7 ส.ค. 2556

บทเรียนครั้งสำคัญจากคดีแรงงาน (มัชฌิมบท)



เมื่อเจ้าของสิทธิ ซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำอย่างแท้จริงตัดสินใจยอมแพ้

ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น

ดังที่บอก

ข้าพเจ้ามิได้ไปศาลแรงงานในฐานะทนายความ

หากแต่ไปในฐานะญาติของโจทก์ ไปเป็นเพื่อนโจทก์ ก็เท่านั้น

แน่นอน หากว่าข้าพเจ้าตัดสินใจร่างใบแต่งทนาย

ให้เขาลงลายมือชื่อเสีย

และวันนั้นข้าพเจ้าเดินทางไปแต่เพียงผู้เดียวในฐานะทนายโจทก์

โดยไม่มีเขาไปด้วย

ข้าพเจ้าไม่มีวันให้มันจบลงเช่นนั้นแน่นอน




ข้าพเจ้ามีภูมิต้านทานต่อความไม่ยุติธรรมต่ำมาก

และจะสู้จนกว่าจะต้องยอมรับว่า ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้นอีกแล้ว

แต่ที่ผิดหวัง

และเสียใจที่สุด

ก็คือ การยอมแพ้ เพราะความเบื่อหน่าย

เพราะความรำคาญ



สำหรับข้าพเจ้า

มันเป็นการตัดปัญหา

ไม่ใช่การยุติปัญหาโดยทางที่ถูกที่ควร

และมันยากที่จะยอมรับได้ว่า

คนที่เราไว้วางใจ...มีความขี้ขลาดอยู่ในตัว

มากเกินกว่าที่เราคาดไว้



ข้าพเจ้าพาตัวเองออกมาจากห้องพิจารณาคดี

หลังจากได้รู้ ได้เห็นภาพการยอมแพ้อย่างราบคาบของคนรัก

มันเจ็บปวด และบีบหัวใจเกินกว่าจะรับได้

ข้าพเจ้าผิดหวังในตัวเขามากที่สุด

ตั้งแต่รู้จักและรักกันมา



ข้าพเจ้าลงมานั่งรอที่โซฟารับแขกด้านล่าง

และระบายอารมณ์ที่อัดอั้นตันตึงอยู่ในใจ

ด้วยการโพสต์สถานะใน facebook ว่า


"สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจทนได้ คือ ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่โดยไม่มีวี่แววว่าจะดับไป

มันยากนะ ที่จะยอมรับเอาความเหนื่อยหน่ายและหวาดกลัวมาเป็นเหตุแห่งการยอมความ แม้มันจะเป็นเหตุผลหลักของคนทั่วไปก็ตาม

แต่เมื่อเรารู้ตั้งแต่ต้นว่าเราจะสู้เพื่ออะไร เพื่อทวงคืนสิ่งใด และเมื่อคุณหยุดมันกลางคันทั้งที่สิ่งซึ่งเราหวังว่าจะได้เห็นยังไม่งอกเงยขึ้นมาแม้แต่น้อย

ก็บอกได้คำเดียวว่า "ผิดหวัง" จริงๆ

สุดท้ายก็ต้องก้มหน้าก้มตาปล่อยคนชั่วลอยนวล ให้ไปทำระยำตำบอนกับคนอื่นเรื่อยๆ และก็ปลอบตัวเองว่า สักวันเวรกรรมจะตามทันมันเอง หึๆ

แต่เอาเถอะ ถือเสียว่า กำลังฝึก "อภัยทาน" ขั้นสุดยอด...
 — ที่ ศาลแรงงานภาค 2 ชลบุรี"





อัพได้สักพัก คนรักก็ลงมา

เขาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ถามว่าข้าพเจ้าอยากกินอะไร

