7 ส.ค. 2556

One by One...Three Hundreds Nos.30-34 "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ" เน้นจิกหมอน ไม่เน้นภาษาสลวย








Set นี้ เอาแสตมป์ส่วนลดนายอินทร์ที่สะสมมาตลอดช่วงโปรโมชั่นของปี 2556 แลกซื้อ

ถอยมาพร้อมอีก set ที่เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้า

ความจริง ไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะอ่าน

แต่เกิดนึกทะลึ่ง 

อยากเขียนนวนิยายกับเขาบ้าง

เพราะรู้สึกอึดอัด

มีพล็อตอยู่ในหัวเต็มไปหมด

เมื่อไม่ได้ระบายออก

มันก็จะระเบิดนั่นเอง

จึงต้องหาทางยกเอามันออกมา

แต่จะยกมาทั้งดุ้น แบบด้วนๆ 

ก็ดูจะไม่เข้าที

ด้วยเพราะข้าพเจ้าอ่านหนังสือประเภทนวนิยายรักหวานซึ้ง

ชวนเพ้อฝันประเภทนี้ น้อยมาก



จำได้ว่า

สมัย ม. ต้น เคยอ่านอยู่ 3-4 เล่ม

แล้วมันดึงเราให้จมลงไปอยู่ในดินแดนพิศวง

ที่เราก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่เป็นความจริง

ข้าพเจ้าไม่ชอบสิ่งสมมติ

ที่ไร้แก่นสารไปวันๆ เช่นนั้น

แต่ถามว่าลึกๆ แล้ว

อ่านแล้วเพลินไหม

ก็เป็นธรรมดา

ใครๆ ก็เพลิน

มันสะท้อนความต้องการของเราอยู่แล้ว

ใครๆ ก็อยากมีความรัก

ความรักที่งดงาม

แสนโรแมนติก

มีคนรักหน้าตาดีๆ

เป็นที่อิจฉาของคนทั่วไป

รูปหล่อพ่อรวย

หน้าสวยเซ็กซี่

มันเป็นสิ่งสามัญ

เป็นความต้องการพื้นฐาน

เป็นอะไรบางอย่าง ที่ทุกหัวใจต่างโหยหา

ไม่อย่างนั้น

หนังสือพวกนี้ คงไม่ขึ้นแท่นหนังสือขายดีตลอดกาลได้หรอก




เมื่ออยากจะเขียน

จุดเริ่มต้นของการจะเขียนได้ดี

ก็คือการอ่านมาเยอะ

เมื่อไม่อ่านนิยาย

จะเขียนมันออกมาดีได้อย่างไร

ก็ต้องยอมรับว่า

เป็นเช่นนั้นจริงๆ



เขาบรรยายฉาก บรรยายรูปร่างหน้าตา ท่าทาง อารมณ์ของตัวละครกันยังไง

ข้าพเจ้าอยากรู้แค่นั้น

ส่วนพล็อต

เท่าที่อ่านมา

ก็ไม่ได้ทิ้งละครน้ำเน่าที่เราๆ เสพกันอยู่ทุกวันทุกคืนหรอก

แม้กระทั่ง Set นี้ก็ตาม



หนังสือชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพนี้

เป็นโปรเจคร่วมกันของ 5 นักเขียน



เรื่องพล็อตไม่ทิ้งกันเท่าไหร่

มีความสนุกในตัวเอง ตามบุคลิกของคนเขียนและตัวละคร

แต่การใช้สำนวนและลูกเล่นนี่สิ

คนหนึ่งอยู่หัวแถว อีกคนอยู่หางแถว ก็ว่าได้

โดยเฉพาะเล่มเปิดกับเล่มปิด



ชั้นเชิงของ "ณารา" นำห่างคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

ดูเป็นผู้ใหญ่มากที่สุดด้วย

(อันนี้หมายถึงสำนวนและลีลาล้วนๆ นะจ๊ะ ไม่เน้นตัวละคร)


