Set นี้ นำมาสร้างเป็นละคร
ฉายคู่ๆ ไปกับจุฑาเทพ (มั้งนะ ถ้าไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียง)
ช่องเดียวกัน
ได้ยินชื่อ "กิ่งฉัตร" มานาน
เป็นนักเขียนอีกคนที่สามารถขายชื่อได้
คือ ชื่อคนเขียน เด่นกว่าชื่อหนังสือว่างั้น
ลองซื้อมาอ่าน
พร้อมกับจุฑาเทพนั่นแล
ฝีไม้ลายมือ
ทิ้งจุฑาเทพอย่างไม่เห็นฝุ่น
อันนี้ ว่ากันถึงโครงเรื่อง
ความตั้งใจ
การใส่ข้อมูล
รายละเอียดฉาก
การบรรยายลักษณะตัวละคร เพื่อปูพื้น
ให้มีมิติ ให้คนดูเชื่อได้ว่า ตัวละครนี้
เป็นอย่างนี้ รู้สึกเช่นนี้ จริงๆ
ให้ดูสมเหตุสมผล
และสามารถดึงคนอ่านให้รู้สึกร่วมไปด้วย
กับตัวละครนั้นๆ
ข้าพเจ้าชอบวิธีการบรรยายลักษณะ รูปร่างท่าทางของตัวละคร
มันดูมีชีวิต โลดแล่นอยู่ในโลกความเป็นจริง
เป็นคนเป็นๆ ที่เราสามารถพบเจอกันได้ในชีวิต
มิใช่เพ้อฝัน หลุดมาจากจินตนาการ
มิได้ห่างไกลความจริงมากเกินไปนัก
ตัวละครแต่ละตัว มีความสวยงาม และเสน่ห์ในตัวเอง
หาใช่เน้นที่ความสวยหยดย้อย หรือหล่อลากดิน
อย่างน้อย ตัวละครหลักทั้งสาม
ก็เหมือนจะเป็นตัวแทนของความคิดที่ว่า
ผู้หญิง...ไม่จำเป็นต้องสวยพิมพ์นิยม
เสน่ห์ มันมาจากอะไรหลายๆ อย่างประกอบกัน
และอยากให้เรา หันมาใส่ใจกับตัวเองจริงๆ
มองตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็นจริงๆ
มิใช่พยายามปั้นแต่งให้ตัวเองเป็นเหมือนใครๆ
ข้าพเจ้าชอบเนื้อเรื่อง การวางโครงเรื่อง
มันดูมีชีวิตชีวา
ดูเหมือนกับผู้เขียน ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์และหัวใจของตัวเองจริงๆ
ไม่ได้มาจากการนั่งเทียน ปั้นแต่งให้เนื้อเรื่องออกมาชวนจิกหมอน
ให้แต่ละตอนเป็นไปเพื่อสนองอารมณ์ของคนอ่าน
โดยที่คนอ่าน หรือคนดู (กรณีเอาไปสร้างเป็นละครแล้ว)
ไม่ได้เกิดความคิด หรือสะกิดต่อมอะไรบางอย่างบ้างเลย
นิยายประเภทนั้น
อ่านกันไปสักร้อยสองร้อยเล่ม
ก็มิได้ประเทืองปัญญา
มิได้ทำให้เราฉลาดขึ้นแต่อย่างใด
ข้าพเจ้าดีใจ
ที่อย่างน้อย ก็มีนวนิยายหลายเล่ม
ที่ต้องการสื่อก้อนความคิดบางอย่างไปยังผู้อ่าน
ก่อให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ในบรรดาสามเรื่องนี้
เรื่องแรก "มายาตวัน"
ข้าพเจ้าชอบตรงการกระแทกปมไปที่จรรยาบรรณของสื่อ
มันดูใกล้ตัวมาก และดูจะเป็นปัญหาในปัจจุบัน
หรือความจริง
ก็คงเป็นมานานแล้วล่ะ
ฐานันดรสี่น่ะ
ข้าพเจ้าเคยได้มีโอกาสทำงานกับคนๆ หนึ่ง
เขาไม่ได้เป็นสื่อ
แต่เป็น PR freelance เป็นพวกที่มีเครือข่ายกับสื่อ
แบบว่า
รับจัดงานประชาสัมพันธ์ และเชิญสื่อที่มีคอนเน็คชั่นอยู่ในมือ
มาร่วมงาน
เพื่อให้สื่อเหล่านั้น ประโคมข่าวให้
ข้าพเจ้าต้องคอยดูแลสื่อ เทคแคร์กันอย่างดี
กินฟรี อยู่ฟรี ดูแลกันฟรีๆ
เพื่อแลกกับการลงข่าว เขียนข่าวให้
หนำซ้ำ
บางสื่อ
นอกจากจะมากินฟรี เที่ยวฟรีแล้ว
ยังได้ข่าวฟรีๆ อีกด้วย
คือ
ตอนจะกลับก็มากระซิบบอกพี่ PR คนนั้นว่า
อยากให้ลงข่าวยังไง ก็เขียนมาละกันนะ เดี๋ยวจะลงให้
พี่แกก็หันมาหาข้าพเจ้า
เอ้า..โอ๋ไปเขียนมานะ
นั่น..เรียนนิติ แต่ไปทำงาน PR Freelance และยังต้องเขียนข่าวด้วย
แต่ก็ดีนะ เป็นประสบการณ์ที่ดี