ไปกินก๋วยเตี๋ยวผักหวานกันไหม

ก๋วยเตี๋ยวผักหวานที่ศรีราชาเป็นร้านโปรดที่ข้าพเจ้ามักอ้อนให้เขาพาไปบ่อยๆ

แต่วันนั้น ข้าพเจ้าไม่นึกอยากกินอะไรเลย

กินไม่ลง

จริงๆ



ระหว่างทางไปร้านก๋วยเตี๋ยว

เราต่างก็เงียบ

เขาบอกว่า เดี๋ยวจะพูดอะไรให้ฟัง

แต่ก็ยังไม่พูด

คงรอให้ข้าพเจ้าอารมณ์ดี

และคลายจากความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นในระดับหนึ่งก่อน



ข้าพเจ้านั่งมองกระจก 

น้ำตาไหล



ไม่มีเสียงร้อง

ไม่มีสะอึกสะอื้น

มีเพียงทางน้ำเล็กๆ ไหลลงมาอย่างเป็นระเบียบ

ราวกับไม่อยากทำให้ตัวข้าพเจ้าเองได้รับความกระทบกระเทือนไปมากกว่านี้



ข้าพเจ้าเคืองศาล

ที่มุ่งแต่จะไกล่เกลี่ยโดยไม่ได้คำนึงถึงรูปคดีเลยว่าเป็นเช่นไร

ถ้าเป็นศาลคนที่มาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยในครั้งก่อน

ออกนั่งบัลลังก์ในวันนี้

ข้าพเจ้าเชื่อเลยว่า

จะไม่มีการไกล่เกลี่ยที่ไร้เหตุผลและไม่ได้อิงอยู่บนพื้นฐานของการรักษาความยุติธรรมเช่นนี้

ศาลอาจใช้เหตุผลที่ฟังดูดี

กลัวจะเข้าเนื้อหมอเอง

กลัวหมอจะเดือดร้อน



มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

รูปคดีมันชัดเจนมาก

และแนวทางการตัดสินก็แจ่งแจ้งมาตั้งแต่ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยทั้งสองครั้ง

ศาลอ้างเอาความสกปรกที่ฝั่งนู้นยกขึ้นมา

ใส่ปากตัวเองแล้วคายออกมาให้ดูเป็นเหตุผลที่ฟังดูนิ่มนวล



ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่า

สุดท้ายแล้ว

หน้าที่ของศาลคืออะไร

ยังความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

ปกป้องคนที่ถูกรังแก

และให้บทเรียน ลงโทษคนชั่ว

ให้มันได้สำนึก ให้มันได้หยุดทำชั่ว

หรือเพียงแค่ทำอย่างไรก็ได้

ให้คดีหมดสิ้นไปจากศาลโดยเร็ว

ให้การไกล่เกลี่ยเป็นผลสำเร็จ

เพื่อจะเก็บบันทึกเป็นสถิติว่า

ศาลนี้ไกล่เกลี่ยสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์

ตกลงกันได้โดยไม่มีการฟ้องร้อง ขัดแย้งกันรุนแรงกี่ราย

เช่นนั้นเองหรือ

ทำยังไงก็ได้ ให้เรื่องมันจบๆ ไป

ให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอม

โดยไม่ต้องคำนึงว่าเขาได้รับความเป็นธรรมหรือเปล่า

หึๆ




ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปศาลแรงงานแห่งนี้

ข้าพเจ้าสำรวจรอบๆ บริเวณ

จำได้ว่า ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์

มีรายงาน...