คนอื่นๆ ก็รองลงมา

พอสูสีกัน

แต่ก็ต้องจัดว่า ทำได้ดี

ยกเว้นเรื่องสุดท้าย

เป็นเล่มเดียวในบรรดา 5 เล่ม ที่ข้าพเจ้าต้องใช้คำว่า

"ทนๆ อ่านไปให้จบ"

เนื้อเรื่องธรรมดามาก

มากเกินไป

ไม่มีความแปลกใหม่ใดๆ เลย

ทั้งการดำเนินเรื่องก็เป็นไปอย่างเนือยๆ 

ถ้าเปรียบเป็นเส้นกราฟ

ก็ลากเส้นแนวนอนขวางจากซ้ายไปขวาได้ยาวๆ เลย

อีกทั้งจุดพีค ที่เป็นการขมวดปม

เตรียมกระตุก กระชาก และคลี่คลายออกมา

ก็ปัญญาอ่อน และล้าหลังเกินไป

มุขนี้

ให้ข้าพเจ้าย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่สมัยเรียน ม. ต้น

ก็ยังอาจจะเอือมระอา

(มุขนางเอกหลอกถามนางร้าย เพื่อเปิดเผยความจริงว่า 

แท้แล้ว ความชั่วร้ายทั้งหมด เป็นฝีมือของนางร้ายใช่ไหม

แล้วก็ปรากฏว่า ตัวละครทุกตัว มาแอบฟังบทสนทนาอยู่หน้าห้องนั่นเอง หึๆ เก่าไหมล่ะ)

มุขว่าเก่าแล้ว

ลีลาท่าทางชั้นเชิง

ก็ถึงกับต้องส่ายหน้า

เล่ากันง่ายๆ 

เช่น

นางเอกถามนางร้ายว่า คุณเป็นคนทำใช่ไหม

นางร้ายก็ตอบว่าใช่

นางเอกก็ถามอีก ทำยังไง ทำเพราะอะไร 

นางร้ายก็เล่าให้ฟัง



หึๆ

เป็นบทสนทนาที่แม้ในชีวิตจริง

คนทั่วไปเขายังถามกันมีชั้นเชิงมากกว่านี้เสียอีก

แต่เอาเถอะ

ข้าพเจ้าทนอ่านจนจบอยู่ดี

ซื้อมาแล้วนี่นา

เริ่มอ่านไปแล้วเสียด้วย



หนึ่งในห้าเล่ม

ถ้าจะมีเล่มไหนเป็นจุดบอด

ก็เล่มนี้แหละ

ครบเลย 

เรื่องเอื่อย พล็อตเก่า น้ำเน่า 

(นางเอกเป็นลูกคนรวยตกยาก ความจริงมาเปิดภายหลัง หม่อมย่าเลยพอรับได้)

สำนวนไม่มีความสละสลวย 

และหาชั้นเชิงในการเขียนมิพบเลย




ข้าพเจ้าอาจเคยชินกับการอ่านเรื่องสั้นหรือนวนิยายรางวัลหรือหนังสือที่คัดสรรมาแล้ว

ทำให้รู้สึกว่า

อย่างไรเสีย สำนวนการเขียนนวนิยายเหล่านี้

ก็ไม่ไพเราะ ไม่จับใจ ไม่งดงาม

แต่ก็อย่างว่า

เขาเน้นอารมณ์

เน้นจินตนาการของคนอ่าน

เน้นบทสนทนา

ฉากจิกหมอน

ใครเขาจะมาใส่ใจกับความสละสลวย ลูกเล่นหลายชั้นเหมือนงานเขียนประเภทอื่นๆ



แต่กระนั้น 

4 เล่มแรก

ข้าพเจ้าก็อมยิ้ม

แอบจิกหมอน

เคลิ้มตาม

และฝันหวาน

หลายครั้งอยู่เหมือนกัน

อิอิ




ป.ล. นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะจ๊ะ

ลางเนื้อชองลางยา


รสนิยมเป็นของส่วนบุคคล





7  สิงหาคม 2556

แพรวา





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น