พี่เขายังตัดข่าวหน้าเหล่านั้น ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้น
มาให้เป็นที่ระทึกอีกด้วย
(สักสองสามฉบับได้กระมัง)
แหม่...บางฉบับก็ลงมันทุกถ้อยกระบวนคำ ไม่ตัดไม่อีดิทใดๆ ทั้งสิ้น
ให้มันได้อย่างนี้สิ
ตอนนั้น สารภาพตามตรง ข้าพเจ้าก็อยากเบนเข็มไปเป็นสื่อกับเขาบ้าง
ของฟรีๆ งานสบายๆ นี่ข้าพเจ้าชอบนักแล ;p
เรื่องต่อมา "มนต์จันทรา"
เป็นการกระตุ้นความคิดของเราเหมือนกันนะ
การพนันนี่น่ะ
จะแก้มันยังไงดี
หรือจะต้องยอมรับไปเสียว่า
มันแก้ไม่ได้หรอก
และใครอยากเล่น
มันก็เรื่องของเขา
ใครอยากล่มจม
มันก็ชีวิตเขา
แต่กระนั้น
ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
พระเอกจะเปิดกาสิโน
แต่เป็นกาสิโนที่กรองคนที่จะมาเล่น
ว่าต้องเป็นเศรษฐีเท่านั้น
ไม่ใช่พวกหาเช้ากินค่ำ
หมดตัวก็หมดกัน
และจะเปิดแบบโปร่งใส
ไม่ตุกติก ไม่โกงคนเล่น
ว่างั้น
พระเอก ถึงแม้จะไม่สะอาด ไม่ขาวล้วน
ก็คงจะต้องให้แปดเปื้อนและดูเลวน้อยที่สุดอยู่นั่นแล
เรื่องสุดท้าย "ฟ้ากระจ่างดาว"
เรื่องนี้
ข้าพเจ้าชอบที่สุด
เหมือนได้อ่านสารคดีที่มีรสชาติจัดจ้าน
ตอบทุกคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการค้าผู้หญิง
หลอกล่อเด็กสาวไปขาย
ทั้งที่เขาก็มีข่าวกันมาตั้งนาน
มีเรื่องมาเล่ากันตั้งเยอะ
ทำไม๊ ทำไม ก็ยังมีคนโดนหลอกไปอยู่วันยังค่ำ
เออแฮะ
ไม่คิดเลยว่า
จะมาได้คำตอบในนวนิยาย
เหมือนได้เปิดหูเปิดตา
เหมือนได้เติบโตไปกับนางเอก
เหมือนสะกิดต่อมอะไรหลายอย่าง
คนบางคน ตั้งตัวเป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่น
เป็นแม่พระกับเด็กจรจัด เด็กที่ถูกรังแกในมูลนิธิ
แต่กับลูกหลานตัวเอง
กลายเป็นห่างเหิน กลายเป็นตั้งแง่
กับครอบครัวตัวเอง
ยังแก้ปัญหามิได้
มันก็น่าสะเทือนใจอยู่เหมือนกัน
บางฉาก เรียกน้ำตาได้
เอ๊ะ หรือข้าพเจ้าก็เป็นพวกมีปม ฮ่าๆๆ
อันนี้ว่ากันเฉพาะโครงเรื่อง ประเด็นของการสื่อสาร
ไม่ได้ว่ากันถึงสำนวนภาษา
และการตรวจคำผิด การใช้ถ้อยคำบางจุด
ก็ยังคงเป็นมาตรฐานปานกลางของการผลิตหนังสือ
ที่อาจเน้นการออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว
มากกว่าความพิถีพิถัน
กระนั้น ก็พอหยวนๆ และทำปิดหูปิดตาได้บ้าง
เทียบกับความอิ่มเอมและแนวความคิดที่ได้รับ
ข้อบกพร่องบางอย่างก็ดูเล็กน้อยลงไปถนัดตา
ข้าพเจ้าชอบ "กิ่งฉัตร"
ทั้งสามเล่ม
รสชาติแตกต่างกันไป
หากกลมกล่อม
และอิ่มเอม พอดีๆ
คนอ่านไม่หิว และไม่เลี่ยน
เป็นตัวอย่างของนักเขียนนิยายที่ดีคนหนึ่ง
อย่างไรเสีย
นักเขียน..ไม่ว่าจะเขียนอะไร ก็สมควรจะมีจิตสำนึกต่อผู้อ่าน
ต่อสังคม
ใช่ว่าสักแต่เขียนเรื่องน้ำเน่าให้คนอ่านจิกหมอน เพ้อฝันไปวันๆ
ใช่ว่าเขียนแต่เรื่องที่จะหลอกขายเด็กๆ วัยรุ่นหรือวัยไหนก็ตามที่สมองยังไม่พัฒนา
เน้นขายชายรูปหล่อพ่อรวย หญิงสวยเอ็กซ์เซ็กซี่
กับเนื้อเรื่องปัญญาอ่อน เค้าโครงน้ำเน่าล้าหลังตั้งแต่ย่าทวดยังสาว
นักเขียนผู้ผลิตงานเช่นนั้น
ควรพิจารณาตัวเองเสียบ้าง
เพราะการเขียนอะไรที่เป็นการมอมเมาผู้อื่น
มันเป็นโทษ
มันไม่ดีหรอกนะเออ
ด้วยรัก
แพรวา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น