วันที่เท่านั้น บริษัทนั้น ไกล่เกลี่ยกับลูกจ้างรายนี้ได้เป็นผลสำเร็จ

วันที่เท่านี้ ลูกจ้างยอมความ ประนีประนอมกันได้โดยไม่มีเลือดตกยางออก

แล้วก็มีรูปถ่าย

สองฝ่ายยืนหันหน้าให้กล้อง

มือจับกันไว้เหมือนว่าสมานฉันท์กันแล้ว

ข้าพเจ้าสาบานได้เลยว่า

หน้าตาลูกจ้างแต่ละคน

ไม่มียิ้มแย้มแจ่มใสเลย แม้แต่รูปเดียว



ให้สงสัย (อีก) ว่า

ที่ตกลงประนีประนอมยอมกันได้ในเคสอื่นๆ ที่ผ่านมานั้น

เป็นการยอม โดยความพอใจของทั้งสองฝ่าย

หรือยอมเพราะทำอะไรไม่ได้

ยอมเพราะถ้อยคำหว่านล้อม 

ดังที่ศาลท่านนี้ได้กระทำกันแน่



ศาลจะกลัวทำไม

กับการพิสูจน์ความจริง

กับการรับฟังพยานหลักฐาน

ความจริงก็คือความจริง

ไม่ว่าใครต่อใครจะพูดอะไรกันสักกี่ปาก กี่อย่าง กี่ถ้อยคำ

มันก็ต้องปรากฏออกมาอยู่ดีว่า

สุดท้ายแล้ว

ความยุติธรรม ได้วางตนอยู่ที่ตรงไหน

ศาลจะกลัวทำไม 

เมื่อหน้าที่ของศาลก็คือการพิสูจน์ความจริงอยู่แล้ว

และความจริง ก็วางกองอยู่ตรงหน้า

พร้อมจะให้ศาลขุดคุ้ย จนกระจ่าง



แต่นี่

ยังไม่ได้เริ่ม

ศาลกลับเป็นผู้ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่อุตส่าห์มาขอพึ่งบารมี

ไม่ถูกเลย

ข้าพเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับอุดมการณ์

ที่ครูบาอาจารย์ได้พร่ำสอนไว้แม้แต่น้อย




ข้าพเจ้าเกลียดชังพวกมัน

พวกทนายเจ้าเลห์ ที่แถจนสีข้างถลอกปอกเปิก

ดริฟท์จนล้อแทบไหม้

จัญไรจริงๆ

อายุปูนนี้

แก่จนจะลงโลง

ไม่รู้จักนรกที่กำลังรอสูบอยู่เลย

ถ้าจะบอกว่ามันคือหนทางทำมาหากิน

ไม่ทำก็ไม่มีกิน

ถ้ามัวสนใจความถูกต้อง

ก็อดตายเท่านั้น

คนเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับผีห่าซาตาน

ที่อาศัยอยู่ในร่างมนุษย์ก็เท่านั้น



ข้าพเจ้าเกลียดคลินิกเฮงซวยนั่น

เกลียดความโลภโมโทสันของมัน

เกลียดการไม่คำนึงถึงชีวิตคนไข้

สักแต่ทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่เจ๊ง

ข้าพเจ้าเกลียดมัน โดยตัวของข้าพเจ้าเอง

หาใช่เพราะมันมารังแกคนที่ข้าพเจ้ารัก

มันคนละส่วนกัน



และข้าพเจ้า โกรธคนรักของตัวเอง

เสียใจ และผิดหวัง

อย่างหาที่สุดมิได้

ข้าพเจ้าสู้อุตส่าห์ร่างคำฟ้อง เขียนด้วยลายมือ

เขียนตามความจริง อย่างกระจ่าง

มิใช่เขียนแค่ตาม pattern ที่นิติกรท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง

อุตส่าห์ลางานแบบ without pay

ไปเป็นเพื่อนเขา

ไปเพื่ออะไร?




เหตุการณ์ครั้งนั้น บั่นทอนความเชื่อมัน

และอุดมการณ์ของข้าพเจ้า

ต้องยอมรับว่า

ในระดับที่มากโขทีเดียว



ข้าพเจ้าอาจยังเด็กเกินไป

มองโลกในแง่ดีเกินไป

เชื่อมั่นในสิ่งสมมติมากเกินไป

โลกความจริง

ดินแดนหน้าบัลลังก์

มันไม่สวยงาม

อย่างที่ใครๆ เขาว่าไว้

จริงๆ สินะ



2 ความคิดเห็น: