอื่น”
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนักหรอก
ว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างที่เขาพูดไหม
บางที
ข้าพเจ้าก็คิดถึงตัวเอง
ข้าพเจ้าก็มักจะคิดถึงตัวเองเสมอๆ
แหละ
แต่การกระทำอย่างนั้น
มันเป็นนิสัยของข้าพเจ้าเอง
นิสัยที่ถ่ายทอดมาจากบุคคลในครอบครัว
เรารักใคร
ก็ยากที่จะทนเห็นเขาไม่อิ่ม
หรือทนดูเขาหิว
เรารักใคร
ก็ยากที่จะกินอะไรๆ
อย่างสำราญ
โดยไม่นึกถึงหน้าคนที่เรารัก
ว่าเขาจะหิวด้วยไหม
เขากินอะไรหรือยัง
เขาจะมีอะไรกินหรือเปล่า
ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาข้างต้น
เมื่อต้องมาเจอสถานการณ์อันน่าพิศวง
การถูกทิ้งให้หิว
โดยไม่ได้รับความสนใจจากคนที่รัก
จึงค่อนข้างยากที่จะรับได้เหมือนกัน
บ่อยครั้งที่เจอเหตุการณ์เช่นนั้น
ข้าพเจ้าก็งงๆ
ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี
เออ ต่อไปนี้
ฉันก็ไม่คิดถึงเธอล่ะนะ
เธอทำกับฉันยังไง
ฉันก็จะทำอย่างนั้นกับเธอตอบแทน
เธอให้ฉันมาเท่าไหร่
ก็ได้รับกลับไปเท่านั้นก็แล้วกัน
เมื่อเด็กๆ
ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น
และประพฤติเช่นนั้น
แต่ก็น่าแปลก
ที่เมื่อตอกกลับเขาอย่างนั้น
มันไม่ได้ทำให้รู้สึกดี
หรือไม่ได้ยกความสัมพันธ์ให้แนบแน่นและกระชับขึ้นเลย
กลับยิ่งแย่
เขาก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันคือการเห็นแก่ตัว
หรือร้ายกาจอย่างไร
อยากกินก็หากินสิ
กินไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มสิ
ไม่เห็นต้องใส่ใจอะไรกับเรื่องพวกนี้เลย
ท้องใครท้องมัน
เขาก็ยังคงเป็นของเขาต่อไปอย่างนั้น
หนำซ้ำ
ยังเพิ่มคนร้ายกาจขึ้นอีกหนึ่งคน
คือข้าพเจ้าเอง
สรุปคือ
เรากำลังกลายเป็นคนร้ายกาจ
เห็นแก่ตัว ด้วยกันทั้งคู่
น่าประหลาดดีแท้
จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร
วันนี้
ข้าพเจ้ามีเวลาทบทวนความคิดเรื่องนี้
และคิดว่า
ในกรณีที่ต้องอยู่กับคนใจร้าย
คนที่เห็นแก่ได้
คนที่นึกถึงแต่ตัวเอง
เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง
เป็นหลักใหญ่
เรามีทางเลือกอยู่สองทาง
หนึ่งคือ
ไปให้ไกลเสียจากคนๆ
นั้น
จะเกิดประโยชน์อะไร
กับการพร่ำบ่น ก่นด่า
ว่าเขาไม่ดีอย่างนั้น
เลวอย่างนี้
แต่เราก็ยังจมปลักอยู่กับเขา
ทำร้ายจิตใจตัวเองไปทุกวันๆ
เมื่อเขาไม่ดี
ก็อย่าไปอยู่ใกล้เขาเสียสิ
ขาดเขา
เราก็ไม่ตายหรอก
ความรัก
คนรัก อาจหล่อเลี้ยงให้ชีวิตเราชุ่มฉ่ำ
แต่ไม่ได้หมายความว่า
ไม่มีเขา
ชีวิตเราจะไปต่อไม่ได้
อกหักอย่างมีสติ
ไม่ตายหรอก
หรืออีกทางหนึ่ง
หากกลั้นใจทำอย่างแรกไม่ได้จริงๆ
ก็ต้องอดทน
และอย่าให้ตัวเอง
กลายเป็นคนแบบนั้น
อย่าให้คำที่เราตะโกนด่าเขา
(ในใจ)
ย้อนกลับมาเข้าตัวเราเอง
เขาไม่คิดถึงเราใช่ไหม
เราก็คิดถึงเขาให้มากๆ
เขากินไม่สนใจเรา
เราก็ซื้ออาหารไปให้เขากิน
เขาไม่สนใจว่าเราหิวแค่ไหน
เราก็ทำให้เขารู้ว่า
อาการท้องร้องของเขา
เป็นสิ่งที่เราสนใจเสมอ
เมตตาเขาให้มากๆ
ใส่ใจเขาให้มากๆ
เอาความดีเข้าข่มความโหดร้าย
เอาน้ำใจเข้าสู้ความเห็นแก่ตัว
วิธีนี้
นอกจากจะบำบัดตัวเองได้แล้ว
(แน่นอน
ทุกครั้งที่เราทำอะไรดีๆ
ให้คนอื่น
เราย่อมรู้สึกดีและผ่อนคลาย
ใจเราจะสบายกว่าทำเลวร้ายกับเขามากนัก)
ยังไม่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องยิ่งแย่ไปมากขึ้นอีกด้วย
และสักวัน
เขาอาจซึมซับสิ่งเหล่านี้ไปบ้าง
อาจตระหนักนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง
อาจเกิดความละอายแก่ใจ
สักนิดก็ยังดี
แต่กระนั้น
ทุกคนย่อมมีขีดจำกัด
ถ้าทำอย่างนี้แล้ว
เขายังคงเห็นแก่ตัว
ยังคงนึกถึงแต่ตัวเอง
สนใจแต่ตัวเอง
นั่นหมายความว่า
เขารักเราไม่มากพอ
และไม่มีวันที่เขาจะรักเรา
เท่าตัวเขาเอง
ถ้ายังต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก็หยุดมันเสีย
วันที่เราเดินจากมา
จะเป็นวันที่เขาเสียใจที่สุด
แต่เราจะเสียใจน้อยมาก
เพราะถือว่า
ได้ทำเต็มที่แล้ว
ทำดีที่สุดแล้ว
ไม่มีอะไรให้เราต้องเสียใจ
หรือเสียดายผู้ชายห่วยๆ
อีกต่อไปแล้ว
ก็ไม่รู้สินะ
(ยืมโน้ต อุดมมา)
ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนี้
และบรรดาคนรักเก่าที่เลิกรากันไป
ส่วนใหญ่ก็ตามมาขอคืนดี
ยังรอ
ยังหวังว่าข้าพเจ้าจะกลับไป
เขาอาจนึกอะไรได้เมื่อวันที่สายไป
แต่สำหรับข้าพเจ้า
สายน้ำย่อมไม่ไหลย้อนกลับ
Your love was already proven by the
time we had shared...
(ไม่ได้ตั้งใจจะอวดให้หมั่นไส้
แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ทำตัวเองให้มีค่า
ทำหัวใจของตัวเองให้ดี
วันที่เราเอามันคืนมาจากเขา
เขาจะได้รู้ว่า
กำลังเสียสิ่งดีๆ ไป)
ว่าด้วยการเลิกรา
ก็มีประการหนึ่งฉะนี้แล
เขียนไว้เตือนตัวเอง
ยิ้ม :)
แพรวา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น